พ่อบ้านฉินและอาเหวินยังอยู่ที่ประตูทางเข้าสาขาฟิสิกส์เช่นเดิม ขณะมองฉินหร่านเดินจากไป
“พ่อบ้านฉิน คุณไม่เป็นไรนะครับ?” อาเหวินพูดขึ้น เมื่อเห็นว่าพ่อบ้านฉินเอาแต่นิ่งเงียบไม่ยอมพูดจา เพียงยืนอยู่ที่เดิม
พ่อบ้านฉินถึงได้สติกลับมา เขาไม่ตอบคำถามอาเหวิน เพียงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาด้วยมือที่สั่นระรัว ก่อนโทรไปหาฉินซิวเฉิน
“คุณชายหกครับ ผมส่งของเรียบร้อยแล้วนะครับ” พ่อบ้านเฉิงพูด ก่อนเว้นอยู่ครู่หนึ่ง “ส่วนคน……ผมเจอตัวแล้วครับ”
ฉินซิวเฉินที่อยู่อีกฟากหนึ่งกำลังถ่ายรายการอยู่ เขาเพียงตอบ “อืม” เบาๆ สายตามองไปยังฉินหลิง “ของถึงเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็นแล้วใช่ไหม?”
ฉินซิวเฉินรู้ว่าพ่อบ้านเฉิงไม่ได้นำไปส่งทันที ซึ่งก็เป็นไปตามคาดของเขา แต่ยังดีที่พ่อบ้านฉินฟังเขาที่ให้ไปส่งของด้วยตัวเอง
ฉินซิวเฉินวางสาย พลางมองฉินหลิง ก่อนร้องตะโกนขึ้นว่า: “เสี่ยวหลิง ระวังหน่อย!”
แม้ฉินหลิงจะโตขนาดไหนแต่เขาก็ยังเป็นเด็กคนหนึ่ง เมื่อมาเจอสถานที่แปลกใหม่ย่อมออกนอกลู่นอกทางด้วยความอยากรู้อยากเห็น เวลานี้ถึงเป็นได้แค่เด็กคนหนึ่ง
อีกฟากหนึ่ง เมื่อพ่อบ้านเฉิงวางสาย อาเหวินก็ขึ้นรถ
อาเหวินนั่งอยู่ในตำแหน่งคนขับ ก่อนขับรถลงถนนใหญ่ “พ่อบ้านฉิน คนเมื่อกี้นี้คือ……”
หลังจากฉินฮั่นชิวมาถึงเมืองหลวง อาเหวินก็อยู่กับเขามาโดยตลอด แน่นอนว่าเขาย่อมมองออก ผู้หญิงเมื่อครู่มีหน้าตาคล้ายฉินฮั่นชิวอยู่หลายส่วน
“เป็นลูกสาวของนายน้อยสอง” พ่อบ้านเฉิงมองออกไปยังนอกหน้าต่างรถอย่างเลื่อนลอย
เป็นไปตามคาดเมื่ออาเหวินได้ยินข้อสรุปดังนั้นก็ตกใจจนพูดไม่ออก “ผมเคยได้ยินนายน้อยสองพูดว่าลูกสาวคนโตของเขาไม่ได้เก่งเหมือนฉินอวี่ แต่เธอสอบเข้าสาขาฟิสิกส์ได้ด้วยตัวเองเนี่ยนะ?”
ฉินหร่านไม่ใช่คนในเมืองหลวง ไม่มีเส้นสายใดคอยหนุนหลัง ทว่าสามารถสอบเข้าสาขาฟิสิกส์ได้ด้วยตัวเอง?
