ตอนที่ 327 สั่งสอนคนชั่ว (1)
“พวกเขา…พูดเช่นนี้เจ้าค่ะ” ชุ่ยผิงมองชุ่ยเวยด้วยเกรงกลัว กลัวว่าจะถูกดุด้วยสายตา
“เขาหายไปคนเดียว หรือทั้งกองกำลังทหารหายไปด้วย”
ชุ่ยผิงส่ายหน้า แล้วพูดขึ้น “นี่…บ่าวไม่รู้เจ้าค่ะ หมอกวนก็ไม่ได้พูดมาอย่างชัดเจนเจ้าค่ะ” จริงๆ ถ้าอยากรู้ก็เป็นเรื่องที่ง่ายมาก แค่ไปถามผู้เฒ่าจางก็พอ วันนี้เขาไปจับชีพจรให้ฮ่องเต้ ต้องรู้สาเหตุของเรื่องนี้แน่นอน ทว่าชุ่ยผิงไม่กล้าพูด เพราะว่าผู้เฒ่ากำชับไว้แล้วว่าห้ามรายงานให้นายหญิงของนางฟังเด็ดขาด
“ก็ได้ ไม่พูดเรื่องนี้ก็ได้ พวกเจ้าไปจัดการธุระของพวกเจ้าเถอะ ไม่ต้องมาสนใจข้า” เหยาเยี่ยนอวี่ตั้งสติได้บ้างแล้ว จึงผายมือสั่งให้สาวใช้สองคนออกไป
ชุ่ยเวยเกลี้ยกล่อมอีกครั้ง “หากคุณหนูรู้สึกไม่สบายใจ มิเช่นนั้นวันนี้พวกเรากลับจวนเร็วหน่อยเถอะ”
“ทำเช่นนี้ไม่ได้หรอก ข้ายังมีงานต้องสะสางอีกมากมาย” เหยาเยี่ยนอวี่มองยาทาแก้แผลเปื่อยเหล่านั้น แล้วสั่งการด้วยเสียงเรียบ “กระนั้น เจ้าไปสั่งพวกบ่าวคนอื่นๆ ให้พวกเขาเตรียมผ้าฝ้ายไว้หน่อย”
“เจ้าค่ะ” ชุ่ยเวยไม่กล้าเอ่ยถามอย่างมากความ แค่พลันขานรับ
“ไปเถอะ” เหยาเยี่ยนอวี่ผายมือ “รีบไปจัดการเถอะ”
“เจ้าค่ะ! ชุ่ยเวยค้อมตัวตอบกลับ แล้วถลึงตามองชุ่ยผิงอีกครั้ง ทั้งสองจึงจากไปพร้อมกัน
ในเรือนเต็มไปด้วยความเงียบสงบทันที เหยาเยี่ยนอวี่กลับคงจิตใจให้สงบสุขไม่ได้ นางยกมือขึ้นแล้วอ่านจดหมายในมืออีกครั้ง จากนั้นก็โยนลงบนพื้นด้วยความไม่สบอารมณ์ แล้วสบถหยาบขึ้น “ไอ้สารเลว!”
หลังจากสบถหยาบไปก็ยังคลายความเกลียดชังในใจไม่ได้ จึงตวาดใส่จดหมายฉบับนั้น “ให้ตายเหอะ เจ้ามาทำให้ข้ารัก จากนั้นก็ทิ้งข้าไป! เจ้ามันสารเลว!”
“บอกว่าสู้รบเสร็จแล้วกลับมาสู่ขอข้า! ไอ้สารเลวที่ไม่รู้จักรักษาคำพูด!”
“กล้าหลอกข้า! กล้าทอดทิ้งข้า! ทางที่ดีที่สุดอย่าตกอยู่ในกำมือของข้า คอยดูว่าข้าจะจัดการกับเจ้าอย่างไร!”
“ไอ้สารเลว…ทำร้ายจิตใจข้า! เจ้ามันเลวทรามเกินไปแล้ว!”
