ตอนที่ 332 ขึ้นเหนือตามหาสามี (2)
“แน่นอนว่าท่านกั๋วกงต้องไม่มีวิธีช่วยอยู่แล้ว” เหยาเหยียนอี้ยิ้มอย่างประหม่า “ข้าก็แค่อยากไปขอให้ท่านกั๋วกงช่วยเหลือ หากฮ่องเต้ทรงเห็นชอบให้เหยาเยี่ยนอวี่เดินทางขึ้นเหนือจริงๆ ก็อยากขอร้องให้ทหารยอดฝีมือที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของท่านกั๋วกงคุ้มกันเยี่ยนอวี่ระหว่างที่เดินทาง นิสัยของยัยหนูคนนี้ เรื่องนี้ต้องไม่มีทางขัดขวางไว้ได้แน่นอน! ข้าจึงคิดวิธีเช่นนี้”
หนิงฮูหยินน้อยถอนหายใจ “ท่านพี่กล่าวถูก พูดตามตรง คนอย่างน้องรองนี่หายากจริงๆ ใต้หล้านี้ผู้ที่ช่ำชองใช้ความงามประดับด้วยความงามนั้นมีมาก ทว่าผู้ที่ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือผู้อื่นในยามลำบากนั้นน้อยนิด ท่านแม่ทัพเว่ยเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ถ้าเป็นสตรีจากตระกูลอื่นละก็เกรงว่านอกจากร้องไห้เสียใจแล้วรนหาที่ตายไปแล้ว ทว่าน้องรองขอพวกเรากลับเข้มแข็งมากเช่นนี้”
เหยาเหยียนอี้ส่ายหัวพลางยิ้มอย่างขมขื่น “ข้ากลับหวังว่านางจะร้องไห้โวยวาย แล้วปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านพ้นไปด้วยซ้ำ”
หนิงฮูหยินน้อยก็ยิ้มอย่างขมขื่น
ไม่นานสาวใช้ก็ยกน้ำแกงไก่ตุ๋นโสมมาให้เหยาเหยียนอี้ดื่ม หนิงฮูหยินน้อยจึงพูดอย่างฉับพลัน “หากฮ่องเต้ทรงอนุญาตให้น้องรองไปกันโจวจริง เช่นนั้นข้าจะให้คนไปเตรียมเสื้อคลุมขนสัตว์ให้นางเผื่อไว้หลายๆ ตัวเสียหน่อย”
“ไม่เพียงเตรียมให้นางหรือเปล่า ก็ต้องเตรียมให้ชุ่ยเวยและชุ่ยผิง และยังมีน้าตู้ซานหรือเปล่า หากน้องรองไป คนพวกนี้ก็ต้องติดตามไปด้วย”
“ท่านพี่กล่าวถูก ต่อให้น้องรองจะแข็งแกร่งมากเพียงใด ข้างกายก็ต้องมีคนคอยดูแลอยู่เหมือนกัน” หนิงฮูหยินน้อยพูดไปก็สั่งให้คนไปตามเฝิงหมัวมัวมา จากนั้นก็ให้นางรีบไปหาช่างตัดเย็บอาภรณ์สำหรับฤดูหนาว
เหยาเหยียนอี้คาดคิดไว้ไม่มีผิด
ตอนว่าราชการในราชสำนักของเช้าวันถัดไป ฮ่องเต้ทรงนำสาส์นกราบทูลของเหยาเยี่ยนอวี่ออกมา แล้วตรัสชมเรื่องที่เหยาเยี่ยนอวี่กราบทูลให้ฮ่องเต้ทรงรับคำสั่งให้นางไปกันโจว ตรัสว่าหากบุรุษของต้าอวิ๋นเป็นเหมือนบุตรีตระกูลเหยา แล้วต้าอวิ๋นจะกังวลเรื่องแคว้นไม่สงบสุข ประชากรไม่สามัคคีปรองดอง และหมื่นแดนไม่มาเยี่ยมเยือนได้อย่างไร
