ถึงบายัมแล้ว? ไคลน์ลุกขึ้นยืน ตรวจสอบซ้ายขวาจนพบท่าเรือส่วนตัวของกองกำลังกลุ่มต่อต้านที่คุ้นเคย
ชายหนุ่มมิได้แสดงสีหน้าประหลาดใจ เพียงพูดตรงไปตรงมา
“เร็วกว่าที่คิด”
เร็วกว่าที่มันคิดไว้ถึงสามชั่วโมง!
“เร็วกว่าที่ฉันคาดไว้เหมือนกัน” เอ็ดวิน่าถอนสายตากลับ เห็นด้วยกับคำพูดของเกอร์มัน·สแปร์โรว์
เนื้อห้าที่เหลือไม่ค่อยสำคัญ… ไคลน์ก้มศีรษะลง แสร้งทำเป็นพลิกดูหน้าที่เหลือของ ‘หนังสือแห่งสามโลก’ อย่างรวดเร็วโดยไม่แยแส ก่อนจะยื่นให้พลเรือโทธารน้ำแข็ง
“การแลกเปลี่ยนของเราสิ้นสุดตรงนี้”
เอ็ดวิน่าชำเลืองหนังสืออย่างเงียบงัน ขยับริมฝีปากเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ไม่กล่าวคำใด
หญิงสาวรับ ‘หนังสือแห่งสามโลก’ มาวางไว้บนโต๊ะ จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนและกล่าวคำอำลา
“ในอนาคต หวังว่าพวกเราจะได้สนทนากันอีก ความรู้ทางด้านประวัติศาสตร์โบราณของคุณน่าทึ่งมาก”
หากเป็นนิสัยเดิมของไคลน์ ชายหนุ่มจะถ่อมตัวพร้อมกับกล่าวยกย่องพลเรือโทธารน้ำแข็งว่ามีความรู้กว้างขวางไม่ต่างกับตน แต่ในฐานะ ‘นักผจญภัยเสียสติ’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ ชายหนุ่มทำได้เพียงพยักหน้าเล็กน้อย
“เราเป็นพวกเดียวกัน”
หมายความว่า ในอนาคตคงมีโอกาสได้พูดคุยกันอีก
ชายหนุ่มไม่สานต่อบทสนทนา เดินออกจากห้องกัปตัน ตรงกลับไปยังห้องพักส่วนตัว เก็บกระเป๋าเดินทางอย่างไม่ยากเย็น รอให้ฝันทองคำจอดนิ่งเทียบท่า จึงค่อยเดินออกไปทางดาดฟ้าเรือ
ระหว่างทาง ลูกเรือจำนวนมากกำลังยืนรวมตัวกันบนดาดฟ้า มีทั้ง ‘นักชิม’ บลู·โวลส์ ‘นักร้อง’ ออร์ฟิอุส ‘หูกระต่ายบุปผา’ โจเดอร์สัน รวมถึงโจรสลัดระดับสูงอีกมาก
ทุกคนกำลังเผยรอยยิ้มจริงใจ โบกไม้โบกมือให้ไคลน์ด้วยท่าทางกระตือรือร้น ในหมู่พวกมัน ‘ถังไม้’ และ ‘กายาเหล็ก’ เปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นเป็นพิเศษ ถึงขั้นร้องเพลงอำลา
เราไปสนิทสนมกับพวกเขาตั้งแต่ตอนไหน? ไคลน์หัวเราะในลำคอ เดินผ่านกลุ่มโจรสลัดไปทางกราบเรือ
แอนเดอร์สัน·ฮู้ดโน้มตัวมาด้านข้าง กล่าวในสภาพสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยและทรงผมหวีเรียบ
“ใจจริง คนเหล่านี้คงอยากพูดว่า… ลาก่อน อย่าได้พบกันอีกเลย… เกอร์มัน นายรู้ไหม การเป็นศัตรูกับโจรสลัดจำนวนมากไม่ใช่เรื่องฉลาดเลยสักนิด ทุกคนต่างขับเรืออย่างเต็มฝีมือ พยายามทำให้เรือแล่นเร็วที่สุด ประหนึ่งต้องการพาฝันทองคำมาเทียบท่าภายในห้านาที!”