“ไอ้ชาติชั่ว เหตุใดเจ้าถึง…”
เหยาเยี่ยนอวี่เอนกายไปด้านหลัง จากนั้นก็กอดเข่าทั้งสองข้างไว้ แล้วร้องไห้ฟูมฟายขึ้นมา
ฮ่องเต้ไม่ได้รับสั่งให้ปิดบังเรื่องที่เกี่ยวกับเว่ยจาง ดังนั้นเรื่องนี้จึงเปรียบเสมือนลมที่พัดไปทั่วทุกที่เมืองอวิ๋นอย่างรวดเร็ว
คนที่ได้รับข่าวสารเร็วที่สุดก็คือหันหมิงชั่น ตอนนั้นนางกำลังเล่นหมากล้อมกับมารดา หันซังเย่ว์เข้ามาในเรือนอย่างเร่งรีบ พอได้ยินเรื่องนี้ นางจึงนิ่งงันไปทันที ผ่านไปสักพักใหญ่ถึงจะได้สติกลับมา จากนั้นก็โยนหมากล้อมในมือลงแล้ววิ่งออกไปด้านนอก
องค์หญิงใหญ่หนิงหวาพลันขานเรียก “เจ้าจะไปไหนกัน”
“ลูกไปหาเยี่ยนอวี่!” หันหมิงชั่นชะงักมือลงแล้วหันไปมององค์หญิงใหญ่หนิงหวา พร้อมพูดด้วยเสียงเศร้าโศก “ไม่รู้ว่าพอนางได้ยินข่าวคราวนี้แล้วจะเป็นเช่นไร เสด็จแม่ หากนางยังทำใจกับเรื่องนี้ไม่ได้ คืนนี้ลูกขอค้างคืนกับนางนะเพคะ”
องค์หญิงใหญ่หนิงหวาถอนหายใจอย่างประหม่าแล้วส่ายหน้าทันที
หันซังเยว์รีบพูดขึ้น “เสด็จแม่ ลูกจะส่งน้องสาวไปเอง” พอพูดจบก็ยังไม่รอให้องค์หญิงต้าจั่งตอบกลับ ก็เดินตามน้องสาวไปด้านนอกทันที
เฉิงหวังเฟยได้ยินข่าวคราวนี้ก็ตกตะลึงมาก ทว่าการตอบสนองแรกของนางคือ “จวินเจ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง เขาคงไม่เป็นไรใช่ไหม”
เฉิงอ๋องขมวดคิ้ว “อยู่ดีๆ จะเป็นอะไรได้อย่างไรเล่า เขามีฐานะที่เป็นถึงรองแม่ทัพ เรื่องบุกตะลุยโจมตีข้าศึกคงไม่ต้องให้เขาไปเสี่ยงชีวิตหรอก”
เฉิงหวังเฟยถอนหายใจพร้อมสวดมนต์ “ยังดีที่ไม่ให้อวิ๋นเหยาออกเรือนกับเขา ไม่เช่นนั้น จะทำอย่างไรดี”
“…” เฉิงอ๋องขมวดคิ้วเหลือบตามองหวังเฟย สีหน้าดูไม่พอใจยิ่งนัก ทว่ากลับไม่อยากพูดอะไร
อวิ๋นเหยาพุ่งเข้ามาจากด้านนอกด้วยท่าทีที่กระวนกระวาย แม้กระทั่งน้อมคำนับยังไม่ทันทำ ก็พุ่งมาตรงหน้าเฉิงอ๋อง พร้อมเอ่ยถามด้วยความใจร้อน “เสด็จพ่อ เป็นเรื่องจริงหรือ เว่ยจางเขา…”
“เจ้าดูตัวเจ้าสิ จู้จี้จุกจิกเกินควรหรือเปล่า” เฉิงอ๋องขมวดคิ้วมองบุตรี นางต้องวิ่งอย่างสุดชีวิตมาแน่นอน ดูจากผมมวยที่ยุ่งเหยิง สร้อยคอพู่ระย้าที่พันกันไม่เป็นท่านี้ก็รู้ว่านางเร่งรีบเพียงใด
“เสด็จพ่อ?!” อวิ๋นเหยามองเฉิงอ๋องอย่างออดอ้อน จากนั้นก็ค่อยๆ คุกเข่าลงบนพื้นแล้วและกอดขาของเฉิงอ๋องไว้ พลางเอ่ยถามด้วยเสียงสะอื้นไห้ “มันเป็นความจริงหรือไม่ เหตุใดถึงไม่มีใครไปช่วยเขา เหตุใดถึงไม่ส่งคนไปช่วยเขา เขาไม่ใช่เป็นถึงแม่ทัพใหญ่ที่จงรักภักดีต่อต้าอวิ๋นหรือไร”
เฉิงอ๋องรู้สึกรังควานใจเพราะเสียงร้องไห้ของบุตรี ด้วยเหตุจึงขมวดคิ้ว “เรื่องทางการทหาร เสด็จลุงของเจ้ากับเหล่าแม่ทัพในค่ายทหารเป็นผู้ตัดสิน เจ้าเป็นเพียงสตรีคนหนึ่ง จะเข้าใจได้อย่างไร อย่ามาพูดจาเหลวไหลแถวนี้ รีบกลับเรือนของเจ้าไปเสีย!”