ด้วยเหตุนี้ ฮ่องเต้จึงเลื่อนตำแหน่งของเหยาจู่ปั๋วอีกขั้น และทรงให้นางเลือกหมอหญิงหกสิบกเก้าคนติดตามนางไปกันโจว เพื่อไปอยู่รักษาทหารที่ได้รับบาดเจ็บ
เหยาเยี่ยนอวี่จึงได้เลื่อนตำแหน่งจากจู่ปั๋วขั้นห้ากลายเป็นหมอหลวงขั้นสี่
เจิ้นกั๋วกงหันเวยถือโอกาสนี้ก้าวขึ้นมาด้านหน้า แล้วทราบทูลให้ฮ่องเต้ทรงรับสั่งให้เขาส่งคนคุ้มกันคุณหนูเหยาไปที่กันโจว
หลังจากฮ่องเต้ครุ่นคิดอย่างเงียบงัน พอนึกถึงสภาพอากาศที่ย่ำแย่ มิหนำซ้ำกั๋วกงยังมีบาดแผลเก่าอยู่มากมาย เกรงว่าร่างกายจะรับไม่ไหว จึงปฏิเสธในสิ่งที่เจิ้นกั๋วกงทูลขอ จากนั้นก็รับสั่งให้หันซังเย่ว์ บุตรชายคนรองของเจิ้นกั๋วกงเป็นแม่ทัพคอยคุ้มกัน ทั้งยังให้ทหารยอดฝีมือหนึ่งพันนายติดตามไปส่งหมอหลวงเหยาส่งยารักษาไปยังเขตตอนเหนือ
นี่เป็นครั้งแรกที่หันซังเย่ว์ออกรบ หลายปีมานี้ สิ่งที่เขารอคอยก็มาถึงเสียที คุณชายรองหันที่หวังว่าจะได้สังหารศัตรูพร้อมกับเหล่าสหายที่กันโจว เวลานี้ก็ได้สมดั่งปรารถนาแล้ว ดังนั้นน้ำเสียงตอนขอบพระทัยในพระกรุณาธิคุณจึงเสียงดังฟังชัดกว่าปกติ
องค์หญิงใหญ่หนิงหวาที่ทรงทราบเรื่องนี้ จึงทั้งปลื้มปิติทั้งกังวลใจในขณะเดียวกัน
เหตุผลที่ทรงปลื้มปิติก็คือบุตรชายคนนี้เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว การที่เขามีใจมุ่งมั่นที่จะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน และฮ่องเต้ทรงไว้วางใจคนของตระกูลหัน ก็ถือเป็นเรื่องที่ปลอบโยนนางแล้ว อย่างไรต่อให้ตนเองเป็นองค์หญิงใหญ่ ตลอดทั้งชีวิตของบุตรชายย่อมมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง ทว่าตระกูลราชนิกุลก็ควรสร้างผลงานให้กับบ้านเมือง
ส่วนสิ่งที่ทรงกังวลใจก็คือหัวอกของคนเป็นมารดา พอนึกถึงอากาศที่หนาวเหน็บของเขตตอนเหนือ แม้บุตรชายจะฝึกวรยุทธ์มาแต่เด็ก ทว่ากลับเป็นคุณชายที่มีชีวิตที่สุขสบาย ไมรู้ว่าต้องเจอเรื่องทุกข์ยากสักเท่าใด
