ราชันเร้นลับ 918 : คาดเดาและทฤษฎี
เมืองเครน ภายในห้องพักของโรงแรม
ไคลน์นั่งบนเก้าอี้เอนหลังพลางเอื้อมมือออกไปรับชาดำกับมะนาวฝานที่ชงโดย ‘ผู้ชนะ’ เอ็นโซ
อีกด้านหนึ่งของมัน ‘พลเรือเอกขุมนรก’ ลูเธอร์ไวล์กำลังอยู่ในสภาพสวมหน้ากากสีเงิน ดาบเสียบเอว ยืนตัวตรง ดูคล้ายกับผู้พิทักษ์แสนซื่อสัตย์
ปัจจุบัน ไคลน์เพิ่งสงบสติได้อย่างสมบูรณ์ มีพลังงานเพียงพอที่จะวิเคราะห์ว่าเกิดอะไรขึ้นในอนุสาวรีย์บรรจุศพของมรณา ท่ามกลางคำถามที่ถาโถม สิ่งที่มันสนใจมากที่สุดคือผู้ที่ช่วยเหลือมิสเตอร์อะซิกให้พ้นจากปัญหาในช่วงเวลาวิกฤติ แถมยังมอบให้สามตัวเลือก
ประการแรก เสียงผู้หญิง…
ประการที่สอง เรื่องนี้ต้องเป็นประโยชน์ต่อ ‘ท่าน’ มิฉะนั้นคงไม่ลงทุนถ่อมาที่นี่เพื่อให้ความช่วยเหลือ แน่นอน เว้นเสียแต่จะบังเอิญผ่านทางมาและสงสาร จึงยื่นมือช่วยเหลือ เหตุผลนี้ค่อนข้างฟังขึ้น แต่ปัญหาคือ อนุสาวรีย์บรรจุศพเกิดขึ้นจากพลังเทพ ตะกอนพลัง และซากศพที่หลอมรวมกับสภาพแวดล้อมของมรณาหลังจากร่วงหล่น ถ้าไม่มี ‘กุญแจ’ ที่สอดคล้องกัน แม้แต่เทพก็คงหาไม่พบ จะเปิดประตูก็ไม่ได้ แล้วจะมีคนบังเอิญผ่านมาได้อย่างไร?
นอกจากนั้น มิสเตอร์อะซิกตัดสินใจอย่างกะทันหัน มิไม่ได้แวะไปหาคนของนิกายวิญญาณเพื่อ ‘สอบถาม’ ข้อมูลก่อน แค่ตามเสียงเรียกจนกระทั่งถึงทะเลคลั่งและเข้าสู่ ‘ขุมทรัพย์ของมรณา’ หากไม่ใช่ตัวตนที่สามารถระบุพิกัดของเราหรือเขา หรือมีความสามารถในการคาดการณ์ที่ทรงพลัง ก็แทบไม่มีตัวตนใดสามารถมาถึงได้ทันเวลา…
และสุดท้าย ซาลินเจอร์ที่สามารถคืนชีพในร่างมิสเตอร์อะซิกคงไม่พ้นตัวตนจากยุคสมัยที่สี่เจ้าของวลี ‘ถึงข้าจะบ้า แต่ข้าก็แข็งแกร่ง’ อย่างเทพมรณา… สตรีคนดังกล่าวเรียกเทพมรณาด้วยสรรพนามขาดความเคารพ…
หรือว่า…
ขณะไคลน์กำลังวิเคราะห์อย่างจริงจัง มันผุดสมมติฐานบางข้อขึ้นในใจ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหลีกเลี่ยงความเป็นไปได้ดังกล่าว
เท่าที่มันทราบ สามเส้นทางพิเศษอันประกอบด้วยรัตติกาล มรณา และคนยักษ์ล้วนอยู่ในกลุ่มเดียวกัน สามารถสับเปลี่ยนได้ในลำดับสูง นอกจากเทพธิดาจะสามารถกุม ‘อำนาจ’ บางส่วนในขอบเขตดวงจันทร์ผ่านสมบัติปิดผนึกระดับ 0 บางชิ้น หรือไม่ก็ผ่านสมญานาม ‘สตรีสีชาด’ พระองค์ยังครองสมญานาม ‘มารดาแห่งการหลับใหลและความเงียบ’ ซึ่งสามารถบ่งชี้ไปยังโลกแห่งความตายและ ‘อำนาจ’ ในขอบเขตของความตายได้เช่นกัน
