ราชันเร้นลับ 833 : ข้อควรระวัง
ท่ามกลางหมอกที่ปกคลุมหมู่บ้าน สตรีที่เดินออกจากตรอกดูขัดแย้งกับสิ่งรอบข้างอย่างมาก บรรยากาศรอบตัวเธอมอบว่าบริสุทธิ์ผุดผ่อง สง่างาม ปราศจากมลทิน ให้ผู้พบเห็นตาเป็นประกาย
นอกจากนั้น เสื้อคลุมสีขาวเรียบๆ และผมที่เกล้ามวยหลวมๆ ยังช่วยมอบบุคลิกเกียจคร้านและเก็บตัว กระทั่งไคลน์ที่มองผ่านสายตาของหุ่นเชิด อดไม่ได้ที่จะจินตนาการว่าสตรีผู้นี้วางตัวอย่างไรบนเตียง จะมีเสน่ห์และตัวตนที่แตกต่างออกไปหรือไม่
ในขณะนี้ ชายหนุ่มพยายามข่มแรงกระหายภายในใจที่อยากทำลายความศักดิ์สิทธิ์นั่น อยากทำลายความสงวนตัวนั่น
หล่อนเป็นแม่มด? ไคลน์ขบกรามตามสัญชาตญาณ มุมปากกระตุกเล็กน้อย
สตรีผู้เลอโฉมและสง่างามรายนี้เองก็มองเห็นเซนอล เผยสีหน้าประหลาดใจในตอนแรก ก่อนจะยิ้มและพูดด้วยน้ำเสียงไพเราะ
“เซนอล… นายถูกทำเป็นหุ่นเชิดตั้งแต่เมื่อไร… ถ้าไม่ใช่เพราะถูกพลังรัตติกาลกัดกร่อนรุนแรงถึงเพียงนี้ ฉันคงยากจะสังเกตเห็น”
ประหนึ่งว่ากำลังคุยกับเซนอล แต่ความจริงแล้ว เธอคุยกับนักเชิดหุ่นเบื้องหลัง
เฮ่อ… ออร่าอันเย็นเยียบนั่นคงไม่มีทางซ่อนมิดชิด… อย่างน้อยก็ในสายตาผู้วิเศษลำดับสูง… ใจจริง เราอยากซ่อนอยู่ในมุมมืดโดยไม่ให้ใครรู้ อาศัยเซนอลเป็นฉากหน้าสำหรับติดต่อ นั่นจะช่วยยืนยันความปลอดภัยได้ในระดับหนึ่ง… ที่หมู่บ้านนี้ พลังของมิติสายหมอกไร้ถูกปิดกั้น หากเราตายไป เกรงว่าคงไม่มีการคืนชีพ… ไคลน์ซ่อนตัวลึกเข้าไปในโรงสี บังคับหุ่นเชิดตอบเสียงทุ้ม
“หากเธอออกไปได้ ข่าวคราวบนท้องทะเลจะช่วยให้เธอทราบว่า ฉันรับใช้เจ้านายใหม่มาเดือนกว่าๆ แล้ว”
ชายหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงและท่าทางของพลเรือเอกโลหิต ราวกับอีกฝ่ายยังมีชีวิต
นี่คือกฎการสวมบทบาทของนักเชิดหุ่น หุ่นเชิดแต่ละตัวต้องมีเอกลักษณ์และบุคลิกเป็นของตัวเอง!
นอกจากนั้น ไคลน์ยังแฝงคำว่า ‘ออกไป’ เพื่อชักนำหัวข้อสนทนา
ในหมู่บ้านพิสดารแห่งนี้ ชายหนุ่มไม่อยากฆ่าแม่มดทุกคนที่เห็น ยังไม่ต้องถามว่าเป็นแม่มดที่ดีหรือร้าย ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นแบบไหนก็ไม่ควรฆ่าส่งเดช เพราะสำหรับคนที่ติดอยู่ที่นี่มานาน มีความเป็นไปได้สูงที่จะครอบครองข้อมูลสำคัญหรือเบาะแสของทางออก ช่วงแรกจึงต้องวางตัวสันติไปก่อน
สตรีในชุดคลุมสีขาวหัวเราะพลางตอบ
“ยังไม่ลืมสวมบทบาทอย่างสม่ำเสมอ… ดูเหมือนว่า ทางนั้นคงใกล้ย่อยโอสถนักเชิดหุ่นเสร็จในอีกไม่ช้า… คนของลัทธิเร้นลับ?”