หันหมิงชั่นนั้นยุ่งวุ่นวายกว่ามารดาของนาง ตอนอยู่ในจวนก็เอาแต่กำชับพี่ชายให้พี่ชายดูแลตนเองดีๆ จากนั้นก็ยังไปเยี่ยมเยียนเหยาเยี่ยนอวี่ที่จวนเหยาเพื่อกำชับนางให้ดูแลตนเองเช่นกัน นางจึงกลายเป็นคนที่ยุ่งวุ่นวายกับเรื่องนี้ที่สุด
ซูอวี้เหิงได้ข่าวว่าหันซังเย่ว์จะออกเดินทางไปที่เขตชายแดนตอนเหนือ จึงรู้สึกกังวลใจอย่างมาก พอนึกถึงเขาที่จากไปคราวนี้ ไม่รู้ว่าจะกลับมาอีกทีเมื่อใด กันโจวมีอากาศเหน็บหนาวและอันตรายเช่นนั้น ถึงแม้เขาจะเป็นถึงทหาร ทว่าที่แห่งนั้นไกลนับพันลี้ และเขายังเป็นครั้งแรกที่ออกรบ เขาต้องมีจิตวิญญาณที่เป็นนักรบกล้าหาญและต้องการจะสร้างผลงานอย่างแน่นอน นางเลยกังวลว่าเขาจะไม่ระวังตัวจนอาจจะสิ้นชีพได้ พอนึกถึงข่าวคราวที่เว่ยจางหายตัวไปในวันนั้น นางจึงยิ่งกังวลใจมากกว่าเดิม
ยังดีที่นางหาข้ออ้างว่าจะมาส่งเหยาเยี่ยนอวี่ จึงได้เจอหน้าหันหมิงชั่น หันหมิงชั่นรู้เรื่องที่นางกังวล จึงหาเวลาว่างนางปลอบโยนนาง เพื่อให้นางสบายใจขึ้นมาหน่อย
กล่าวโดยสรุปสั้นๆ หลังจากยุ่งวุ่นวายมาสามวัน ทุกอย่างก็ได้จัดเตรียมเสร็จสิ้น
เหยาเยี่ยนอวี่เลือกหมอหญิงหกสิบคน และสาวใช้ของตนเองอีกหกคน มีทั้งชุ่ยเวย ชุ่ยผิง เซียงหรู ปั้นซย่า ไม่ตง อูเหมย น้าตู้ซาน และคนอื่นๆ ฉังเหมาพาบ่าวในจวนแม่ทัพไปสองร้อยคน พวกเขาออกเดินทางในวันที่เก้าเดือนสิบสอง
หันซังเย่ว์พาทหารสองพันนายไปคอยอยู่นอกประตูเมืองหลวงแล้ว พอเห็นเหยาเยี่ยนอวี่สวมใส่ชุดสีขาวนวลจันทร์นั่งอยู่บนหลังม้าสีแดงพุทรา เสื้อคลุมขนสีขาวของนางพลิ้วไหวไปด้านหลังตามลม เมื่อมองจากที่ไกล ทำให้ดูเหมือนเป็นปีกเทพเจ้า
หันซังเย่ว์ยิ้มอย่างรื่นเริง “พี่เหยาวางใจเถอะ ถ้าหากน้องสาวของพี่เหยาเกิดเป็นอะไรไป น้องรองของข้าคงไม่มีทางอภัยให้ข้าแน่นอน”
หันหมิงชั่นที่มาส่งพี่ชายของตนจึงพูดขึ้นยิ้มๆ “พี่ชายกล่าวถูก น้องเหยาเป็นถึงแก้วตาดวงใจของทุกคน ห้ามให้นางเป็นอะไรเด็ดขาด”
ซูอวี้เหิงก็ตามมาส่งเหยาเยี่ยนอวี่ แต่ตอนนี้กลับไม่สะดวกที่จะปรากฎหน้าให้ใครเห็นได้ จึงทำได้เพียงนั่งอยู่ในรถม้าแล้วเลิกม่านมองออกไปด้านนอก
ทางฝั่งโน้นกำลังกล่าวอำลากัน ทว่าด้านหลังกลับได้ยินเสียงล้อรถม้าเคลื่อน
“เอ๊ะ? เหมือนจะเป็นรถม้าของตระกูลโจวเลย” หันหมิงชั่นพูดด้วยความแปลกใจ
