ราชันเร้นลับ 899 : โลกวิญญาณแห่งทะเลคลั่ง
พายเดซีย์ใช้ส่วนผสมมากกว่าเบ็คลันด์ แต่ชอบเพิ่มเครื่องเทศของท้องถิ่นเข้าไป ทำให้เกิดความรู้สึกปะแล่มเล็กน้อยในช่วงสองสามคำแรก แต่เมื่อปรับตัวได้ จะเกิดความรู้สึกแปลกใหม่ทันที… ไคลน์นั่งอยู่ในห้องของโรงแรม กัดพายชุ่มน้ำมันเป็นบางครั้ง ดื่มชาเย็นชื่นใจเป็นบางคราว ชีวิตค่อนข้างสะดวกสบาย
รอจนกระทั่งอิ่ม ชายหนุ่มมิไม่ได้เก็บกวาดทันที แต่หยิบหมวกทรงสูงที่เก้าอี้ข้างๆ มาสวมไว้เหนือศีรษะ
ขณะเดียวกัน ถุงมือฝ่ามือซ้ายของมันกลายเป็นสีโปร่งใส คนทั้งคนเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว หายไปอย่างสมบูรณ์
ไคลน์เข้าสู่โลกวิญญาณเพื่อ ‘ท่องเที่ยว’ ไปยังท่าเรือโปโตในทะเลคลั่ง แสวงหาอาหารสำหรับ ‘ยุบพองหิวโหย’
ท่าเรืออิสเคอร์เซ่นเป็นของอ่าวเดซีย์ก็จริง แต่ไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นชายฝั่ง เพราะสถานที่ดังกล่าวเป็นเกาะ – เกาะที่อยู่ทางสุดเขตตอนใต้ของอ่าวเดซีย์ และการมุ่งหน้าลงใต้ไปตรงๆ ย่อมหมายถึงการเข้าสู่เขตทะเลคลั่ง
ดังนั้น ไคลน์ที่เพิ่งเข้าสู่โลกวิญญาณในแถบอ่าวเดซีย์และเริ่มออกเดินทาง พลันพบความผิดปรกติเบื้องหน้า
กระแสอากาศของโลกวิญญาณรอบตัวไคลน์กำลังบิดม้วนเป็นเกลียวสายลม เสียงหวีดแหลมปกคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ซึ่งดูราวกับไม่มีขอบเขตสิ้นสุด แสงด้านในมืดสลัว ด้านบนมีชั้นเมฆและสายฟ้าที่มอบความรู้สึกสั่นสะท้าน ฉากรอบข้างดูราวกับเป็นภาพของวันสิ้นโลก
ในวินาทีนี้ ไคลน์คล้ายกับหลงเข้ามาในมหาสมุทรที่ถูกปกคลุมด้วยวังวนพายุนิรันดร์ แต่ชายหนุ่มยังมั่นใจว่าที่นี่คือโลกวิญญาณ
อย่างที่คิด… เหมือนที่กล่าวไว้ในหนังสือศาสตร์เร้นลับหลายเล่ม พลังอันยิ่งใหญ่ที่ส่งให้เทพมรณา ‘ร่วงหล่น’ ไม่เพียงจะเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศในทะเลระหว่างทวีปเหนือและใต้ แต่ถึงขั้นสร้างภัยธรรมชาติที่ไม่มีวันสงบ เต็มไปด้วยอันตรายมากมาย สมแล้วที่มีชื่อว่าทะเลคลั่ง… นอกจากนี้ยังทำลายกำแพงที่กั้นแบ่งระหว่างโลกความจริงและภาพมายา สร้างมลพิษกัดกร่อนโลกวิญญาณจนทั้งสองฝั่งมีอิทธิพลซึ่งกันและกัน… ในเขตทะเลคลั่งแห่งนี้ หากมีการประกอบพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับโลกวิญญาณ หรือใช้พลังที่เกี่ยวข้องกับโลกวิญญาณ จะมีโอกาสเกิดเหตุไม่คาดฝันสูงมาก… ไคลน์ถอนหายใจด้วยอารมณ์เต็มเปี่ยม จ้องมองฉากที่เคยทำได้เพียงอ่านจากคำบรรยายในหนังสือ
ตามความคิดของชายหนุ่ม หากไม่ใช่เพราะมีทะเลคลั่งคอยกีดขวาง อาณาจักรของทวีปเหนือคงไม่รอจนกว่าจักรพรรดิโรซายล์จะสำรวจเส้นทางปลอดภัยจึงค่อยรุกรานทวีปใต้ เพราะท้ายที่สุดแล้ว ผู้วิเศษลำดับครึ่งเทพส่วนมากมักไม่มีอุปสรรคกับอันตรายทางธรรมชาติ
เส้นทางเดินเรือปลอดภัยของโรซายล์ ไม่ได้คำนึงถึงอันตรายจากภัยธรรมชาติเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงภัยจากศาสตร์เร้นลับด้วย!