เธอคุ้นเคยกับเส้นทาง ‘นักทำนาย’ เป็นอย่างดี… อา นิกายแม่มดเป็นองค์กรลับที่มีมาตั้งแต่ยุคสมัยที่สี่ ถึงจะไม่สนิทสนมกับตระกูลอันทีโกนัสหรือซาราธ แต่ก็น่าจะเคยผ่านตามาบ้าง เป็นเรื่องปรกติที่จะมีข้อมูลของเส้นทางนักทำนาย… แน่นอน สมมติฐานข้างต้นจะจริงก็ต่อเมื่อเธอเป็นแม่มด… หัวใจไคลน์เต้นแรงขึ้น จงใจซักถาม
“เป็นอย่างอื่นไม่ได้แล้วหรือ?”
มันต้องการหยั่งเชิงอีกฝ่าย ดูว่าองค์กรลับของทางนั้นครอบครองเส้นทางนักทำนายด้วยหรือไม่
สตรีผู้สดใสและสง่างามย่างกรายเข้าใกล้ โน้มตัวมาหาพลเรือเอกโลหิตและตอบ
“ไม่สำคัญว่าทางนั้นจะเป็นคนขององค์กรใด พวกเราต่างถูกเนรเทศมาขังไว้ที่นี่ อาจจะออกไปไหนไม่ได้อีกแล้ว สิ่งสำคัญจึงเป็นอนาคต มิใช่อดีต ทำไมไม่ร่วมมือหาทางออกไปด้วยกัน?”
หยั่งเชิงล้มเหลว… ไคลน์บังคับวิญญาณอาฆาตพูด
“นั่นคือสิ่งที่ฉันต้องการ… จะให้เรียกเธอว่าอะไร?”
เมื่ออีกฝ่ายขยับเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ชายหนุ่มได้กลิ่นหอมสดชื่นจากประสาทสัมผัสของหุ่นเชิด ผนวกกับเสียงพูดของอีกฝ่าย มันเกิดความรู้สึกอยากละทิ้งทุกสิ่ง ละทิ้งศีลธรรมและสามัญสำนึก แลกเปลี่ยนความอบอุ่นทางร่างกายกับอีกฝ่าย
ไม่ผิดแน่ เธอน่าจะเป็นแม่มด… หืม… หลังจากฟังเสียงมาสักพัก ทำไมเราเริ่มรู้สึกคุ้นเคย? แต่นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก น่าเสียดายที่ตอนนี้ใช้พลังทำนายฝันไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะถูกอีกฝ่ายตรวจจับ ยากจะคาดเดาผลลัพธ์ตามมา… ไคลน์ขมวดคิ้ว
สตรีท่าทางเกียจคร้านรายนี้ยกมือขึ้นมาสางเส้นผม เปิดเผยใบหูที่เล็กกะทัดรัด
“พานาเทีย… แล้วทางนั้นล่ะ?”
เดิมที ไคลน์อยากสุ่มอ้างชื่อใครสักคน เช่นมิสเตอร์ X แห่งชุมนุมแสงเหนือ ผู้ช่วยกัปตันของแจ้งมรณะ ‘จอมเชือด’ จิลเซียส เพราะตนสามารถจำลองพลังของพวกมันได้ด้วยยุบพองหิวโหย แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจไม่ทำ ตอบไปตามตรง
“เกอร์มัน·สแปร์โรว์”
ชายหนุ่มไม่ทราบว่าผู้วิเศษฝั่งตรงข้ามที่น่าจะเป็นแม่มด เข้ามาในหมู่บ้านสายหมอกตั้งแต่ตอนไหน จึงยังไม่ตัดความเป็นไปได้ที่จะรู้สาเหตุการหายตัวไปของเกอร์มัน·สแปร์โรว์
พานาเทียผงกศีรษะ
“เข้ามาได้ยังไง?”
