“รอสักครู่นะคะ… คุณจะรับกาแฟหรือชาดำดี?” เบลินถามอย่างกระตือรือร้น
ไคลน์ตอบพลางยิ้ม
“เมื่อตอนเด็ก ผมชอบกาแฟมากกว่า ชอบกลิ่นหอมเข้มๆ … แต่ตอนนี้ผมเพลิดเพลินไปกับรสของชาดำมากกว่า”
“ฉันเองก็ชอบชาดำ ถ้าอย่างนั้น… รับชาดำมาร์ควิสไหมคะ?” เบลินแนะนำด้วยรอยยิ้ม
ตามปรกติแล้ว กาแฟและชาดำที่ให้บริการโดย ‘สำนักงานจัดหาคนรับใช้ครัวเรือนแห่งมหานคร’ จะมีคุณภาพอยู่ในระดับล่างถึงปานกลาง แต่เบลินนำชาดำมาร์ควิสของตัวเองมาจากบ้าน
ไคลน์ไม่ใช่คนโง่ แถมยังมีความช่างสังเกตเป็นพื้นฐาน หลังจากเดินเข้าประตูสำนักงาน ชายหนุ่มแอบเก็บรายละเอียดสภาพแวดล้อมโดยไม่ให้ใครเห็น พบว่ากระป๋องบรรจุกาแฟและชาดำดูธรรมดามาก ค่อนข้างมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ด้านในคงไม่ได้เลิศเลอนัก ดังนั้น ไคลน์มองว่าชาดำมาร์ควิสอาจใช้เฉพาะในกรณีต้อนรับแขกพิเศษ หรือไม่ก็เป็นสมบัติส่วนตัวของหญิงสาวตรงหน้า แต่ไม่ว่าจะอย่างไหน ชายหนุ่มพอจะคาดเดาความคิดของอีกฝ่ายได้
โดยไม่ปิดบัง ไคลน์ยิ้มและพูด
“ขอบคุณมากครับ ผมคงปฏิเสธข้อเสนอนี้ไม่ลง… จะให้ผมเรียกคุณว่าอย่างไรดีครับ คุณผู้หญิง?”
“เบลิน เรียกแค่เบลินก็พอค่ะ” เบลินกล่าวด้วยรอยยิ้มอันเบ่งบานประหนึ่งบุปผา
หญิงสาวเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปในห้อง บอกให้เพื่อนร่วมงานที่รับผิดชอบด้านข้อมูล ค้นหาบุคคลที่เหมาะสม จากนั้นก็เดินกลับออกมายังแผนกต้อนรับ หยิบกระป๋องกาแฟดีบุก ชงชาดำอย่างชำนาญ
เฮ่อ… ขอเพียงมีใบหน้าอันหล่อเหลา มาดสุขุม และการแต่งกายที่ภูมิฐาน ถึงจะอยู่ในวัยกลางคนก็ยังได้รับความสนใจจากสาวสวยสินะ… ไคลน์ที่เพิ่งเคยสัมผัสประสบการณ์แปลกใหม่ อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
สิ่งนี้ทำให้ชายหนุ่มตระหนักถึงความสำคัญของกฎเหล็กของผู้ไร้หน้าซึ่งระบุว่า ‘จะเป็นใครก็ได้ แต่อย่าลืมว่าเป็นตัวเอง’
หากไม่เคยทราบกฎนี้มาก่อน มัวหมกมุ่นอยู่กับรูปลักษณ์จอมปลอม คนเราจะไม่อยากเปลี่ยนไปเป็นใบหน้าอื่น จนกระทั่งค่อยๆ หลงลืมตัวเองในอดีต!