กล่าวอีกนัยหนึ่ง เนื่องจากทะเลคลั่งส่งอิทธิพลต่อโลกวิญญาณในตำแหน่งใกล้เคียง เรียกได้ว่าซ้อนทับกัน ไคลน์เองก็สามารถอาศัยแผนที่เดินเรือเพื่อหลีกเลี่ยงจากอันตรายของโลกวิญญาณได้โดยตรง
ย้อนนึกถึงสิ่งที่อ่านก่อนหน้านี้ ไคลน์มองหาตำแหน่งที่ใช่ ก่อนจะเข้าสู่โลกวิญญาณอันลึกลับและมืดมิด
เสียงสายลมรุนแรงหวีดแหลมดังมาจากทุกทิศ แม้แต่การพัดผ่านไปในระยะห่างก็ยังสร้างความเย็นเยียบให้ไคลน์ไปถึงกระดูกและดวงวิญญาณ สิ่งนี้ทำให้ชายหนุ่มเชื่อว่า หากเดินทางผ่านทะเลคลั่งด้วยร่างวิญญาณโดยไม่ได้พกไพ่ ‘จักรพรรดิมืด’ ไพ่ ‘ทรราช’ หรือนกหวีดทองแดงอะซิกเพื่อเสริมกำลังวิญญาณ บางทีอาจได้รับบาดเจ็บสาหัส
และหากไม่ได้อยู่บน ‘เส้นทางเดินเรือปลอดภัย’ การต้องเผชิญหน้ากับพายุสีดำที่มีกลิ่นอายความตายคละคลุ้งด้วยร่างเนื้อ ก็คงไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาดนัก
เมื่อเทียบกับสายลม สายฟ้าสีดำอันตรายกว่ามาก หากโดนเข้าไปเพียงหนึ่งเส้น ไคลน์เชื่อว่าตนคงต้องคิดถึงเรื่องเกิดใหม่ ส่วนอันตรายประเภทกระแสน้ำวนและสัตว์ต่างๆ นั่นคืออีกหนึ่งรูปแบบของภัยคุกคามที่ยังไม่มีข้อมูล
ที่นี่ไม่มีน้ำทะเลของจริง… เราไม่มีทางทราบว่าจุดสิ้นสุดของกระแสน้ำวนหน้าตาเป็นอย่างไร… ไคลน์เคลื่อนตัวไปตามเส้นทางเดินเรือปลอดภัย ไม่ช้าไม่เร็ว มองไปรอบตัวเป็นครั้งคราว สะสมความรู้และประสบการณ์
ทันใดนั้น ชายหนุ่มพบสัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง
ลากเคียวยักษ์ใหญ่ไปมา ดำรงชีวิตอยู่ภายในพายุสีดำ คล้ายกับร่างกายก่อตัวจากกะโหลกศีรษะจำนวนมาก
หัวกะโหลกเหล่านั้นมีสีเทาหรือไม่ก็ดำ ขนาดไม่สม่ำเสมอ มาจากหลายสายพันธุ์ เรียงซ้อนทับกันกลายเป็นลำตัว แขนขา และศีรษะ
เมื่อไคลน์เห็นสิ่งมีชีวิตประหลาด อีกฝ่ายก็เห็นไคลน์เช่นกัน หัวกะโหลกทั้งหมดพลันหันมายังชายหนุ่มอย่างพร้อมเพรียง เกิดเป็นเสียงกระดูกลั่นที่ยากจะเก็บซ่อน
เบ้าตาลึกเหล่านั้นสบตาไคลน์ละข้าง ทีละหัว
หน้าผากของไคลน์กระตุกระรัว รีบใช้ความสามารถ ‘ท่องเที่ยว’ ผ่านไปจากเขตดังกล่าว เข้าสู่เส้นทางเดินเรือปลอดภัยถัดไป
และในเขตทะเลมายาที่ใกล้เคียงกัน แขนเปื้อนเลือดและหนวดรยางค์มายาสีเขียวยื่นขึ้นมาบนผิวน้ำทะเล