เมื่อผนวกกับประสบการณ์ในหมู่บ้านสายหมอกที่ผ่านมา รวมถึงประสบการณ์สมัยยังอยู่ที่ทิงเก็นและสัมผัสกับดาบศักดิ์สิทธิ์เพื่อให้สัตย์สาบาน เห็นได้ชัดว่าเทพธิดานั้นมี ‘อำนาจ’ ในขอบเขต ‘ความอับโชค’ ด้วย และทำให้ไคลน์เชื่อว่า ตนอาจเคยอยู่ใน ‘เป้าหมายการจับตามองพิเศษ’ ของอีกฝ่าย เช่นเดียวกับที่มันใช้ ‘คทาเทพสมุทร’ เพื่อทำเครื่องหมายกับสาวกบางคน
ถ้าสมมติให้เป็นเช่นนั้นและหาเหตุผลมารองรับ คำถามทั้งหมดจะถูกไขกระจ่างหากอีกฝ่ายเป็นเทพธิดา…
ในฐานะหนึ่งในเจ็ดเทพจารีต และหนึ่งในผู้ชนะคนสุดท้ายของ ‘ยุคไร้ชีวิตชีวา’ เทพธิดามีศักดิ์และสิทธิ์เพียงพอที่จะเพิ่มสมญานามในขอบเขต ‘ความตาย’ ให้กับตัวเอง…
และตัวเราที่ถูกทำเครื่องหมายโดยพระองค์ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงที่แปลกประหลาดจำพวก การเข้าไปในสถานที่ผิดวิสัยอย่าง ‘กรุสมบัติของเทพมรณา’ ย่อมต้องทำให้พระองค์รับรู้และตอบสนองกลับมา และเนื่องจากต้องใช้เวลาดำเนินการสักพัก กว่าจะลงมือก็เกือบสายเกินไป…
สำหรับพระองค์ เทพมรณาเทียม หรือที่เรียกว่า ‘เอกลักษณ์’ ของเส้นทาง ‘มรณา’ ที่เริ่มมีชีวิตชีวา น่าจะมีประโยชน์ต่อการเสริม ‘อำนาจ’ ในขอบเขต ‘การหลับใหลและความเงียบ’ ของท่านได้ไม่มากก็น้อย… อาจถึงขั้นช่วยให้พระองค์ ‘กัดกร่อน’ อำนาจของเทพมรณาได้โดยตรง เช่นเดียวกับที่มารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายเคยกระทำกับเทพผู้ถูกล่าม…
เมื่อ ‘เทพมรณา’ ร่วงหล่น… ตะกอนพลังลำดับ 1 ทั้งสามก้อนควรแยกตัวตามธรรมชาติ เราไม่รู้ว่าใครได้ครอบครองไปบ้าง… หากเทพธิดารวบรวมพวกมันสำเร็จ บางที สมญานามอย่าง ‘ผู้ปกครองโลกแห่งความตายโบราณ ราชินีแห่งอันเดดทั้งปวง’ อาจตกเป็นของพระองค์…
แม้ว่ามิสเตอร์อะซิกจะถูกบุคคลระดับสูงของโบสถ์รัตติกาลไล่ล่ามาตลอด แต่ก็ไม่เคยมีเหตุร้ายเกิดขึ้นเลยสักครั้ง… คล้ายกับเทพธิดาเฝ้ารอให้เรื่องราวดำเนินมาถึงวันนี้อย่างใจเย็น… ครุ่นคิดถึงตรงนี้ ไคลน์พลันเกิดความคิดนอกรีต
อันที่จริง มันค่อนข้างเคร่งศาสนา อย่างน้อยก็เปลือกนอก ไคลน์รีบยกมือขวาขึ้นมาแตะสี่จุดตามเข็มนาฬิกาเพื่อทำสัญลักษณ์พระจันทร์แดงอย่างเคร่งครัด ปากขยับพึมพำ
“เทพธิดาจงเจริญ”
สิ่งนี้ทำให้มันหวนนึกถึงคำตอบของ ‘อสรพิษแห่งชะตา’ วิล·อัสติน หลังจากอีกฝ่ายไปว่า ตนจะได้รับสูตรโอสถลำดับสูงของเส้นทาง ‘นักทำนาย’ ด้วยวิธีใดบ้าง:
สามารถหาได้จากซาราธที่เสียสติ หรือไม่ก็ยอดเขาหลักของเทือกเขาโฮนาซิส… แต่ถ้าเราเป็นข้ารับใช้แห่งรัตติกาล ให้ถือว่าเขาไม่ได้พูดอะไร…