โดยไม่ต้องรอนาน เบลินกลับมาพร้อมถ้วยกระเบื้องเคลือบสีขาวเลี่ยมทอง วางลงตรงหน้ามิสเตอร์ดอน·ดันเตส กล่าวพลางยิ้มอ่อน
“ทิ้งไว้สักพักก่อนนะคะ”
ไคลน์ก้มมองถ้วย กล่าวติดตลก
“เยี่ยมเลยครับ… ผมจะได้มีเวลาปรับอารมณ์ตัวเอง เพื่อให้สามารถลิ้มรสชาถ้วยนี้ได้อย่างลึกซึ้ง”
คำชมเชยและคำขอบคุณทางอ้อมของชายหนุ่มทำให้เบลินรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก เกิดเป็นภาพจำที่ว่า มิสเตอร์ดันเตสคือสุภาพบุรุษตัวจริงเสียงจริง แถมยังปากหวาน
เขาต้องไม่ใช่ผู้ศรัทธาของเทพวายุสลาตันแน่… เบลินสางเส้นผมสีน้ำตาลยาวที่หยักศกตอนปลาย เดินกลับเข้าไปข้างในอย่างกระฉับกระเฉง กระตุ้นให้เพื่อนร่วมงานเร่งมือ
ผ่านไปไม่นาน เธอนำเอกสารติดตัวออกมาหนึ่งปึก นั่งลงบนโซฟาเดี่ยวข้างๆ ชายหนุ่มและกล่าว
“หลังจากคัดกรอง นี่คือพ่อบ้านที่เข้าข่ายจำนวนสามคน ดิฉันจะช่วยแนะนำตัวพวกเขาให้ก่อน… คนแรกคือมิสเตอร์แอสเนีย อายุห้าสิบห้าปี เคยรับใช้ไวเคาต์ยอร์กวีลล์ แต่ในเวลาต่อมา เนื่องจากการลงทุนในธุรกิจสำรวจแร่ของไวเคาต์ประสบความล้มเหลว เกิดวิกฤติการเงินภายในตระกูล ต้องขายที่ดินและไล่คนรับใช้ออกเป็นจำนวนมาก เขาก็เป็นหนึ่งในนั้น… ตลอดช่วงสิบปีหลัง มิสเตอร์แอสเนียได้รับการว่าจ้างจากเศรษฐีสองราย มีผลงานโดดเด่นด้านการบริหารจัดการครอบครัว”
ขณะเล่า ดวงตาสีน้ำตาลของเบลินกำลังสดใส ดูคล้ายดวงดาวสองดวง แผ่เสน่ห์อันร่าเริงราวกับเด็กสาวในวัยเยาว์
ไคลน์พยักหน้ารับ
“แล้วทำไมเศรษฐีทั้งสองถึกเลิกจ้างเขา”
เบลินยิ้ม
“เศรษฐีคนแรกตัดสินใจลงทุนเป็นจำนวนมากในไบลัมตะวันออก ถึงขั้นย้ายครอบครัวไปอยู่ที่นั่นกันหมด มิสเตอร์แอสเนียไม่อยากไปจากเบ็คลันด์ จึงขอลาออกด้วยตัวเอง ส่วนเศรษฐีคนที่สองมีสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงเพราะโรคประจำตัว จึงมอบธุรกิจให้บุตรชายสานต่อ โดยบุตรชายก็มีพ่อบ้านที่ไว้ใจมากกว่าอยู่แล้ว… มิสเตอร์แอสเนียนับถือเทพธิดารัตติกาล ทัศนคติด้านการเมืองเอนเอียงไปทางพรรคอนุรักษนิยม ค่าจ้างรายปีที่ต้องการคือหนึ่งร้อยสามสิบปอนด์”
“ขอให้เทพธิดาอวยพรเขา” ไคลน์ทำสัญลักษณ์สี่จุดบนหน้าอก วาดดวงจันทร์สีแดง
ดวงตาของเบลินลุกวาวเล็กน้อย ก่อนจะถาม
“มิสเตอร์ดันเตส คุณเองก็เป็นผู้ศรัทธาในเทพธิดาเหมือนกันหรือคะ”
“แน่นอนครับ” ไคลน์ยิ้มพลางพยักหน้า ไม่อธิบายเพิ่มเติม
สมแล้วที่มีบุคลิกอ่อนโยน! เบลินชื่นชมในใจ เล่าต่อ