คุณหนูสามแห่งตระกูลโหว บุตรีของอันอี้โหวนามว่าโจวเย่ว์หลิน ซึ่งเป็นสตรีที่องค์หญิงใหญ่ทรงโปรดปรานและทรงเลือกไว้ให้เป็นสะใภ้ในอนาคต ก่อนหน้านี้เหตุเพราะโจวเย่ว์หลินยังเด็ก ทั้งสองตระกูลจึงตกลงกันด้วยปากเปล่า ทว่ายังไม่ทันได้หมั้นหมายอะไรกัน หลังจากนั้นก็เพราะเป็นว่าไว้อาลัยไทเฮา จึงทำให้เวลาล่าช้าไปหนึ่งปี
พอเห็นว่าหลังจากผ่านตรุษจีนไป ก็ได้เวลาที่คุณหนูโจวจะได้เข้าพิธีปักปิ่น และเป็นเวลาที่ควรแก่การพูดคุยเรื่องวิวาห์ ช่วงก่อนจวนเจิ้นกั๋วกงก็ได้ส่งแม่สื่อไปสู่ขออย่างเป็นทางการกับตระกูลโจว
วันนี้หันซังเย่ว์ไปสนามรบ ถึงแม้แค่ทำหน้าที่ส่งเหล่าหมอหญิงไปเท่านั้น ทว่าพอไปถึงเขตชายแดนตอนเหนือก็คงไม่รีบกลับมา นั่นเท่ากับว่าไปสังหารข้าศึกในสนามรบ คงต้องรอถึงวันที่ได้รับชัยชนะจึงจะกลับมา ดังนั้นอันอี้โจวซื่อจื่อนามว่าโจวเฉิงหยางจึงพาน้องสาวมาส่งขบวนรถม้านี้
เรื่องนี้ซูอวี้เหิงไม่เคยรู้มาก่อน ดังนั้นตอนที่นางเห็นโจวเย่ว์หลินจึงค่อนข้างตะลึงงัน
สายตาของหันหมิงชั่นจึงรีบมองไปที่นางเพียงชั่วพริบตา ซูอวี้เหิงเหมือนคิดอะไรออกขึ้นมาทันที ดังนั้นจึงรีบปล่อยม่านรถม้าลง แล้วหันไปพิงอยู่ตรงมุม พร้อมทั้งกัดผ้าเช็ดหน้าในมือ
จากนั้นน้ำตาจึงไหลรินลงมาผ่านแก้มทั้งสองข้างจนเสื้อด้านหน้าเปียก จั๋วอวี้ขยับเข้ามาใกล้พลางใช้ผ้ามาเช็ดน้ำตาให้นาง “คุณหนูอย่าร้องไห้เสียใจเลยเจ้าค่ะ เดี๋ยวจะไม่สบายเอา”
ซูอวี้เหิงแย่งผ้าเช็ดหน้าจากจั๋วอวี้ไปปิดหน้าไว้ แล้วร้องไห้ออกเสียง
หมาป่าที่นอนอยู่ข้างกายนางจึงร้องและขยับมาอยู่ข้างหน้านาง จากนั้นก็ใช้อุ้งเท้าตะปบตรงเสื้อผ้าของนาง ซูอวี้เหิงที่กำลังรู้สึกโศกเศร้าเสียใจถูกเจ้าหมาป่าน้อยรบกวน นางจึงซับน้ำตาแล้วโยนผ้าที่เปียกโชกไปด้วยน้ำตาทิ้ง จากนั้นก็ยื่นมือไปอุ้มเจ้าหมาป่ามาในกลางอ้อมกอด
ด้านนอกกล่าวอำลากันเสร็จ หันหมิงชั่นก็เข้าไปในรถม้าพร้อมกันสายลมเหมันต์หนาวสะท้าน พอเห็นซูอวี้เหิงร้องไห้ตาแดง นางจึงมองจั๋วอวี้เพียงชั่วพริบตา จั๋วอวี้ส่ายหัว ไม่กล้าพูดอะไรใดๆ ออกมา หันหมิงชั่นหันไปสั่งการสารถี “เช่นนั้น พวกเราก็กลับกันเถอะ”
ซูอวี้เหิงพิงอยู่ตรงมุมแล้วไม่พูดไม่จา แค่ก้มหน้าลูบจับอุ้งเท้าหมาป่า