ตอนที่ 338 พบกันใหม่ที่เมืองเฟิ่ง (1)
เฉิงอ๋องได้ยินว่าบุตรีฟื้นแล้วจึงรีบเข้ามาเยี่ยม อวิ๋นเหยาได้ยินเสียงของเสด็จพ่อจึงสะดุ้งตกใจทันที จากนั้นก็หลบไปด้านข้าง ทั้งยังเข้าไปในอ้อมกอดของน้าตู้ซาน พร้อมทั้งหลับตาและพึมพำ “เสด็จแม่ช่วยข้าด้วย”
เฉิงอ๋องไม่รู้ว่าหลายวันมานี้บุตรีต้องเจอกับเรื่องอะไรบ้าง เย่ว์หลันบอกว่าตอนที่เห็นจวิ้นจู่ นางก็สลบอยู่บนหลังม้าแล้ว ทว่าพอเห็นบุตรีตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ความโมโหเป็นฟืนเป็นไฟจึงลดลงไปในชั่วขณะ แค่พูดกับน้าตู้ซาน “เจ้าช่วยดูแลนางดีๆ หน่อยเถอะ” จากนั้นก็ลุกขึ้นจากไป
เหยาเยี่ยนอวี่ไม่ง่วงงุนอีกต่อไป แค่ใส่ชุดคลุมพลางยืนมองดวงจันทร์จากในเรือน นี่ก็กลางเดือนสิบสองแล้ว ดวงจันทร์ค่อยๆ เต็มดวง นี่เป็นอีกปีที่อากาศเหน็บหนาวที่สุด ดวงจันทร์เต็มดวงคืนนี้นับว่าเป็นจันทร์ที่สว่างและงดงามในเหมันต์
ไม่รู้ว่าตอนนี้แม่ทัพเว่ยเป็นเช่นไรบ้าง เขากำลังซุกซ่อนตัวอยู่ในพื้นหิมะ หรือกำลังต่อสู้กับศัตรูในยามราตรี หรือว่าเขาจะเป็นอะไรไปแล้วจริงๆ
ตอนที่มา นางก็มาด้วยความเชื่อมั่นว่าเขาต้องไม่เป็นอะไร ทว่าพอมาถึงที่นี่ กลับทำให้รู้สึกหวาดกลัว
“คุณหนูเหยา” เสียงของเฉิงอ๋องดังขึ้นจากด้านหลัง
เหยาเยี่ยนอวี่พลันหันไปมอง แล้วน้อมทำความเคารพเฉิงอ๋อง “ถวายบังคมเฉิงอ๋อง”
“คุณหนูไม่ต้องมากพิธีอะไร” เฉิงอ๋องเดินมาตรงหน้าเหยาเยี่ยนอวี่ แล้วพูดอย่างจนปัญญา “เมื่อครู่ข้าเห็นเหยาเอ๋อร์ ท่าทางของนางดูเหมือนหวาดระแวงมาก…”
“ท่านอ๋องวางพระทัยเถอะเพคะ จวิ้นจู่อาจเจอเรื่องขวัญเสียเกินไป ข้าได้สั่งให้คนต้มยากล่อมประสาทไปแล้ว ประเดี๋ยวให้นางดื่มจะได้ทำให้หลับสบาย พอตื่นขึ้นมาก็จะดีขึ้นเองเพคะ” เหยาเยี่ยนอวี่พูดด้วยเสียงเรียบ
เฉิงอ๋องพยักหน้าเบาๆ “ไหนๆ คุณหนูเหยาพูดเช่นนี้แล้ว เช่นนั้นเปิ่นอ๋องก็วางใจแล้ว”
เหยาเยี่ยนอวี่คลี่ยิ้ม แล้วไม่ทูลอะไรต่อ
เฉิงอ๋องพึมพำเสียงเรียบ แล้วพูดขึ้น “เหยาเอ๋อร์มีนิสัยเอาแต่ใจแต่เด็ก เหตุเพราะมารดาของนางเอาอกเอาใจมากเกินไป ก่อนหน้านี้นางทำเรื่องอะไรที่ผิดต่อคุณหนู หรือพูดอะไรที่แทงใจดำ ในฐานะที่เปิ่นอ๋องเป็นบิดาของนาง ก็ต้องกล่าวขอโทษแทนนางด้วย คุณหนูเหยาช่วยเห็นแก่องค์หญิงใหญ่ที่เป็นเสด็จป้าของนาง อย่าได้ถือสานางเลย”
เหยาเยี่ยนอวี่ค้อมตัวลงทันที “ท่านอ๋องอย่าได้ตรัสเช่นนี้เลย เรื่องพวกนั้นล้วนเป็นเรื่องเล็กเท่านั้น เยี่ยนอวี่ไม่ได้ใส่ใจเลยเพคะ” อย่างไรอวิ๋นเหยาก็ไม่มีทางได้อะไรไปจากตนเองอยู่แล้ว
เฉิงอ๋องอดแย้มยิ้มไม่ได้ “เปิ่นอ๋องได้ยินคนอื่นพูดขึ้นบ่อยๆ คุณหนูเหยาเป็นสตรีที่มีคุณธรรม เป็นจริงดั่งที่คนร่ำลือกันจริงๆ”