ขณะไคลน์เตรียมตอบสนอง เดนิสในเสื้อคลุมสีดำวิ่งตามมาจากด้านหลัง
หมอนี่โกรธตัวเองที่อ่อนแอ ก็เลยเตรียมใจละทิ้งฝันทองคำเพื่อออกผจญภัยตามลำพัง? ผิดไปจากแผนเดิมพอสมควร เราอยากให้เดนิสอยู่ใกล้กับพลเรือโทธารน้ำแข็งและโบสถ์ปัญญาแห่งความรู้มากกว่า นั่นถึงจะเป็นสาวกที่มีประโยชน์ของเดอะฟูล… แต่ไม่เป็นไร ถ้าเดนิสพัฒนาตัวเองไปอีกขั้น นั่นจะเป็นประโยชน์กับเดอะฟูลยิ่งกว่า… ไคลน์ชั่งน้ำหนักในใจตามความเคยชิน ไม่นานก็สลัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้ง มองไปทางเดนิสด้วยสายตาเยือกเย็น รอให้อีกฝ่ายพูด
เดนิสอ้าปากด้วยสีหน้าขึงขัง แต่ไม่กล่าวสิ่งใดออกมาเป็นเวลานาน จนกระทั่งหัวเราะแห้งสองสามหน หันไปพูดกับแอนเดอร์สัน
“นายมีสูตรโอสถนักวางแผนไหม”
“มีสิ” แอนเดอร์สันยิ้ม “แต่ฉันไม่ขายให้นาย”
ใบหน้าเดนิสพลันดำมืด แอนเดอร์สันกล่าวต่ออย่างไม่แยแส
“นายได้สูตรโอสถนักวางแผนไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร? หากฝืนเลื่อนลำดับตอนนี้ ผลลัพธ์จะมีเพียงความคลุ้มคลั่ง… สหาย จงสวมบทบาทใหม่ตั้งแต่ต้นอีกครั้ง เริ่มจาก ‘นักล่า’ ตามด้วย ‘นักยั่วยุ’ และ ‘นักวางเพลิง’ … หึหึ จะยิ่งดีกว่าเดิมถ้านายนำ ‘หัวใจคนยักษ์’ ไปให้ช่างฝีมือผลิตเป็นสมบัติวิเศษสายป้องกัน ไม่อย่างนั้นคงถูกเชือดทิ้งกลางทางอย่างง่ายดาย… รอจนกระทั่งมั่นใจ ค่อยขอสูตรโอสถนักวางแผนจากกัปตันของนาย เธอเองก็มีมันในครอบครอง… การเป็นนักวางแผนไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ชั่วชีวิตนี้นายอาจทำไม่สำเร็จก็ได้”
มุมปากเดนิสพลันกระตุกหลังจากได้ยินถ้อยคำยั่วยุ อย่างไรก็ตาม มันจดจำทุกคำพูดของแอนเดอร์สันจนขึ้นใจ อีกฝ่ายคือชายที่ได้รับฉายานักล่าที่แข็งแกร่งที่สุด มีประสบการณ์บนเส้นทางนี้กว่าใคร นอกจากนั้น เดนิสเองก็เชื่อว่า กุญแจสำคัญของโอสถคือเทคนิคสวมบทบาท กัปตันของมันเคยสอนเรื่องนี้แล้ว แต่เป็นคำแนะนำแบบคลุมเครือ
“สักวัน… ฉันจะแสดงให้นายเห็นว่านักวางแผนที่แท้จริงเป็นยังไง!” เดนิสกล่าวหนักแน่น หันไปทางเกอร์มัน·สแปร์โรว์
มันกระแอมแห้งในลำคอ กล่าวโดยไม่กล้าสบตาอีกฝ่าย
“ฉันขอกัปตันแล้ว หลังจากนี้จะเริ่มติดต่อและสานสัมพันธ์กับกลุ่มต่อต้านบนเกาะ จะหาเวลาแวะมาที่บายัมให้มากขึ้น”
หมายความว่า นายไม่อยากออกจากฝันทองคำ แต่ก็จะพยายามหาโอกาสพัฒนาตัวเอง? หึหึ… ทำไมท่าทีของหมอนี่ถึงได้เหมือนกับกำลังคุยกับหัวหน้าตัวจริง… ไคลน์แอบหัวเราะ ส่งเสียง ‘อืม’ ในลำคอ
เดนิสถอนหายใจโล่งอก เผยท่าทีผ่อนคลายชัดเจน หากไม่ใช่เพราะมีพวกพ้องกำลังจ้องมองอยู่ด้านหลัง มันคงช่วยเกอร์มัน·สแปร์โรว์ถือกระเป๋าเดินทางไปจนถึงท่าเรือ