“ถ้าวันข้างหน้าสามารถเข้าร่วม……” อาเหวินมองกระจกรถ พลันพูดขึ้น ผ่านไปครู่หนึ่งจึงปิดปากเงียบ
สถานการณ์รุนแรงเกินไปแล้ว
การที่สามารถสอบเข้าที่นั่นได้ นอกจากเป็นผู้มีพรสวรรค์จริงๆ แล้ว เงื่อนไขอื่นคือเป็นหัวกะทิของแต่ละตระกูลที่อบรมเลี้ยงดูเป็นอย่างดีมาตั้งแต่เด็ก
ขณะที่อาเหวินและพ่อบ้านฉินขับรถกลับที่พักบรรยากาศในรถก็เงียบสนิทตลอดทาง
**
สนามสอบกลางภาคของมหาวิทยาลัยเมืองหลวงในช่วงเช้ามีเพียงสองสนามเท่านั้น
การสอบมีเพียงวิชาหลักไม่กี่วิชา
ช่วงเช้าสอบวิชาฟิสิกส์ ส่วนช่วงบ่ายสอบวิชาคณิตขั้นสูง
ฉินหร่านอยู่ที่ห้องสมุดจนถึงสอบช่วงบ่าย เดินไปที่ห้องเรียน
ขณะนี้เวลาบ่ายโมงห้าสิบนาที ดูเหมือนว่านักศึกษาห้องหนึ่งเข้ามากันแล้ว ทั้งยังมีคนถือสมุดเลกเชอร์ ทำแบบฝึกหัดที่อาจารย์สอนคณิตขั้นสูงสอนไปก่อนหน้านี้เกี่ยวกับแคลคูลัสและสมการอนุพันธ์
ทุกคนอยู่ในภาวะอับจนหนทาง
เมื่อเห็นฉินหร่าน ทุกคนก็ต่างล้อมเข้ามา
“ฉินหร่าน เมื่อเช้าส่งข้อสอบเร็วแบบนั้น หรือว่าข้อสอบฟิสิกส์ทั้งหมดเธอก็ทำหมดเลยเหรอ?”
“ยากขนาดนั้นเธอทำหมดได้ยังไง?”
“นั่นสิ ฉันมีอีกตั้งหลายข้อที่ฉันดูไม่ทัน……”
ขณะที่พวกเขากำลังรายล้อมฉินหร่าน ฉู่หังและสิงไคก็เดินเข้าห้องมาพอดี เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์ตรงหน้า เท้าที่ก้าวอยู่ก็หยุดชะงักลง “ฉันก็มีข้อหนึ่งที่ทำไม่ทันเหมือนกัน ฉินหร่านทำได้เร็วขนาดนั้นเลยเหรอ?”
การสอบฟิสิกส์ช่วงบ่ายเป็นสิ่งที่น่าเวทนาและยากเกินกว่าที่เขาจะเข้าใจ
อย่าว่าแต่สิงไคเลย นักศึกษาทุกคนของวิศวกรรมอัตโนมัติเมื่อต้องสอบวิชาคณิตขั้นสูงในรอบบ่ายก็ต่างหมดอาลัยตายอยากกันเสียแล้ว
เดิมทีคิดว่าวิชาฟิสิกส์ก็ทำให้พวกเขาตายทั้งเป็น เพราะฟิสิกส์คือสิ่งที่ทำให้นักศึกษาอยากพวกเขาตกอยู่ในสภาพน่าสังเวช
จนมาถึงช่วงบ่าย เมื่อข้อสอบวิชาคณิตขั้นสูงถูกส่งลงมา พวกนักศึกษาวิศวกรรมอัตโนมัติถึงได้ค้นพบว่าพวกเขาใส่ร้ายอาจารย์ฟิสิกส์เกินไป
อย่างน้อยวิชาฟิสิกส์ก็ยังพอทำได้ตามสภาพ ทว่าวิชาคณิตขั้นสูงล้วนทำให้พวกเขาสติแตก มีทั้งพีชคณิต ทฤษฎีความซับซ้อนของการคำนวณขั้นสูง โดยเฉพาะข้อสุดท้ายคือสมการเชิงอนุพันธ์สามัญลำดับสี่
บทเรียนพวกนี้มีในหนังสือหรือ? ? นี่มันตัวอย่างข้อสอบคณิตศาสตร์เฉพาะที่นักเรียนหัวกะทิจากโรงเรียนสอนเลขใช้เพื่อสอบชิงรางวัลไม่ใช่รึ? !