เหยาเยี่ยนอวี่ยกยิ้มจางๆ แค่ค้อมตัวลงอีกครั้ง ” ‘คุณธรรม’ สองพยางค์นี้ หม่อมฉันมิบังอาจจริงๆ ท่านอ๋องตรัสชมเกินจริงแล้วเพคะ”
เฉิงอ๋องมองเหยาเยี่ยนอวี่ทำสีหน้าที่เรียบเฉย จึงอดยิ้มไม่ได้ แล้วพูดขึ้น “สำหรับเรื่องที่อวิ๋นเหยามีใจให้กับแม่ทัพเว่ย คิดว่าคุณหนูคงรู้ตั้งนานแล้ว ไม่ว่าก่อนหน้านี้คุณหนูจะคิดอย่างไร วันนี้เปิ่นกงจะให้คำมั่นสัญญากับคุณหนู เปิ่นกงจะไม่มีทางปล่อยให้เหยาเอ๋อร์ไปยุ่งวุ่นวายกับคุณหนูและแม่ทัพเว่ยอีก ขอให้คุณหนูและแม่ทัพอยู่เคียงคู่กันจนแก่จนเฒ่า รอให้ศึกครั้งนี้ได้รับชัยชนะกลับไป เปิ่นกงจะกราบทูลฮ่องเต้ทรงเป็นเจ้าภาพในงานวิวาห์ของพวกเจ้าเอง”
เหยาเยี่ยนอวี่ตะลึงงัน ผ่านไปสักพักก็เอ่ยถาม “ความหมายของท่านอ๋องคือ…เขาต้องไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่!”
เฉิงอ๋องจึงหัวเราะทันที แล้วหันหลังเดินออกไปด้านนอก หลังจากเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ทิ้งท้ายคำพูดที่แสนแผ่วเบา “เปิ่นกงไม่รู้อะไรทั้งนั้น”
เหยาเยี่ยนอวี่จับจ้องเฉิงอ๋องที่กำลังเดินจากไปแล้วแอบกัดฟันกรอด
เช้าวันรุ่งขึ้น ทั้งเรือนร่างของอวิ๋นเหยาเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ หลังจากที่ตื่นขึ้นมา นางก็ได้สติขึ้นมาก พอเห็นน้าตู้ซานจึงเอ่ยถามด้วยคิ้วขมวด “ข้าจำได้ว่าเจ้าเป็นคนของเหยาเยี่ยนอวี่มิใช่หรือ”
น้าตู้ซานยกยาต้มมา แล้วพูดขึ้นยิ้มๆ “จวิ้นจู่ฟื้นเสียที”
อวิ๋นเหยามองยาต้ม แล้วมองเรือนที่อยู่ในตอนนี้ จึงเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง “ที่นี่ที่ไหน”
“ที่นี่เมืองกู้เจ้าค่ะ” น้าตู้ซานพยุงอวิ๋นเหยาลุกขึ้นนั่ง พร้อมทั้งเอาเสื้อมาคลุมตัวนาง แล้วค่อยพูดขึ้นอีกครั้ง “ประเดี๋ยวจวิ้นจู่ดื่มยาต้มก่อนแล้วค่อยกินข้าว อาการก็จะดีขึ้นเองเจ้าค่ะ ท่านอ๋องกังวลพระทัยอย่างมากเลยนะเจ้าคะ”
อวิ๋นเหยาได้ยินคำพูดนี้จึงพอเดาออกว่าตนเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
อีกอย่างดูจากสถานการณ์ตอนนี้ เหยาเยี่ยนอวี่ยังเป็นคนที่ช่วยตนไว้
เพราะว่าเสื้อผ้าของอวิ๋นเหยาถูกฉีกจนไม่เหลือชิ้นดี ทั้งห่อผ้าที่นางพกติดตัวก็ถูกแม่เฒ่าที่โลภมากยึดไปนานแล้ว ดังนั้นชุ่ยเวยจึงบอกกับเหยาเยี่ยนอวี่อย่างชัดเจน และนางก็ไปหาเสื้อผ้าที่เหยาเยี่ยนอวี่ไม่เคยใส่ส่งมาให้อวิ๋นเหยา
พอนึกถึงเจ้าสัตว์เดรัจฉานคนนั้นที่ทั้งดูดและกัดเรือนร่างของตน นางก็รู้สึกขยะแขยงยิ่งนัก ดังนั้นเลยเอ่ยถามด้วยเสียงแหบ “ยังมีเสื้อผ้าสีอื่นไหม” กล่าวจบก็เห็นชุ่ยเวยนิ่งงัน จึงพูดขึ้นเพิ่มเติม “เสื้อผ้าสีนี้สะอาดเกินไป ข้ายังต้องใส่กลับเมืองหลวง กลัวว่าจะเปื้อนง่าย”