ไคลน์ไม่ปิดบัง เล่าผ่านปากของหุ่นเชิด
“เผชิญหน้ากับสตรีนิรนาม… เธอสวมเสื้อคลุม ดวงตาคล้ายค่ำคืนอันมืดมิด แต่ขาดชีวิตชีวา”
พานาเทียเงียบงันสองสามวินาที ก่อนจะตอบ
“เป็นเธอนี่เอง… หึหึ”
หญิงสาวมิได้ลงลึกรายละเอียด เพียงยิ้มและเปลี่ยนคำถาม
“แล้วทำอะไรลงไป? ทำไมโบสถ์รัตติกาลถึงต้องลงทุนส่ง ‘ท่าน’ มาจัดการ”
พานาเทียเปลี่ยนสรรพนามการเรียก
ท่าน? สตรีคนดังกล่าวคือเทวทูต? เป็นนักบวชหญิงของวิหาร? ดูเหมือนว่าพานาเทียจะรู้เรื่องของเธอไม่น้อย… ไคลน์ไตร่ตรองสักพักก่อนจะตอบคลุมเครือ
“ลอบเข้าไปในวิหารนักบุญแซมมวล พยายามขโมยสมบัติปิดผนึก แต่กลับลงเอยด้วย…”
มันมิได้ลงลึกรายละเอียด เพราะแม้แต่ตัวเองก็ยังไม่เข้าใจว่าเจอสตรีคนดังกล่าวได้อย่างไร
ไคลน์เชื่อว่า ในฐานะเทวทูต สตรีผู้นั้นไม่จำเป็นต้องอาศัยอยู่หลังประตูยานิสของวิหารนักบุญแซมมวลตลอดเวลา ไม่น่าจะมีสิ่งใดสำคัญจนบุคคลระดับนี้ต้องคอยปกป้องเช้าจรดเย็น!
“งั้นหรือ… อยู่ในประตูยานิสของวิหารแซมมวลจริงๆ” คล้ายกับพานาเทียฉุกคิดบางสิ่ง
สำหรับองค์กรลับ พวกมันจะลบคำว่า ‘นักบุญ’ ออกจากชื่อวิหารนักบุญแซมมวล… เราต้องจำเรื่องนี้ไว้ใช้ในอนาคต… ไคลน์วิเคราะห์คำพูดอีกฝ่าย
พานาเทียมิได้สานต่อบทสนทนา กล่าวด้วยรอยยิ้มเจือจาง
“เอาล่ะ อย่าสนใจอดีตอีกเลย อย่างที่บอกไป สิ่งที่สำคัญตอนนี้คืออนาคต และเรื่องที่ว่า พวกเราจะหนีออกไปอย่างไร”
ไคลน์ถือโอกาสบังคับให้เซนอลถาม
“รู้อะไรเกี่ยวกับที่นี่บ้าง?”
พานาเทียชำเลืองไปทางวิหารสีดำที่มียอดแหลมใจกลางเมือง
“ที่นี่ไม่ใช่โลกความจริง ไม่ใช่โลกวิญญาณ ไม่ใช่โลกดารา แต่อยู่ในสถานะถูกปกปิดหรือซ่อนตัว… ฉันสำรวจพื้นที่ส่วนใหญ่ของหมู่บ้านหมดแล้ว รวมถึงข้างนอกด้วย แต่ก็ไม่พบเบาะแสสำหรับทางออก จึงเหลือเพียงแค่ในวิหาร บางที ภายในนั้นอาจมีความลับทั้งหมดซ่อนอยู่”
“แล้วทำไมถึงไม่สำรวจวิหาร?” ไคลน์ถามผ่านปากหุ่นเชิด
พานาเทียดึงชายเสื้อคลุมสีขาวบริสุทธิ์ขึ้น เผยให้เห็นรอยฉีกขาดหลายจุด
“สัญชาตญาณบอกกับฉันว่า ภายในนั้นเต็มไปด้วยอันตราย”
กล่าวจบ เธอเปลี่ยนหัวข้อ
“แต่ตอนนี้มีวิธีแล้ว ทางนั้นสามารถใช้หุ่นเชิดเข้าไปสำรวจแทน ถึงมันจะถูกทำลาย แต่พวกเราก็ยังปลอดภัย… มั่นใจได้ หากพวกเราพบเบาะแสสำคัญจากด้านใน ฉันสัญญาว่าจะมอบหุ่นเชิดตัวใหม่ที่ดีกว่า แถมเซนอลก็น่าจะอยู่ได้อีกไม่นาน”
นั่นก็ใช่ แต่ฉันไม่อยากเชื่อเธอ… ถ้าเป็นแม่มดจริง เราไม่ควรไว้ใจ… ไคลน์ไม่มอบคำตอบ เพียงถามผ่านเซนอล
“แล้วยังมีข้อควรระวังอะไรอีก?”