แล้วเอามาให้เด็กวิศวกรรมอัตโนมัติสอบเนี่ยนะ ? ? สมองกลับรึยังไง ? ? ?
เมื่อเห็นโจทย์แบบนี้ ทุกคนล้วนเขียนข้อมูลที่พอรู้ลงไป
ส่วนสมการอนุพันธ์สามัญลำดับสี่ข้อสุดท้าย สำหรับสาขาคณิตศาสตร์ล้วนอยู่ในระดับที่ยากไม่น้อย ไม่เพียงต้องแก้ตามเงื่อนไขที่วางไว้ แต่ยังใช้จำนวนเชิงซ้อนเป็นตัวพิสูจน์ทฤษฎีบทกราฟที่สี่
เมื่อฉินหร่านเขียนถึงบรรทัดสุดท้าย ก็ค้นพบว่าต้องใช้หลักความน่าเป็นพื้นฐานของมาร์คอฟอ้างอิงด้วยถึงแก้ไขข้อนี้ได้
เธอเขียนคำตอบด้านหน้าอย่างรัดกุม ส่วนข้อสุดท้ายเธอใช้พื้นที่ความยาวครึ่งหน้ากระดาษข้อสอบในการเขียนคำตอบ
เธอทำข้อสอบเสร็จก่อนเวลา ส่งกระดาษคำตอบส่งให้อาจารย์คุมสอบ จากนั้นหิ้วกระเป๋าเป้เดินออกไป
ฉินหร่านเป็นนักศึกษาสาขาวิศวกรรมอัตโนมัติที่มีชื่อเสียง อาจารย์คุมสอบจึงระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอาจารย์ที่ดูแลสอบวิชาเลขขั้นสูงของเธอ หลังจากคุมสอบเธอเสร็จ ก็หยิบข้อสอบของเธอขึ้นมาดูอย่างตกตะลึง
อาจารย์คุมสอบอ่านทุกตัวอักษรที่อยู่บนกระดาษคำตอบ ก่อนพลิกข้อสอบของฉินหร่าน อ่านดูอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นใส่ซองปิดผนึกอย่างดี ก่อนเดินกลับห้องทำงาน
“คุณไม่เป็นไรใช่ไหม?” อาจารย์ในห้องทำงานเดียวกันถามขึ้นเมื่อเห็นท่าทางของเขาผิดปกติไป
เมื่อผู้คุมสอบรู้สึกตัว เขาส่ายหน้า “ผมก็แค่……”
“ข้อสอบวันนี้ยากไปเหรอครับ?”
“เรื่องข้อสอบผมก็ไม่แน่ใจ” อาจารย์คุมสอบวางกระดาษข้อสอบลง จากนั้นหันไปพูดกับอาจารย์ที่ถามเขา “ก็……คุณเคยเห็นคนที่เขียนคำตอบได้ครึ่งนึงแล้ว จู่ๆ เมื่อยกะทันหัน เลยเปลี่ยนข้างเขียนไหมครับ?”