หลังจากเหตุการณ์ในหมู่บ้านสายหมอก ไคลน์ค้นพบว่าการไปเยือนภูเขาโฮนาซิสให้ผลลัพธ์เดียวกับการตามหาซาราธ หรือแม้กระทั่งการขโมยสมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัสจากวิหารนักบุญแซมมวลก็ยังให้ผลลัพธ์แบบเดียวกัน จนกระทั่งเมื่อครู่ มันเริ่มพบว่าประโยคสุดท้ายของวิล·อัสตินมิได้ไร้ความหมายเสียทีเดียว
ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบคาง พึมพำกับตัวเอง
“อาจจะ… มีสิทธิ์เป็นไปได้ว่า… เรากลายเป็นข้ารับใช้ของรัตติกาลไปแล้ว…”
สำหรับสิ่งนี้ ไคลน์มิได้รู้สึกรังเกียจแต่อย่างใด
ภายในหนึ่งปีแรกหลังจากเดินทางมายังโลกปัจจุบัน มันใช้ชีวิตในฐานะเหยี่ยวราตรีของเมืองทิงเก็น มีเพื่อนร่วมทีมและเพื่อนร่วมงานที่ดี มีชีวิตที่ค่อนข้างอบอุ่น และยอมรับในแนวคิดกับหลักคำสอนของศาสนารัตติกาล จนกระทั่งปัจจุบัน ความรู้สึกเดิมยังคงไม่เปลี่ยน แม้จะพูดไม่ได้เต็มปากว่าตนศรัทธาในเทพธิดารัตติกาล แต่ก็ต้องยอมรับว่าไคลน์เคารพนับถือเทพตนนี้มากที่สุด
ในอีกแง่หนึ่ง อย่างน้อยก็ในตอนนี้ ‘เทพธิดารัตติกาล’ ยังไม่เคยแสดงความมุ่งร้ายกับตน ตรงกันข้าม ตนมีแต่จะได้รับ ‘ของขวัญ’ บางอย่างตอบแทน ไคลน์จึงประเมินว่า ไหนๆ ก็ถูกหมายหัวเป็นพิเศษแล้ว และคงหลุดพ้นไม่ได้ง่ายนัก ก็คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการอ้าแขนยอมรับชะตากรรมและใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้อย่างเต็มที่
แน่นอน เราจะไม่ประมาท… นอกจากนั้น เรายังมีศัตรูมากเกินไปในปัจจุบัน จำพวก ‘มารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย’ ‘พระผู้สร้างแท้จริง’ ‘แม่มดบรรพกาล’ ‘ดวงจันทร์บรรพกาล’ ‘ผู้เย้ยเทพ’ อามุนด์และ ‘เทวทูตโชคชะตา’ โอโรเลอุส บางคนสามารถระบุพิกัดของเราได้ทุกเมื่อ ดังนั้นอย่าละอายใจที่จะหาต้นไม้ใหญ่เกาะ หากไม่ทำอะไรสักอย่าง อนาคตจะมีแต่ความยากลำบากรออยู่! ไคลน์ที่ตระหนักว่าตนมีศัตรูมากมายเกินกว่าลำดับพลังปัจจุบันจะรับมือไหว รีบปรับทัศนคติอย่างรวดเร็ว
สำหรับชายหนุ่ม หากเทพธิดาเริ่มทำเครื่องหมายกับตนนับตั้งแต่วินาทีที่สัมผัสกับดาบ ไม่ใช่ก่อนหน้านั้น และตราบใดที่พระองค์ไม่ ‘สอดแนม’ นานหรือถี่เกินไป มันก็พอจะรับได้