…
ด้านนอกเมืองเงินพิสุทธิ์ อนุสาวรีย์บรรจุศพสีดำตั้งเด่นตระหง่านอยู่บนพื้นดิน ดูคล้ายกับพีระมิดกลับด้าน
ณ ปัจจุบัน ภายในรอยแยกของผนังอนุสาวรีย์บรรจุศพ กลุ่มของพืชสีดำได้เจริญเติบโตจนหนาแน่น แม้แต่ประตูหนักที่ทางเข้ายังถูกปกคลุม
โคลิน·อีเลียดที่สะพายดาบคู่ พร้อมกับอาวุโสอีกสองคนของ ‘หกสภาอาวุโส’ กำลังยืนอยู่ด้านนอกประตู ตรวจสอบทางเดินที่ลาดลึกลงไปในพื้นดิน
โลเฟียร์เจ้าของเส้นผมสีเงินหยักศกเล็กน้อย จ้องมองอย่างเงียบงันสักพักก่อนจะพูด
“ตอนนี้น่าจะพร้อมแล้ว”
เมื่อเทียบกับเมื่อก่อนที่เธอมักจะสลับไปมาระหว่างบุคลิกอันหลากหลาย ปัจจุบัน อาวุโส ‘คนเลี้ยงแกะ’ รักษามาดเงียบขรึมไว้เป็นเวลานาน ไม่เปิดเผยอาการผิดปรกติ ดวงตาสีเทาอ่อนค่อนข้างลุ่มลึก
โคลินพยักหน้าแผ่วเบา หยิบขวดยาออกจากช่องขนาดเล็กสองช่องที่เข็มขัดรัดเอว คลายเกลียวฝา ดื่ม ‘อึกอึก’ เข้าไปในปาก
ดวงตาสีฟ้าอ่อนของมันสว่างขึ้นทันที ผิวหนังที่ปราศจากริ้วรอยเริ่มมีเส้นเลือดโป่งขึ้น แผ่แสงสีเงินเจือจาง
ถัดมา เจ้าเมืองรายนี้ชักดาบตรงออกมาถือ ทาครีมสีเงินลงบนผิวหนังอย่างสม่ำเสมอ
ขณะที่มันเตรียมการไปทีละขั้น อีกหนึ่ง ‘หกสภาอาวุโส’ ฮอยต์·เฌอมงต์ ลงมือทำในสิ่งที่คล้ายกัน
ชายโกนหัวรายนี้มีรอยสักลวดลายสีน้ำเงินเข้มอยู่บนศีรษะ สูงเกือบ 2.5 เมตร อายุคล้ายกับไม่เกินสี่สิบห้า แต่ความจริงแล้วมีอายุเกือบแปดสิบปี นี่คืออีกหนึ่งลำดับ 4 ‘นักล่าปีศาจ’ ครึ่งเทพซึ่งเป็นหนึ่งในเสาหลักของเมืองเงินพิสุทธิ์
ภายในเมืองเงินพิสุทธิ์ เนื่องจากมีวัตถุดิบหลักเหลือเฟือ และชาวเมืองมีความรู้ด้านเทคนิคสวมบทบาท แถมยังมีประสบการณ์การต่อสู้จริงที่เพียงพอ ดังนั้น ผู้วิเศษลำดับปานกลางและต่ำจึงเลื่อนลำดับได้ค่อนข้างง่าย ผู้วิเศษลำดับ 6 สามารถหาได้ทั่วไป แต่นับจากลำดับ 5 เป็นต้นมา เนื่องจากมีพิธีกรรมและวัตถุดิบหายากเข้ามาเกี่ยวข้อง จำนวนของผู้วิเศษในลำดับนี้จึงลดลงเป็นแนวดิ่ง ไปจนถึงลำดับ 4 ที่มีการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ หนึ่งรุ่นอาจมีไม่ถึงหนึ่งคน