ในฐานะอาจารย์ที่คุมสอบมาหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่คุมสอบอยู่แล้วเห็นนักศึกษาทำแบบนี้ เขาถึงกับนิ่งอึ้งไปตอนที่เห็นเหตุการณ์นี้
ทางด้านของอาจารย์ที่เข้ามาถามเขานั้น: “……”
พูดตามตรง เขาเองก็ไม่เคยเห็น
เจอแต่คนที่ถือของด้วยมือขวาจนเมื่อย แล้วเปลี่ยนมาใช้มือซ้ายแทน
**
เมื่อวิชาฟิสิกส์และเลขขั้นสูงผ่านพ้นไป เป็นธรรมดาที่ระลอกคลื่นแม้แต่ครึ่งก็ไม่ทำให้นักศึกษาตื่นเต้นได้เลยในการสอบวิชาถัดไปอย่างคอมพิวเตอร์
วิชาคอมพิวเตอร์สอบที่ห้องคอมเวลาเก้าโมงเช้าของวันถัดไป
ฉินหร่านกวาดตาข้อแรกไปข้อสุดท้ายรอบหนึ่ง ล้วนเป็นคำถามขั้นพื้นฐานทั้งสิ้น ส่วนข้อสุดท้ายมีจุดยากเล็กน้อย เนื่องจากเธอไม่ต้องเขียนโปรแกรมส่วนต้นด้วยตัวเอง เธอจึงใช้เวลาอยู่ประมาณสิบนาทีก็เขียนโปรแกรมเสร็จ
ทั้งเธอไม่ได้ตรวจทานข้อสอบด้วยซ้ำ เพียงเปิดโปรมแกรมอิดิเตอร์ขึ้นก่อนพิมพ์โค้ดคู่หนึ่งแล้วกดEnter
จากนั้นค่อยๆ ดันเก้าอี้ลุกขึ้นเตรียมออกไป
เมื่อเห็นฉินหร่านกำลังออกไป อาจารย์คุมสอบที่กำลังเดินตรวจตราอยู่ในห้องคอมก็รีบเข้ามา: “นักศึกษาครับ สอบไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ระบบไม่อนุญาตให้ส่งข้อสอบ……”
เขาอยู่ข้างตัวฉินหร่าน ก่อนพูดเสียงต่ำ
การส่งข้อสอบวิชาคอมพิวเตอร์เป็นระบบการส่งข้อสอบของมหาวิทยาลัยเมืองหลวงที่ต้องรอครึ่งชั่วโมงทุกครั้งถึงส่งได้ คอมพิวเตอร์จะถูกควบคุมอย่างเข้มงวดกว่าเดิม
ขณะที่อาจารย์คุมสอบกำลังพูด ก็มองไปยังคอมพิวเตอร์ของฉินหร่าน
ระบบดาวน์โหลดวงกลมบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ของฉินหร่านเสร็จสิ้นแล้ว
จากนั้นคำสั่ง “ส่งข้อสอบสำเร็จ” และแถบสีเขียวทำการสำเร็จแถบหนึ่งเด้งขึ้น
อาจารย์คุมสอบพูดอยู่ครึ่งประโยค ก็หยุดนิ่งไป
ขนตาของฉินหร่านพริ้มลงเล็กน้อย เธอถือกระเป๋าเป้สีดำอย่างไม่ใส่ใจ เพียงใช้คำพูดที่ได้ยินเพียงสองคนสอบถามอย่างสุภาพ: “อาจารย์ ฉันไปได้รึยัง?”
อาจารย์คุมสอบตอบ “อา” ออกมาคำหนึ่ง ถึงได้สติกลับมา “อืม เธอไปเถอะ”
เขาไม่ใช่อาจารย์สอนวิศวกรรมอัตโนมัติเฉพาะทาง แต่เป็นอาจารย์ของห้องคอมที่นี่ เมื่อฉินหร่านเดินจากไปแล้ว เขาขมวดคิ้วมองคอมของฉินหร่านอีกครั้ง
รอให้นักศึกษาทุกคนสอบเสร็จ อาจารย์จึงล็อกประตูห้องคอมอย่างแน่นหนา ก่อนกลับห้องทำงาน พร้อมรายงานเจ้าหน้าที่ดูแลห้องคอมอย่างละเอียดยิบ
[ระบบการสอบของห้องคอมมีปัญหา]
ระบบการสอบของห้องคอมมหาวิทยาลัยเมืองหลวงเนี่ยนะมีปัญหา? !
นี่เป็นการหยามเกียรติสาขาคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัยเมืองหลวงที่ร้ายแรงที่สุดเลย !
โดยเฉพาะช่วงที่กำลังตึงเครียดกับการสอบแบบนี้ !