อย่างน้อย พิจารณาจากประสบการณ์การทำเครื่องหมายด้วย ‘คทาเทพสมุทร’ การ ‘สอดแนม’ ตลอดเวลานั้นทำไม่ได้… อา… มิสเตอร์อะซิกคงหลับลึกไปอีกนาน และเทพธิดาคงมิอาจ ‘เสด็จลงมาเดินดิน’ ได้ไม่ง่ายนัก คงมีอุปสรรคและการเตรียมตัวที่ยุ่งยากซับซ้อน ไม่อย่างนั้น เทพจารีตทั้งเจ็ดคงสามารถ ‘เสด็จลงมาเดินดิน’ กันจนเป็นเรื่องปรกติเพื่อแก้ปัญหาต่างๆ ให้ลุล่วง… ดังนั้น เราต้องทำตัวไม่เตะตาในทวีปใต้ อย่าไปคาดหวังความช่วยเหลือจากภายนอก… ไคลน์เตือนตัวเองสองสามคำ ก่อนจะหันไปตรวจสอบหุ่นเชิดใหม่ ‘พลเรือเอกขุมนรก’ ลูเธอร์ไวล์
ด้วยความสัตย์จริง มันอยากเห็นใบหน้าที่อยู่ใต้หน้ากากสีเงินมาตลอด แต่เมื่อย้อนนึกไปถึงครั้งสุดท้ายที่ได้ต่อสู้กัน การถอดหน้ากากของลูเธอร์ไวล์ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงอันน่าสะพรึง ชายหนุ่มจึงระงับความอยากรู้อยากเห็นเอาไว้ ไว้ค่อยทดลองใหม่ในตอนที่ออกจากเมืองและเข้าไปในดินแดนรกร้างปราศจากผู้คน
หลังจากใช้ความพยายามสักพัก ไคลน์ค้นพบลำดับพลังและความสามารถของหุ่นเชิดตัวใหม่
ลูเธอร์ไวล์เป็น ‘ผู้เฝ้าประตู’ ลำดับ 5 ของเส้นทาง ‘มรณา’ และไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาอีกต่อไปแล้ว
ลำดับ 9 ของเส้นทางเดียวกันก็คือ ‘ผู้เก็บซากศพ’ ไคลน์พอจะมีข้อมูลอยู่บ้างสมัยทำงานกับเหยี่ยวราตรีทิงเก็น ทราบว่าคนเหล่านี้จะมีออร่าคล้ายศพ บรรยากาศหม่นหมอง อุณหภูมิร่างกายต่ำ เพื่อมิให้ถูกโจมตีโดยเหล่าอันเดดไร้สติปัญญา ขณะเดียวกันก็เสริมสมรรถภาพร่างกายขึ้น สามารถทนต่อการกัดเซาะของพลังกัดกร่อน ความเย็น และความตาย เปิดเนตรวิญญาณอยู่ตลอดเวลา แถมยังมีความเข้าใจในคุณสมบัติและจุดอ่อนของอันเดด
ลำดับ 8 ‘นักขุดสุสาน’ ผู้เก็บซากศพที่เลื่อนมาเป็นลำดับนี้จะมีร่างกายที่แข็งแรงขึ้น เนตรวิญญาณทรงพลังขึ้น มีความคล่องตัวมากขึ้น สามารถสื่อสารกับ ‘วิญญาณ’ ที่อยู่ใกล้เคียงได้ และขอร้องให้พวกมันช่วยเหลือ นอกจากนั้น ‘นักขุดสุสาน’ ยังสามารถวิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็งของสัตว์วิญญาณและอันเดดที่พวกตนไม่คุ้นเคยได้ด้วยพลังที่เรียกว่า ‘เนตรมรณะ’
ลำดับ 7 ‘ผู้สื่อวิญญาณ’ เป็นลำดับที่มีการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ ผู้วิเศษจะเชี่ยวชาญพิธีกรรมลึกลับต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณ สามารถสื่อสารโดยตรงกับวิญญาณตามธรรมชาติและวิญญาณเร่ร่อนภายในโลกความจริง และนั่นทำให้การสืบข่าวเป็นเรื่องง่าย
ในทำนองเดียวกัน พวกมันสามารถใช้วิญญาณที่แตกต่างกันในการสร้างผลลัพธ์ที่คล้ายเวทมนตร์หลากหลายประเภท รวมถึงการสร้างปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติต่างๆ