ฮอยต์·เฌอมงต์ไม่ได้ใช้ดาบสองเล่มเหมือนกับ ‘นักล่าปีศาจ’ ทั่วไป แต่เป็นการใช้ค้อนศึกสีเทาขนาดมหึมาและคันธนูยักษ์ขนาดเท่าตัวคน อาวุธเช่นนี้จะช่วยให้ฮอยต์สามารถทาขี้ผึ้งได้ในสถานการณ์ที่แตกต่างจากนักล่าปีศาจปรกติ เป็นการสร้างผลลัพธ์ที่แตกต่างในการต่อสู้ ขณะเดียวกันก็ช่วยให้ดูเหมือนคนยักษ์ขนาดย่อมที่หลุดออกมาจากภาพวาดสีน้ำมัน
ธนูยักษ์คันดังกล่าวเป็นสมบัติวิเศษ ผลข้างเคียงไม่ร้ายแรงนัก ตามข้อมูลที่บันทึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ของเมืองเงินพิสุทธิ์ ธนูคันนี้ถูกตั้งชื่อหลังจากถูกนำไปใช้คร่าชีวิตมังกรระดับครึ่งเทพ:
ธนูล่ามังกร!
เสร็จสิ้นการเตรียมการ ฮอยต์กระแทกค้อนเหล็กสีเทาลงตรงหน้าจนเกิดเสียงกึกก้อง จากนั้นก็ง้างคันศรยักษ์ ดึงไปด้านหลังเชื่องช้า
แสงประกายสายฟ้าพลันปรากฏ ก่อนจะค่อยๆ ควบแน่นในจุดกึ่งกลาง ยิ่งดึงสายออกไปไกลเท่าไร สายฟ้าก็ยิ่งก่อตัวกลายเป็นลูกศรที่ส่องแสงสว่างจ้ากึ่งกลางคันธนู
นิ้วของฮอยต์ที่รั้งสายธนูถูกปล่อยออก ลูกศรไฟฟ้าเส้นยาวพุ่งตรงไปที่ประตูอนุสาวรีย์บรรจุศพซึ่งปกคลุมไปด้วยวัชพืชลักษณะคล้ายเส้นผมของมนุษย์
ประตูหนักด้านหน้าดูเหมือนจะสึกกร่อนมาสักพักแล้ว เพียงไม่นานก็ขาดออกจากกันด้วยการระเบิดของสายฟ้า แตกออกเป็นเศษเล็กเศษน้อยจนเผยให้เห็นทางเดินลึกด้านใน
ภายในทางเดินมีแสงสีขาวซีด ยากจะมองเห็นปลายทางในทันที เพียงมอบความรู้สึกมืดมนและหนาวเหน็บ
อักขระซับซ้อนสีเขียวสองอันพลันปรากฏในดวงตาโคลิน ภาพของทางเข้าอนุสาวรีย์บรรจุศพกำลังสะท้อนอยู่กึ่งกลางกระจกตา
ไม่กี่วินาทีถัดมา โคลินถือดาบยาวในลักษณะเฉียง เดินนำหน้าเข้าไปในอนุสาวรีย์บรรจุศพ ส่วน ‘ธนูล่ามังกร’ ของฮอยต์ถูกเก็บกลับไปไว้บนหลัง ดึงค้อนขนาดใหญ่สีเทาเหล็กขึ้นจากพื้นและเดินเข้าไป
สีหน้าของโลเฟียร์ในชุดคลุมสีม่วงยังคงไม่แปรเปลี่ยน เดินมือเปล่าตามเข้าไปอย่างไม่เร่งรีบ ผ่านซากประตูที่พังลง
ลงไปเรื่อยๆ ตามทางเดินและบันได สมาชิกทั้งสามคนของ ‘หกสภาอาวุโส’ ปราศจากอาการอ่อนเพลียหรือวิตกกังวล ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เงียบสนิท มีเพียงเสียงฝีเท้าดังกังวานไปทั่ว
เดินลึกลงไปอีกชั้น ทันใดนั้น แม่น้ำพลันปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกมันทั้งสาม – แม่น้ำมายาที่มืดมิด