หลังจากกลุ่มเจ้าหน้าที่ดูแลห้องคอมพักกลางวันเสร็จ ล็อกห้องคอมมหาวิทยาลัยเมืองหลวง และเริ่มตรวจสอบแก้ไขBugทั้งหมด
มีนักศึกษากลุ่มหนึ่งต้องขึ้นมาสอบที่ห้องคอม โดยเฉพาะนักศึกษาเศรษฐศาสตร์ปีสองที่คุ้นเคยกับการจัดอันดับรูปแบบห้องคอมก่อนหน้า เมื่อเห็นว่าประตูด้านหน้าห้องคอมล็อกไว้พร้อมแปะป้ายอยู่ในโหมดขัดข้องกำลังแก้ไข ก็ต่างมองหน้ากัน
มหาวิทยาลัยเมืองหลวงเปิดสอนมานาน นี่เป็นครั้งแรกที่ห้องคอมเกิดเหตุขัดข้องและตรวจสอบครั้งใหญ่ขนาดนี้ ทำให้บนหน้าเว็บเพจต่างพูดคุยเรื่องนี้กันอย่างร้อนแรง ทั้งใต้โพสต์ยังพูดคุยกันเกี่ยวกับทฤษฎีสมคบคิด
อย่างเช่น ถูกองค์กรนักศึกษามหาวิทยาลัย A จู่โจม ไม่ก็มีแฮ็คเกอร์นิรนามอยากท้าทายอำนาจระบบรักษาความปลอดภัยของมหาวิทยาลัยเมืองหลวง……
ข่าวลืออะไรล้วนแพร่กระจายออกไปหมด
แน่นอนว่า ฉินหร่านไม่ใส่ใจเรื่องพวกนี้ ทั้งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแต่เดิมเธออยากตั้งใจสอบ……แต่กลับไม่คิด ว่าจะทำให้แผนกคอมถึงกับวุ่นวายในช่วงเที่ยงนี้
**
เมื่อสอบเสร็จทุกวิชาแล้ว เหล่าสาขาวิศวกรรมอัตโนมัติต่างเห็นอกเห็นใจนักศึกษาปีหนี่งที่ท้อแท้ใจ ทั้งยังเมตตาให้เด็กปีหนึ่งได้พักผ่อนครึ่งวัน
หนานฮุ่ยเหยาไม่ได้กินข้าวเที่ยง เพียงลากสังขารอันหนักอึ้งของตัวเองกลับห้องพัก
เมื่อเปิดประตู ก็เห็นหยางอี๋ที่มีสภาพไม่ต่างกับเธอกำลังนั่งพิงเก้าอี้อย่างไร้แรงไร้อารมณ์ ทั้งสองสบตากับแวบหนึ่ง ดูเหมือนจะรับรู้แล้วว่าการสอบของอีกฝ่ายเป็นอย่างไร
“ฉันซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาสองถ้วย” หยางอี๋นั่งตัวตรง ก่อนโยนบะหมี่ถ้วยหนึ่งให้หนานฮุ่ยเหยา: “ฉันคิดว่าเธอก็คงไม่มีแรงกินข้าวเที่ยง ฉันจึงเปิดเครื่องดื่มอีกขวดไว้ให้”
หนานฮุ่ยเหยาหยิบบะหมี่ พลางนั่งลงคิดอะไรอยู่ในหัวสองนาที ก่อนได้สติกลับมา เปิดฝาถ้วยบะหมี่ ฉีกซองเครื่องปรุงรส จากนั้นเติมน้ำ
ด้านนอก เหลิ่งเพ่ยซานถือกระจกบานเล็กเดินเข้ามา
เธอเพิ่งกินข้าวเสร็จ พลางเดินถือลิปทาปาก
เมื่อเห็นทั้งสองมีท่าทางเช่นนี้ เหลิ่งเพ่ยซานจึงหยุดมองหยางอี๋ “การสอบของพวกเธอปีนี้ยากขนาดนั้นเชียว?”
โดยปกติเธอกับหนานฮุ่ยเหยาไม่พูดจากันอยู่แล้ว
หยางอี๋พยักหน้า “เป็นปีที่ยากที่สุดในประวัติกาล”
เหลิ่งเพ่ยซานชะงักไปครู่หนึ่งก่อนยิ้ม เธอนั่งเก้าอี้ ทาลิปต่อ “งั้นเหรอ ฉันจำได้ว่าฉินหร่านก็กลับมาสอบวิศวกรรมอัตโนมัติหนิ”