เมื่อเห็นเกอร์มันและแอนเดอร์สันเดินจากไป เดนิสตัดสินใจหนักแน่นที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ในคืนนี้ สวดวิงวอนถึงเดอะฟูลวันละครั้ง แสดงถึงความจงรักภักดี หลีกเลี่ยงการเผชิญเหตุไม่คาดฝัน
ณ ท่าเรือส่วนตัวของกลุ่มต่อต้าน แอนเดอร์สันเห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์หักเลี้ยวไปทางถนนเส้นใหม่อย่างชำนาญ เพียงครู่เดียวก็พ้นเขตป่าทึบ
“นายคุ้นเคยกับที่นี่ด้วยหรือ? ครั้งสุดท้ายที่ฉันมาเยือน ถนนเส้นนี้ยังไม่ถูกสร้างขึ้น” แอนเดอร์สันพูดด้วยเสียงผ่อนคลายแกมเบื่อหน่าย
แน่นอน… ในทุกๆ วันจะมีผู้คนมากมายสวดวิงวอนถึงฉัน รายงานในสิ่งที่พวกเขาได้กระทำ และฉันเองก็ตอบกลับไปบ้าง หนึ่งในนั้นคือการแนะนำให้สร้างถนนเส้นนี้… ไคลน์รำพันอย่างภูมิใจสักพัก กล่าวหน้านิ่ง
“เพื่อนของนายอยู่ไหน”
“ในคฤหาสน์นอกบายัม” แอนเดอร์สันเร่งฝีเท้า กลายเป็นฝ่ายนำทาง
หนึ่งชั่วโมงถัดมา มันพาไคลน์มาถึงด้านนอกคฤหาสน์ กลิ่นเครื่องเทศเข้มข้นฟุ้งกระจายเต็มอากาศ ถือเป็นบรรยากาศแปลกใหม่ที่ยากอธิบาย
หลังจากแจ้งความจำนงกับคนเฝ้าประตู ทั้งสองรอไม่นานก็ได้พบชายเจ้าของส่วนสูงมาตรฐาน เตี้ยกว่า 1.75 เมตรไม่มาก เดินตรงเข้าใกล้พร้อมกับพ่อบ้านและบริกรชาย
อีกฝ่ายมีผิวเหลือง ค่อนไปทางสีแทน มาดอ่อนโยน เบ้าตาจมลึกจนดูไม่เหมือนชาวโลเอ็น
สำหรับไคลน์ ปัจจัยข้างต้นเพียงพอที่จะระบุชาติกำเนิดของอีกฝ่าย มันทราบทันทีว่าเพื่อนของแอนเดอร์สันเป็นชาวเฟเนพ็อต
ด้วยหุ่นค่อนข้างท้วม ใบหน้ากลมกลึงและแววตาใจดี เมื่อเห็นนักล่าที่แข็งแกร่งที่สุด มันหัวเราะในลำคอ
“แอนเดอร์สัน ยังไม่ตายอีกหรือ”
“ฉันรอไปร่วมงานศพนายอยู่” แอนเดอร์สันตอบโต้หน้านิ่ง หันมาทางไคลน์และกล่าวแนะนำตัว “เขาคือยุกฟ่า·คอนเนอร์คริส อดีตหมอประจำทีมของฉัน”
มันมิได้แนะนำตัวเกอร์มัน·สแปร์โรว์ เพียงยิ้มและพูด
“ฉันพาธุรกิจมาหานาย”
ยุกฟ่าเข้าใจทันทีว่าแอนเดอร์สันหมายถึงสิ่งใด จึงไม่พูดอะไรต่อหน้าพ่อบ้านและบริกรชาย เดินนำทางทั้งสองเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ของคฤหาสน์
ระหว่างทาง ไคลน์เห็นโรงสี กังหันลม โรงอบขนม โรงเหล้า ค่ายทหาร และอาคารอื่นๆ อีกหลายประเภท คฤหาสน์แห่งนี้เป็นราวกับอาณาจักรขนาดย่อม ขาดเพียงโรงเหล็ก เนื่องจากเหล็กส่วนใหญ่ในตลาดมีราคาต่ำกว่าการผลิตเอง
“วิถีชีวิตครบวงจรแบบชนบท…” ไคลน์พึมพำด้วยอารมณ์ลึกซึ้ง เดินตามยุกฟ่าเข้าไปในบ้านหลังหลัก ตรงมายังห้องอ่านหนังสือ