พานาเทียเม้มปาก
“มีผู้คนมากมายหลงเข้ามาที่นี่ด้วยเหตุผลบางประการ แต่พวกเขาก็หายตัวไปทั้งหมด”
หายตัวไปทั้งหมด? ไคลน์ทวนคำ
“เกิดอะไรขึ้น?”
พานาเทียถอนหายใจแผ่ว
“ไม่ทราบได้… บางคนหิว จึงเข้าไปในบ้านและกินอาหาร แต่กลับหายไป… หายไปทันที… และในคราวนี้ ผลการทำนายระบุว่า พวกเขาตายไปแล้ว เข้าสู่นิทราอันเป็นนิรันดร์”
ในหมู่บ้านสายหมอกแห่งนี้ มีบางปัจจัยทำให้คนถูกลบเลือน? แถมยังเป็นการตายโดยแท้จริง… ไคลน์ตกตะลึงมาก ก่อนจะฉุกคิดถึงบางสิ่งจนเกือบโพล่งออกมา
แล้วเธอไม่หิวบ้างหรือ?
ด้วยเกรงว่าคำถามจะทำให้อีกฝ่ายเปลี่ยนท่าที ชายหนุ่มข่มความอยากรู้อยากเห็น บังคับให้เซนอลถามอ้อมๆ
“อยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้ว?”
พานาเทียถอนหายใจและยิ้ม
“น่าจะครึ่งปีได้แล้ว… ฉันเคยเห็นหลายคนกินกันเองเพื่อความอยู่รอด แต่โชคดีที่ตัวเองไม่จำเป็นต้องกินเยอะ สามารถดำรงชีวิตได้นานด้วยอาหารเพียงเล็กน้อย และบนศพมนุษย์ มีอวัยวะบางส่วนสามารถกินได้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อร่างกายนัก”
ขณะกล่าว หญิงสาวชี้นิ้วขึ้นไปบนดวงจันทร์สีแดงท่ามกลางเมฆ
“อีกหนึ่งสิ่งที่ควรระวัง… เมื่อพระจันทร์สีแดงกระจ่างชัด ที่นี่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่มาพร้อมอันตรายใหญ่หลวง… ฉันเคยต้องบาดเจ็บหนักมาแล้ว”
กล่าวจบ เธอเลื่อนมือลงมาชี้ที่รอยฉีกขาดบนเสื้อคลุมสีขาว
ตามความเคยชิน ไคลน์บังคับวิญญาณอาฆาตมองตามปลายนิ้ว พบรอยขาดในตำแหน่งไหปลาร้า พบผิวหนังอ่อนนุ่มด้านในที่มีบาดแผลลึกจนเห็นกระดูก
ทันใดนั้น ผิวหนังในบริเวณดังกล่าวพลันแปรเปลี่ยน กลายเป็นลวดลายลึกลับเต็มพรืด แฝงความชั่วร้ายอย่างเต็มเปี่ยม!
จิตไคลน์แทบระเบิดในพริบตา เสียงเพรียกโหยหวนดังกังวานในใจ
ขณะเดียวกัน การหายใจของร่างต้นเริ่มทำได้ยากลำบาก เรี่ยวแรงหดหายอย่างรวดเร็ว ทิ้งตัวล้มลงโดยมิอาจควบคุมพร้อมกับไอกระแอมรุนแรง
จากนั้น ชายหนุ่มเห็นเสื้อคลุมยาวสีขาวบริสุทธิ์ เห็นท่อนขาเรียวสวยของสตรี และเห็นพานาเทีย
หญิงสาวเดินเข้ามาในโรงสี เมื่อเห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์กำลังทุรนทุราย มุมปากยกโค้งเล็กน้อย เผยให้เห็นฟันซี่ขาวที่เรียงสวย ระหว่างซอกฟันมีเศษเนื้อและเลือดเกรอะกรัง
“เจอตัวแล้ว…”