ตอนที่ 721 จับได้แล้ว! เด็กในท้องเป็นลูกของใคร (1)
อวี๋กานกานไม่ได้พบเจอกับหลินจยาอวี่สักระยะหนึ่งแล้ว ตอนนี้หลินจยาอวี่ท้องโตเก้าเดือนแล้ว ท้องใหญ่อย่างกับกอดหมอนเอาไว้ในอ้อมอก เธอไม่เพียงแต่ท้องโตเท่านั้นแต่ยังดูอวบอิ่มไปทั่วทุกสัดส่วนอีกด้วย
แต่สติของเธอไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวสักเท่าไหร่
ตั้งแต่เดือนนี้เป็นต้นไปเธอต้องเริ่มไปตรวจที่โรงพยาบาลทุกสัปดาห์ คุณหมอบอกว่าแข็งแรงดีทั้งแม่และลูกในท้องแต่หลินจยาอวี่ก็ยังตื่นเต้นอยู่ดี
ปกติแล้วควรจะอยู่แต่ในบ้านแต่วันนี้เธอกลับนัดอวี๋กานกานให้ออกมาทานข้าวให้ได้
เธอเชื่อใจอวี๋กานกาน หากอวี๋กานกานอยู่เคียงข้างเธอจะรู้สึกมีความอุ่นใจมากกว่า
แต่ทว่าความเจริญอาหารของเธอก็ยังดีเหมือนเดิม เมื่อก่อนตอนออกมาทานข้าวด้วยกัน เธอกินไปแค่ไม่กี่คำก็ไม่เอาอีกแล้วเพื่อรักษาหุ่น แต่ตอนนี้กลับไม่เหมือนเมื่อตรงที่เธอเติมข้าวอีกตั้งสองถ้วย
อวี๋กานกานตกใจจนถึงกับต้องวางตะเกียบแล้วมองหน้าเธอตอนทานข้าวแทน
“เธอก็กินบ้างสิ” ตอนนี้เธอไม่ได้ดูสง่างามสูงส่งเหมือนหงส์เฉกเช่นเมื่อก่อนแล้ว แต่ยังไงคนสวยก็คือคนสวยวันยังค่ำ ถึงแม้จะอวบอ้วนขึ้นมานิดหน่อยก็ยังถือว่าเป็นคุณแม่ตั้งครรภ์ที่สวยคนหนึ่งอยู่ดี
“ฉันไม่กินต่อแล้ว ช่วงนี้อ้วนขึ้นต้องกินน้อยๆ หน่อย” กินมื้อดึกทุกคืนไม่อ้วนสิแปลก
หลินจยาอวี่ซดน้ำซุป “เธอกับฟังจือหันวางแผนจะมีลูกด้วยกันเมื่อไหร่เหรอ”
“พวกเรายังเร็วไป ไม่รีบ…” ไม่เพียงแต่เธอที่ไม่อยากมีลูก แม้แต่ฟังจือหันก็ไม่อยากมีลูกเช่นกัน พวกเขาอยากอยู่ด้วยกันสองคนหลายๆ ปีไปก่อน
“ก็จริง หากไม่เจอเรื่องแบบฉัน จะมีลูกเร็วขนาดนี้ได้ยังไง” หลินจยาอวี่อดถอนหายใจไม่ได้
เธอวางตะเกียบลง “ฉันไปเข้าห้องน้ำแป๊บนึงนะ”
“เดี๋ยวฉันไปเป็นเพื่อน”
“ไม่เป็นไร เธอไปเป็นเพื่อนฉันสองรอบแล้ว คราวนี้เธอนั่งเถอะ ฉันไปเองได้ คนท้องก็ลำบากแบบนี้แหละ” หลินจยาอวี่ลุขึ้นพึมพำ
ถึงแม้จะถูกปฏิเสธแต่อวี๋กานกานก็ยังคงลุกขึ้น เธอไม่วางใจให้หลินจยาอวี่ไปเพียงลำพัง
แต่เธอก็ไม่ได้อยากเข้าห้องน้ำจริงๆ หรอก อวี๋กานกานรอเธออยู่ด้านนอกแล้วหยิบโทรศัพท์ออกมาส่งข้อความหาฟังจือหัน
ในขณะที่หลินจยาอวี่กำลังล้างมือ ผู้หญิงสวยโฉบเฉี่ยวในชุดเดรสสีดำก็เดินออกมาจากห้องน้ำอีกห้องที่อยู่ข้างๆ กัน
เมื่อเธอเห็นหลินจยาอวี่ที่กำลังล้างมือที่เคาท์เตอร์อ่างล้างมือก็ชะงักเล็กน้อย “นี่เธอ”
หลินจยาอวี่รู้สึกตัวจึงเงยหน้าขึ้นมองผู้หญิงที่อยู่ข้างหลังผ่านกระจก เธอชะงักไปครู่หนึ่งถึงนึกขึ้นได้ว่าเป็นใคร
นี่คงไม่ใช่ผู้หญิงที่นัดบอดกับลู่เสวี่ยเฉินในตอนนั้นที่ชื่อว่าอะไรนะ…เหวิน…เหวินซินเหมย