ชุ่ยเวยพลันพูด “มีเจ้าค่ะ” ดังนั้นจึงรีบหันหลังจากไป แล้วไปหาชุดกระโปรงและเสื้อคลุมขนหนูสีม่วงหม่นมา
อวิ๋นเหยาใส่เสื้อผ้าเสร็จ แล้วล้างหน้าจัดทรงผมอย่างเรียบง่าย จากนั้นก็เอ่ยถาม “คุณหนูเหยาของพวกเจ้าไปไหนแล้ว”
ชุ่ยเวยค้อมตัวลงพลางตอบกลับ “คุณหนูอยู่เรือนตะวันออกเจ้าค่ะ เห็นว่าคุณหนูกำลังดูเหล่าสาวใช้เก็บของ เหมือนกำลังจะเตรียมตัวออกเดินทางเจ้าค่ะ”
“น้อมคำนับจวิ้นจู่” เหล่าสาวใช้ในเรือนเห็นอวิ๋นเหยาเดินเข้ามา จึงรีบวางงานในมือ แล้วเข้าไปน้อมคำนับอย่างพร้อมเพรียงทันที
“ออกไปข้างนอกกันเถอะ ข้ามีเรื่องจะคุยกับคุณหนูพวกเจ้า” อวิ๋นเหยามองเหยาเยี่ยนอวี่ แล้วพูดด้วยเสียงเรียบ
ชุ่ยเวยเหลือบตามองเหยาเยี่ยนอวี่เพียงพริบตา พอเห็นนางเชยคางขึ้น จึงพาเหล่าสาวใช้ออกไปด้านนอก
“อวิ๋นเหยารู้สึกอย่างไรบ้างแล้ว” เหยาเยี่ยนอวี่เอ่ยถามด้วยความเกรงใจ
อวิ๋นเหยาจับจ้องไปยังคุณหนูเหยาไปสักพัก แล้วยิ้มเย้ยหยันตัวเอง พร้อมพูดขึ้น “ขอบใจ”
“จวิ้นจู่เกรงใจเกินไปแล้ว ท่านอ๋องเป็นคนรับสั่ง มิเช่นนั้นข้าน้อยคงมิบังอาจ”
“เจ้าจะไปแล้วหรือ” อวิ๋นเหยาก้มหน้ามองหีบที่กองอยู่ในเรือน ด้านในเป็นเสื้อผ้าของนางที่เหล่าสาวใช้พับไว้
“เดิมทีควรออกเดินทางตั้งแต่เมื่อวานแล้ว” เหยาเยี่ยนอวี่ไม่อยากมากความ
“เหยาเยี่ยนอวี่” อวิ๋นเหยาค่อยๆ เงยหน้าขึ้น แล้วมองเหยาเยี่ยนอวี่ แล้วเอ่ยถามช้าๆ “เจ้าต้องหาเขาให้เจอใช่ไหม”
เหยาเยี่ยนอวี่พูดขึ้น “แน่นอน”
“เจ้ารักเขาไหม หรือแค่ตกลงออกเรือนเพราะงานสมรสพระราชทานของฮ่องเต้”
“จวิ้นจู่” เหยาเยี่ยนอวี่หรี่ตาลงเล็กน้อย สีหน้าไม่สบอารมณ์ “เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับท่าน ข้ารักหรือไม่รักเขา เขาก็คือบุรุษของข้า”
อวิ๋นเหยาเม้มปาก แล้วยิ้มเยาะเย้ยตนเองอย่างจนปัญญา แล้วพยักหน้า “เจ้ากล่าวถูก เขาคือบุรุษของเจ้า” กล่าวจบ นางก็ถอนหายใจเบาๆ
ถึงแม้เหยาเยี่ยนอวี่ถึงไม่รู้ว่าอวิ๋นเหยาเจออะไรมาบ้าง ทว่าดูจากรอยกัดและรอยดูดตามเรือนร่างของนาง และรวมไปถึงการละเมอพูดของนาง ก็เดาออกว่าเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นจู่ๆ ก็รู้สึกว่านางช่างน่าสงสารยิ่งนัก ซ้ำยังนางไปหมายปองในบุรุษที่ไม่มีใจให้นาง ทั้งบิดาและพี่ชายก็ช่วยนางไม่ได้ ทว่านางกลับพยายามดิ้นรน และทำทุกวิถีทางทางเพื่อแย่งเขามา สุดท้ายกลับทำให้ตนเองได้รับบาดเจ็บมากเช่นนี้
ในสายตาของเฉินอ๋อง การดิ้นรนของนางคือการดื้อดึงและการไม่ว่าด้วยเหตุผล ในสายตาของคนอื่นอาจดูเหมือนนางรนหาเรื่องและวางอำนาจข่มเหงคน ทว่าในสายตาของเหยาเยี่ยนอวี่ นางก็แค่เด็กน้อยที่ชอบสร้างปัญหาอันน่าขบขันเท่านั้น