“มิสเตอร์รีบัค อายุสี่สิบแปดปี เคยรับใต้ตระกูลนีแกน ทำงานเป็นรองพ่อบ้านมาอย่างยาวนาน รวมถึงผู้ช่วยพ่อบ้าน แต่ในภายหลังถูกโยกย้ายไปเป็นพ่อบ้านของบารอนซินดราส… ไม่นานหลังจากดยุคนีแกนถูกลอบสังหาร สัญญาของมิสเตอร์รีบัคหมดลงและบารอนซินดราสไม่ตัดสินใจขยายออกไป เขาจึงมาลงทะเบียนกับทางเรา… มิสเตอร์รีบัคเชื่อในเทพวายุสลาตันอย่างผิวเผิน ไม่มีปัญหาด้านอุปนิสัยส่วนตัว ทัศนคติทางการเมืองเอนเอียงไปทางพรรคอนุรักษนิยม ค่าจ้างรายปีที่ต้องการคือหนึ่งร้อยยี่สิบปอนด์”
ไคลน์ฟังอย่างเงียบงัน พยักหน้ารับเป็นครั้งคราว ไม่ขัดจังหวะเบลิน
เบลินพลิกหน้ากระดาษสองสามครั้ง
“คนที่สาม มิสเตอร์วอลเตอร์ อายุสี่สิบสองปี เคยทำงานเป็นคนดูแลคฤหาสน์และผู้ช่วยพ่อบ้านให้กับไวเคาต์คอนราด แต่ด้วยสาเหตุบางอย่าง เขาเกิดความขัดแย้งกับพ่อบ้าน จึงตัดสินใจลาออก ค่าจ้างรายปีที่ต้องการคือหนึ่งร้อยสิบห้าปอนด์… เขาศรัทธาเทพธิดารัตติกาล ทัศนคติทางการเมืองเอนเอียงไปทางพรรคหัวก้าวหน้า”
นายกเทศมนตรีคนใหม่ของเกาะโอลาวีก็มาจากตระกูลคอนราด ครอบครัวนี้สาบานว่าจะจงรักภักดีต่อราชวงศ์… ไคลน์หวนนึกถึงข้อมูลที่สอดคล้อง
เสร็จการแนะนำตัว เบลินยื่นปึกเอกสารให้
“มิสเตอร์ดันเตส คุณจะเลือกใครหรือคะ”
ไคลน์ครุ่นคิดสักพัก กล่าวพลางยิ้ม
“เอาแบบนี้เป็นไง… เก้าโมงเช้าวันพรุ่งนี้ ให้ทั้งสามคนมาแวะมายังที่พักของผม หลังจากได้พบปะพูดคุยกัน ค่อยตัดสินใจขั้นสุดท้าย”
ชายหนุ่มรู้ดีว่าสำนักงานทำนองนี้ไม่ได้ให้บริการที่พักกับพ่อบ้าน เป็นเพียงหน่วยงานคนกลาง ถึงตนจะเลือกใครไป แต่กว่าจะได้เจอกันก็ต้องรอถึงบ่ายวันพรุ่งนี้ ด้วยเหตุผลดังกล่าว ไคลน์จึงอยากจัดสัมภาษณ์เล็กๆ เพื่อตรวจสอบว่าใครเหมาะสมกับตน
“ตกลงค่ะ” เบลินยิ้มอ่อน “คุณพักอยู่ที่ไหนคะ?”
ไคลน์จิบชาดำ หยิบกระดาษและปากกาบนโต๊ะ เขียนที่ตั้งและชื่อของโรงแรมปัจจุบัน
“คุณ… เพิ่งย้ายมาอยู่เบ็คลันด์หรือคะ?” หลังจากได้อ่าน เบลินโพล่งคำถาม
เธอเพิ่งรู้ตัวเมื่อสาย มิสเตอร์ดันเตสมีผิวคล้ำกว่าปรกติเล็กน้อย คล้ายกับตากแดดมาเป็นเวลานาน ผิวพรรณหยาบกร้านนิดๆ
จริงด้วย… เขาไม่ได้พูดสำเนียงเบ็คลันด์… เบลินค่อยๆ พบรายละเอียด
ไคลน์ยิ้ม
“ผมมาจากอ่าวเดซีย์ กำลังรอให้พ่อบ้านมาช่วยเลือกที่พักและทีมคนรับใช้ที่เหมาะสม”
หลังจากจ่ายเงินมัดจำสามปอนด์ ชายหนุ่มจิบชาอีกครั้งอย่างสุภาพ ลุกขึ้นพร้อมกับกล่าวคำอำลา
เบลินมาส่งที่ประตู ยืนมองอีกฝ่ายขึ้นรถม้า