แต่หลังจากที่พวกเขาสองคนแต่งงานกัน เธอก็เจอเหวินซินเหมยอีกเลย ตอนแรกคิดว่าเธอชอบลู่เสวี่ยเฉินขนาดนั้นอาจจะมาก่อความวุ่นวายก็ได้ แต่ผลคือกลับหายเข้ากลีบเมฆไม่เห็นแม้แต่เงา
เธอก็สงสัยอยู่เหมือนกัน ลู่เสวี่ยเฉินบอกว่าหลังจากเหวินซินเหมยไปนัดบอดเขาก็ติดตามเขาด้วยวิธีต่างๆ และสอดแนมเขา มันจะเป็นเรื่องโกหกหรือเปล่านะ
หลินจยาอวี่ยิ้มให้แล้วทำเป็นไม่รู้จักหล่อน เมื่อเธอเช็ดมือเสร็จก็เตรียมตัวจะออกไป
สายตาของเหวินซินเหมยจดจ้องไปที่ท้องของหลินจยาอวี่ แววตาวูบไหวด้วยความมาดร้าย เพราะเด็กคนนี้นี่เอง ไม่เช่นนั้นลู่เสวี่ยเฉินคงไม่ต้องแต่งงานกับหลินจยาอวี่คนนี้หรอก
เธอเข้ามาขวางทางเดินของหลินจยาอวี่ “ทำไมถึงมาทานข้าวคนเดียวล่ะ ลู่เสวี่ยเฉินไม่ได้มาด้วยกันกับคุณหรอกเหรอ”
หลินจยาอวี่ยอมรับว่าเธอไม่สนิทกับเหวินซินเหมยคนนี้ ไม่เข้าใจว่าทำไมหล่อนถึงได้พูดด้วยน้ำเสียงสนิทสนมราวกับเพื่อนสนิทกับเธอแบบนี้ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่
“ดิฉันมาทานข้าวกับเพื่อน” เธอพูดพลางผายมือเพื่อสื่อให้คนตรงหน้าหลีกทางให้
แต่ทว่าเหวินซินเหมยกลับไม่ขยับเขยื้อนแล้วมองหลินจยาอวี่อย่างเยือกเย็น ทันใดนั้นก็เอ่ยถามขึ้นมาอย่างไร้สมอง “เธอคิดว่าตัวเองแน่สักแค่ไหนเชียว”
ตอนที่ 722 จับได้แล้ว! เด็กในท้องเป็นลูกของใคร (2)
หลินจยาอวี่ยิ้มเยาะมุมปาก “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณไม่ทราบ ขอโทษนะคุณเป็นใครเหรอคะ ถ้าหากไม่มีธุระอะไร กรุณาหลีกทางให้ดิฉันด้วยค่ะ”
เหวินซินเหมยจ้องหลินจยาอวี่เขม็งมองไปที่ครรภ์ของหลินจยาอวี่อีกครั้งด้วยความอิจฉาริษยาฉายแววไปทั่วดวงตาของหล่อน
หากเพราะไม่ใช่เพราะท้องป่องขึ้นมา คนในตระกูลลู่อาจเลือกหล่อนเป็นสะใภ้
หล่อนรู้ดีกว่าใครว่าคนในตระกูลลู่อยากให้ลู่เสวี่ยเฉินแต่งงานมีลูกมากแค่ไหนเพื่อต่อไปจะได้แย่งชิงสมบัติของคุณพ่อลู่
หากไม่มีเด็กคนนี้ ลู่เสวี่ยเฉินจะแต่งงานกับหลินจยาอวี่หรือเปล่านะ ความคิดนี้เคยแวบผ่านเข้ามาในหัวไม่หยุด อีกทั้งมันยังเหมือนกับลูกบอลหิมะที่ยิ่งกลิ้งยิ่งบ้าคลั่ง
เมื่อเห็นว่าหลินจยาอวี่คิดที่จะเดินอ้อมออกไปจากทางด้านข้าง หล่อนก็ยื่นแขนออกมา…
อวี๋กานกานยืนรออยู่ข้างนอกได้สักพักหนึ่งแล้วคำนวณเวลาแต่หลินจยาอวี่ก็ไม่ออกมาสักที ไม่มีแม้แต่เงา
เธอยังคงไม่สบายใจ
เมื่อผลักประตูห้องน้ำเข้าไปก็เห็นใบหน้าอาฆาตแค้นของเหวินซินเหมยที่จ้องหลินจยาอวี่เขม็งราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
อวี๋กานกานอกสั่นขวัญแขวนรีบเดินเข้าไปแล้วจับแขนของเหวินซินเหมยที่ยื่นออกมาและบีบจุดชีพจรของหล่อนแน่น
เหวินซินเหมยเจ็บจนร้องออกมาเสียงหลง “อ๊ากก! เธอทำอะไรน่ะ ปล่อยแขนเดี๋ยวนี้!”