ลำดับ 6 ‘ผู้ชี้นำวิญญาณ’ และลำดับ 5 ‘ผู้เฝ้าประตู’ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญเท่ากับเมื่อครั้ง ‘ผู้สื่อวิญญาณ’ แต่เป็นการขยายขอบเขตของการสื่อสาร และยกระดับให้ ‘ผู้สื่อวิญญาณ’ เริ่มเข้ามาพัวพันกับโลกวิญญาณ รวมไปถึงการ ‘จ้าง’ ผู้ส่งสารส่วนตัวจากบรรดาสัตว์วิญญาณจำนวนมาก ในลำดับ ‘คนเฝ้าประตู’ ผู้วิเศษจะสัมผัสถึงประตูที่ใช้เข้าสู่โลกแห่งความตาย รวมถึงสามารถควบคุมวิญญาณของคนตายด้านใน ประหนึ่งเป็นผู้เฝ้าทางเข้าออกที่เป็นเส้นแบ่งระหว่างคนเป็นและคนตาย
นับตั้งแต่ ‘ผู้สื่อวิญญาณ’ เป็นเต้นไป จำนวนของสัตว์วิญญาณและอันเดดที่สามารถควบคุมได้จะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด นอกจากนั้น ผู้ชี้นำวิญญาณยังเชี่ยวชาญ ‘ภาษาแห่งความตาย’ ที่สามารถทะลวงผ่านแนวป้องกันของร่างเนื้อ สื่อสารกับร่างวิญญาณโดยตรงเพื่อเข้าควบคุมหรือแม้กระทั่งสั่งให้เป็นทาส และในกรณีของ ‘ผู้เฝ้าประตู’ พวกมันมีพลังในการเปิดประตูลึกลับที่แบ่งแยกระหว่างความเป็นและความตาย – ประตูสู่โลกแห่งความตาย!
ถ้าไม่ใช่เพราะนกหวีดทองแดงอะซิกสามารถปั่นป่วนเหล่าวิญญาณที่ถูกผู้เก็บซากศพควบคุมอยู่ ตอนนั้นเราคงไม่มีปัญญาไปสู้กับพลเรือเอกขุมนรก หรือแม้กระทั่งปัจจุบัน หากไม่มีความช่วยเหลือจากพลัง ‘ท่องเที่ยว’ ต่อให้ใช้พลังระดับครึ่งเทพโจมตี ก็ยังไม่แน่ว่าจะปิดฉากลูเธอร์ไวล์ลงได้… ในตอนที่วางแผนแก้แค้นอินซ์·แซงวิลล์ เราต้องพึงระวังไว้ว่าเจ้านั่นเคยเป็น ‘ผู้เฝ้าประตู’ … ไคลน์พยักหน้ากับตัวเอง ยกแก้วขึ้นดื่มชาดำ
สำหรับอาวุธคู่กายลูเธอร์ไวล์ ดาบเล่มนี้มีนามว่า ‘แฮร์ริสเรเพีย’ เป็นขององค์ชายเก่าแก่คนหนึ่งจากทวีปใต้ พลังไม่สอดคล้องกับเส้นทางหรือลำดับใด ลักษณะเหมือนกับ ‘ราชาแดนเหนือ’ ยูลิเซี่ยนที่เกิดจากการรวมตัวกันของตะกอนพลังที่ไม่ยึดตามหลักธรรมชาติ
ความสามารถพิเศษเพียงอย่างเดียวของดาบเล่มนี้ก็คือ นำพาความพินาศมาสู่เป้าที่ถูกแทง
ในฐานะนายพลโจรสลัดที่มีค่าหัวสูงสุด สมบัติวิเศษของลูเธอร์ไวล์ย่อมมีมากกว่าดาบวิเศษเล่มนี้ แต่น่าเสียดาย แหวนมรณาที่มีมูลค่าสูงที่สุดกลับถูกอะซิกยึดไป ส่วนหน้ากากสีเงินบนใบหน้า ไคลน์ยังไม่กล้าวิจัยในปัจจุบัน
และนอกจากนั้น… มันไม่ได้สนใจเงินเลยสักนิด ไม่พกเงินติดตัวแม้แต่เพนนีเดียว… ไคลน์วางถ้วยชาลงพลางถอนสายตากลับ ตัดสินใจใช้ประโยชน์จากเวลาว่างขณะรอเดนิสสืบข้อมูล เตรียมเดินทางออกจากเมืองเครนเพื่อไปยังที่ใดสักแห่ง