มิสเตอร์ดันเตสน่าจะเป็นเศรษฐี… เมื่อผนวกเข้ากับนิสัยใจคอ ลักษณะการแต่งกาย และมาดของสุภาพบุรุษ ทุกสิ่งทำให้ยิ่งดูน่าสนใจ… เบลินยืนอยู่กับที่ ครุ่นคิดเรื่อยเปื่อย
บนรถม้า ไคลน์หลับตาลงครึ่งหนึ่ง เอนตัวพิงพนัก อดไม่ได้ที่จะคำนวณค่าใช้จ่ายในอนาคต
ค่าจ้างพ่อบ้านตกปีละหนึ่งร้อยยี่สิบปอนด์… บุรุษรับใช้กลางๆ หนึ่งคน ตกราวสามสิบห้าปอนด์… พ่อครัวสามสิบปอนด์ คนสวนยี่สิบห้าปอนด์ คนขับรถม้ายี่สิบห้าปอนด์ พยาบาลประจำบ้านยี่สิบปอนด์ แม่บ้านทั่วไปสามคน สิบห้าปอนด์ สาวใช้ทั่วไปสามคน สิบปอนด์… เบ็ดเสร็จ ลำพังค่าแรงคนรับใช้อย่างเดียวก็ตกปีละสามร้อยสามสิบปอนด์ เทียบเท่าหกปอนด์กับอีกเจ็ดซูลต่อสัปดาห์ มากกว่ารายได้ของเราสมัยยังอยู่ทิงเก็น…
นอกจากนั้น เราต้องมีรถม้า ราคาน่าจะตกราวหนึ่งร้อยปอนด์… ต้องการบ้านที่มีสวน ค่าเช่ารายสัปดาห์อีกเกือบสองปอนด์ เมื่อรวมกับค่าอาหาร เสื้อผ้า ถ่านฟืน และค่าจิปาถะสำหรับคนรับใช้ ค่าใช้จ่ายโดยรวมจะถือว่าสูงมาก…
วิถีชีวิตของคนรวยสินะ…
ไคลน์เริ่มนึกเสียใจที่ตนเลือกปลอมตัวเป็นบทบาทนี้
ชายหนุ่มหายใจออก สลัดความกังวลไว้เบื้องหลัง นั่งรถมาไปยังถนนเฟลป์ที่อยู่ในเขตเหนือ
ที่นั่นมีวิหารสีดำบริสุทธิ์ เหนือวิหารเป็นหอระฆังฝั่งละหอ นำเสนอความงดงามแบบสมมาตร – เป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากสำนักงานใหญ่ของโบสถ์เทพธิดารัตติกาลประจำมุขมณฑลเบ็คลันด์ มหาวิหารนักบุญแซมมวล
ไคลน์ขยับผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าเสื้อฝั่งซ้าย ถือไม้ค้ำเลี่ยมทองย่างกรายเข้าไปในวิหาร ผ่านทางเดินอันเงียบสงบ และท่ามกลางแสงแดดที่สองผ่านกระจกหลากสีด้านบน ไคลน์เดินเข้ามาถึงโถงสวดมนต์หลัก
ภายในนี้มืดมาก มอบความรู้สึกสุขสงบแก่ผู้คน ไคลน์เลือกที่นั่งแบบสุ่ม วางพิงไม้ค้ำ ถอดหมวก หลับตาสวดวิงวอนอย่างตั้งใจ
เมื่อเวลาล่วงเลย ชายหนุ่มลุกขึ้นอย่างไม่รีบร้อนหลังจากฟังเทศนาจบ เดินไปยังแท่นบูชา ทำความเคารพบิชอปผมสั้นสีดำ ก่อนจะเดินไปยังกล่องบริจาคที่ตั้งอยู่ด้านข้าง
หายใจเข้าออกแผ่วเบา ไคลน์หยิบธนบัตรสิบปอนด์ออกมาสองใบ ธนบัตรห้าปอนด์หกใบ หย่อนใส่ทีละใบ
เมื่อเห็นฉากดังกล่าว ดวงตาของบิชอปผมสั้นพลันอ่อนโยน
ตามปรกติแล้ว หากไม่ใช่การเรี่ยไรเงินหรือการบริจาคหลังความตาย กล่องรับบริจาคแทบไม่เคยได้เงินเกินกว่าคราวละสิบปอนด์
นั่นหมายความว่า ชายคนนี้เป็นเศรษฐี! เป็นคนร่ำรวย!
……………………………………………………..