ใต้ผิวน้ำ แขนเปื้อนเลือดที่ผิวหนังถูกฉีกออก เถาวัลย์สีฟ้าที่คอยพยุงใบหน้าของทารก หนวดรยางค์ลื่นๆ ที่มีดวงตาอยู่รวมกันอย่างหนาแน่น พวกมันพยายามกระโดดให้โผล่พ้นน้ำราวกับต้องการสำรวจว่ามีสิ่งใดผ่านไปผ่านมา
ณ ริมแม่น้ำใกล้กับทางเข้า ร่างของกลุ่มบุคคลที่มีส่วนสูงไม่เท่ากันกำลังยืนหันหลังให้อาวุโสทั้งสาม เดินวนเวียนไปมาราวกับกำลังหาวิธีข้ามแม่น้ำ
ทันใดนั้น หนึ่งในกลุ่มบุคคลสังเกตเห็นใครบางคนกำลังเดินเข้ามาใกล้พวกตน จึงค่อยๆ หันกลับมามองโคลิน ฮอยต์และโลเฟียร์
อีกฝ่ายเป็นชายชรา ผมสีขาวโพลน มีริ้วรอยร่องลึกที่มุมหน้าผากและปาก ดวงตาสีฟ้าอ่อนแต่ขาดประกาย สีหน้าสับสนและล่องลอย
ดวงตาโคลิน·อีเลียดพลันหดลีบอย่างรวดเร็ว จดจำได้ทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
นี่คือน้องชายของมัน น้องชายคนที่เคยถูกอามุนด์สิงร่าง น้องชายที่โคลินเคยจบชีวิตด้วยมือตัวเอง!
ทันใดนั้น ร่างที่เหลือพลันหันหลังกลับมา ใบหน้าของโคลิน ฮอยต์และโลเฟียร์เผยความคุ้นเคยเจือภาวะมึนงง
สีหน้าโลเฟียร์ยังไม่เปลี่ยนไปมากนัก แต่ที่ด้านหลังของเธอ ไม่มีใครทราบว่าอัศวินมายาสูงกว่าห้าเมตรปรากฏตัวตั้งแต่ตอนไหน
อัศวินดังกล่าวสวมชุดเกราะสีเงินโบราณ ดวงตาสีแดงเข้มราวกับเลือดสด แต่ลุกโชนเหมือนกับเปลวไฟ
…
หลังจากเคลื่อนตัวอย่างระมัดระวังบน ‘เส้นทางเดินเรือปลอดภัย’ นานกว่าสิบวินาที ไคลน์มาถึงท่าเรือโปโตในเขตทะเลคลั่ง ที่นี่ไม่ได้ถูกภายใต้การปกครองของอาณาจักรใด ถือเป็นเมืองที่โจรสลัดมีอิสระเป็นพิเศษ
หลังจากย่ำเท้าลงบนพื้นหิน ไคลน์ที่แปลงโฉมเป็นคนแปลกหน้าอย่างสุ่มๆ ยังไม่รีบร้อนเดินเข้าไปในเมืองท่าขนาดเล็กซึ่งมีสถาปัตยกรรมซับซ้อน มือข้างหนึ่งหยิบกล่องบุหรี่โลหะออกจากกระเป๋าเสื้อ
ย้อนกลับไปเมื่อครู่ ระหว่างกำลังเดินทางผ่าน ‘ทะเลคลั่ง’ ด้วยโลกวิญญาณ ชายหนุ่มสังเกตเห็นว่านกหวีดทองแดงของอะซิกออกอาการสั่นเบาๆ!
ลบ ‘กำแพงวิญญาณ’ เสร็จ ไคลน์เปิดกล่องบุหรี่โลหะ คีบนกหวีดทองแดงโบราณออกมาอย่างทะนุถนอม
นกหวีดทองแดงสูญเสียความเย็นและความนุ่มนวลซึ่งเคยมีตามปกติ ปัจจุบันแผ่ความร้อนออกมาเล็กน้อย แต่เพียงไม่นาน ความผิดปรกติก็เลือนหายไป