อวี๋กานกานผลักแล้วสะบัดแขนหล่อนออกอย่างแรง จากนั้นเดินไปยืนตรงหน้าหลินจยาอวี่ “ฉันสิต้องถามคุณว่าคิดจะทำอะไร ที่คุณยื่นแขนออกมาเมื่อกี้นี้หมายความว่ายังไง คุณจะผลักเธอใช่ไหม คุณไม่รู้เหรอว่าเธอกำลังท้องอยู่แล้วมันอันตรายมาก”
เหวินซินเหมยกุมมือข้างที่โดนบีบจนเจ็บ แล้วตะคอกด้วยความโมโห “ใครว่าฉันจะผลักเธอล่ะฮะ เธอตาบอดแล้วยังจะใส่ร้ายฉันอีก พวกเธอเป็นบ้าอะไรกัน”
อวี๋กานกานเหล่มองเธอด้วยความสงสัยจริงๆ ว่าเอาความมั่นหน้ามาจากไหน “คนอื่นเป็นบ้า งั้นคุณก็เป็นบ้าใช่ไหม หรือจะบอกว่าไม่ใช่คนบ้าล่ะ”
“เธอกล้าพูดกับฉันแบบนี้ได้ไง เชื่อหรือไม่ว่าฉันจะแจ้งความจับเธอ”
“เอาสิ คุณไปแจ้งเลย” อวี๋กานกานไม่แคร์สักนิด เมื่อก่อนเธอก็ไม่เคยกลัวพวกคุณหนูขี้วีนเอาแต่ใจแบบนี้หรอก ตอนนี้มีภูเขาใหญ่อย่างกู้เชินเป็นที่พึ่ง เธอยิ่งไม่เกรงกลัว
“งั้นเธอรอหมายเรียกจากทนายของฉันได้เลย!” เหวินซินเหมยกัดฟันพูด เชิดหน้าชูคอแล้วจิกส้นสูงออกไป
อวี๋กานกานถามหลินจยาอวี่ “เธอไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
หลินจยาอวี่ส่ายหน้ายิ้มเจือจาง “ไม่เป็นไร เมื่อกี้ฉันกลัวหล่อนเป็นบ้าขึ้นมา ตอนที่จะเดินอ้อมหล่อนออกไปฉันก็ระวังตัวเองอยู่”
“เธอก็แต่งงานกับลู่เสวี่ยเฉินแล้ว หล่อนยังตัดใจไม่ได้อีกเหรอ”
“หล่อนอาจจะรักจริงหวังแต่ง จะให้ตัดใจก็ตัดใจได้ง่ายๆ ได้ยังไงไหว เธอคบกับฟังจือหันแล้ว กู้ซูหลิงก็ต้องฟังจือหันไม่ปล่อยไม่ใช่หรือไง”
“ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆ ไม่รู้ว่าคนพวกนี้คิดอะไรอยู่ ชอบผู้ชายสักคนหากเขาไม่มีแฟนแล้วจะตามจีบก็ว่าไปอย่าง ความรักก็ควรต่อสู้แย่งชิง แต่กับคนที่มีครอบครัวแล้วยังไม่ปล่อยวางอีก ทำไมล่ะ พวกหล่อนก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ ครอบครัวฐานะก็ดี”
“ไม่ว่าจะผู้ชายหรือผู้หญิง คนที่ไม่ได้ครอบครองคือคนที่ดีที่สุด ทุกคนต่างอยากแย่งมาเป็นของตัวเองก็ไม่แน่อาจเป็นคนที่ดีที่สุด”
ทั้งสองเดินออกมาจากห้องน้ำ ระหว่างเดินก็พูดคุยกันแล้วกลับมานั่งที่โต๊ะ
พวกเธอนำประเด็นสนทนากลับมาหยุดที่เรื่องของตัวเอง “เดี๋ยวฉันจะไปสมาคมยาไป่ฟางสักหน่อย เธอล่ะจะไปไหนต่อ ฉันไปส่งเธอ…”
“ฉันกลับบ้านเลยดีกว่า” หลินจยาอวี่ลังเลครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถาม “จริงสิ พรุ่งนี้เธอทำงานหรือเปล่า”
“ไม่ทำ”
“งั้นเธอมาอยู่เป็นเพื่อนฉันที่บ้านหน่อยสิ ช่วงนี้ฉันมักจะรู้สึกใจคอไม่ดี แต่พอมีเธออยู่ด้วยฉันรู้สึกสบายใจมาก”