“เสด็จแม่?” อวิ๋นเหยายังคงคุกเข่าลงบนพื้น แล้วหันไปมองเฉิงหวังเฟย
เฉิงหวังเฟยถอนหายใจอย่างจนปัญญา แล้วสั่งหมัวมัวสองคนที่อยู่ด้านข้าง “พยุงจวิ้นจู่กลับเรือน ให้นางพักผ่อนดีๆ”
หมัวมัวสองคนนี้รับคำแล้วเดินเข้าไปพยุงอวิ๋นเหยาให้ลุกขึ้น พร้อมเกลี้ยกล่อมด้วยเสียงอ่อนโยน “จวิ้นจู่เจ้าคะ กลับเรือนเถอะ ท่านอ๋องและหวังเฟยก็กังวลใจมากเช่นกันเจ้าค่ะ”
อวิ๋นเหยาถูกหมัวมัวสองคนพยุงขึ้น ตอนที่ออกนอกประตูยังหันไปมองบิดามารดาด้วยแววตาที่ไม่พึงพอใจเพียงชั่วพริบตาเดียว บิดาของนางขมวดคิ้วเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ส่วนมารดาของนางกลับทำสีหน้าปิติยินดี
เรือนชิงผิง ณ จวนติ้งโหว ในมือของซูอวี้ผิงหนังสือราชการที่รายงานข่าวคราวจากทหารที่อยู่ใต้บัญชาการ เขาผุดลุกขึ้นทันทีจนเผลอปัดถ้วยน้ำชาข้างมือล้ม ทำให้น้ำชาหกเต็มโต๊ะ หยาดน้ำชาค่อยๆ หยดลงบนพื้น
“อั๊ยโย ท่านพี่ไม่เป็นเช่นไรใช่ไหม” เฟิงซิ่วอวิ๋นรีบเอาผ้าเช็ดคราบน้ำชาบนมือของซูอวี้ผิง แล้วหันไปสั่งการสาวใช้ “รีบเก็บกวาดที่นี่ให้เรียบร้อยเสียที”
ซูอวี้ผิงผายมือแล้วสั่งให้บ่าวที่มาส่งสารออกไป จากนั้นก็เดินวนในเรือนไปสองรอบ จู่ๆ ก็นึกถึงอะไรบางอย่าง จึงหันหลังเดินออกไปด้านนอก
“ท่านพี่ ประเดี๋ยวก็ถึงเวลากินมื้อค่ำแล้ว!” เฟิงซิ่วอวิ๋นพลันเดินตามไปสองก้าวด้วยความกระวนกระวาย พอเดินไปถึงประตูก็ขานเรียกเช่นนี้อีกครั้ง
“ไม่ต้องคอยข้า” ซูอวี้ผิงยังไม่ทันกล่าวจบก็ออกจากประตูเรือนแล้ว
เฟิงซิ่วอวิ๋นสีหน้าเฉยเมย พร้อมทั้งคลี่ยิ้มอันเย็นชาออกมา
คำพูดที่บ่าวมารายงานเมื่อครู่นี้ นางได้ยินอย่างชัดเจน บอกว่าแม่ทัพเว่ยเว่ยจาง ขุนนางแม่ทัพขั้นที่สามหายตัวไป! ข่าวคราวนี้ส่งจากกันโจวไปยังเมืองหลวง อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาส่งสารหกเจ็ดวัน นั่นก็หมายความว่า แม่ทัพเว่ยหายตัวไปสิบกว่าวันแล้ว
อากาศเหน็บหนาวเช่นนี้ เขาหายตัวไปสิบกว่าวัน จะเป็นเช่นไรบ้าง
โอกาสรอดตายมีน้อยมาก? เกรงว่าอาจร้ายแรงยิ่งไปกว่านั้นหรือเปล่า
ต่อให้ไม่สิ้นไป ทว่าก็อาจจะกลายเป็นเชลยของข้าศึกหรือเปล่า
ฮ่า! เหตุใดนางถึงไม่รู้สึกหวาดกลัวแม้แต่น้อย และไม่ได้รู้สึกเสียใจเลย เหตุใดถึงรู้สึกโล่งอกถึงปานนี้!
นี่เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์มากเพียงใด! ตอนแรกทุกคนต่างก็อิจฉาเหยาจู่ปั๋วที่เป็นถึงขุนนางขั้นห้าในสำนักแพทย์ต้าอวิ๋น หมอหลวงหญิงคนแรกในต้าอวิ๋น ตอนหลังกลับกลายเป็นแม่หม้ายที่ยังไม่ทันได้ออกเรือน ก็เสียว่าที่สามีไปแล้ว!
ในเรือนฉีเสียง เหยาเฟิ่งเกอที่กำลังเล่นป๋องแป๋งกับบุตรี หลังจากได้ยินข่าวคราวที่หลี่จงมารายงาน ก็ตกตะลึงจนเบิกตาโต ป๋องแป๋งที่อยู่ในมือของนางก็ร่วงลงบนพื้นทันที
ซานหูพลันเดินหน้ามาเก็บป๋องแป๋งแล้วปลอบโยน “คุณหนูอย่าได้กังวลใจไป อาจจะเป็นเพียงข่าวลือก็ได้เจ้าค่ะ”
หลี่จงถอนหายใจ “นี่จะเป็นข่าวลือได้อย่างไร ทุกคนต่างก็รู้เรื่องนี้ไปหมดแล้ว”
“เยี่ยนอวี่…” เหยาเฟิ่งเกอขมวดคิ้ว แล้วเปรยอย่างจนปัญญา “เยี่ยนวี่ต้องทำเช่นไรดี…”