ยุกฟ่าไม่ได้พาภรรยาหรือลูกๆ มาพบแอนเดอร์สันกับไคลน์ เห็นได้ชัดว่าไม่ต้องการให้ครอบครัวยุ่งเกี่ยวกับโลกแห่งศาสตร์เร้นลับ ด้วยเหตุนี้ หลังจากลงกลอนปิดประตูสนิท มันจ้องมาทางแอนเดอร์สัน
“ธุรกิจอะไร”
“อยากขายปืนลูกโม่กระบอกนั้นไม่ใช่หรือ? เขาสนใจ” แอนเดอร์สันชี้ไปทางไคลน์ “เกอร์มัน·สแปร์โรว์”
“เกอร์มัน·สแปร์โรว์ นักผจญภัยสุดแกร่งที่เชือด ‘นักพูด’ มีซอร์·คิงอย่างง่ายดาย?” ยุกฟ่าถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ แต่มิได้หวั่นเกรง
แม้จะละทิ้งวิถีชีวิตนักผจญภัย แต่มันทราบดีว่า ข้อมูลคือสิ่งสำคัญสำหรับทุกคน จึงคอยรวบรวมข่าวที่เกิดขึ้นในบายัมอย่างต่อเนื่อง หลีกเลี่ยงเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
แอนเดอร์สันหัวเราะเสียงดัง
“ข่าวของนายมันเก่าแล้ว! วีรกรรมล่าสุดของสุภาพบุรุษท่านนี้คือการสังหาร ‘จอมเชือด’ จิลเซียสตามลำพังและเอาชีวิตรอดมาได้!”
“จิลเซียส? ผู้ช่วยกัปตันของราชาอมตะ?” สีหน้าแววตาของยุกฟ่าเริ่มแปรเปลี่ยน เผยความประหลาดใจที่ยากเก็บซ่อน
“ถูกต้อง!” แอนเดอร์สันหัวเราะ “ในแดนสวรรค์ของโจรสลัด เขาถูกยกย่องให้เป็นนักล่าที่แข็งแกร่งที่สุด!”
ยุกฟ่ากลืนน้ำลาย จ้องไคลน์ ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน
“ถ้าอย่างนั้น นายก็มีคุณสมบัติที่จะซื้อ ‘ลางมรณะ’ ”
“ลางมรณะ?” ไคลน์ถามด้วยท่าทีสนใจเล็กๆ อย่างไม่ประเจิดประเจ้อ
“ชื่อของปืน… มันอยู่กับฉันมานานนับสิบปี เฮ่อ… หากไม่ใช่เพราะมันซ้ำซ้อนกับสมบัติวิเศษชิ้นอื่นที่ฉันพกพา และเรื่องที่มันไม่ค่อยมีประโยชน์แล้วในปัจจุบัน ฉันคงไม่คิดขายมันเด็ดขาด” ยุกฟ่าถอนหายใจยาว
ทันใดนั้น แอนเดอร์สันยืนยิ้ม
“ตอนแรกไม่ได้พูดแบบนี้นี่… นายบอกว่าอยากได้เครื่องมือทางการเกษตรมากกว่า”
นักเพาะปลูกสินะ… ไคลน์นำคำพูดแอนเดอร์สันผสานเข้ากับภาพลักษณ์ของยุกฟ่า คาดเดาเส้นทางที่สอดคล้องกัน
พร้อมกันนั้น ชื่อของโอสถบนเส้นทางดังกล่าวผุดขึ้นในสมองทันที : ลำดับ 9 นักเพาะปลูก ลำดับ 8 แพทย์ ชื่อโบราณคือ ‘นักบวชรักษา’ และลำดับ 7 นักบวชเก็บเกี่ยว
เข้าใจแล้วว่าทำไมแอนเดอร์สันถึงแนะนำตัวว่า ‘หมอ’ … ไคลน์ครุ่นคิดสักพักก่อนจะกล่าว
“คุณรู้จักแฟรงค์·ลีไหม”
“ฮะฮะ! ไม่รู้จัก แม้ว่าฉันจะมาจากเฟเนพ็อต แต่โอสถและวัตถุดิบล้วนหามาด้วยตัวเอง ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโบสถ์พระแม่ธรณี และนั่นคือเหตุผลที่ฉันไม่กล้ากลับไปที่เฟเนพ็อตอีกเลย… แต่ถึงอย่างนั้นก็เคยได้ยินเรื่องราวของแฟรงค์·ลีมาบ้าง เขาเป็นคนที่ทำให้โบสถ์พระแม่ต้องปวดหัวอย่างหนัก” ยุกฟ่าตอบอย่างใจเย็น “ทั้งที่เป็นแค่ลำดับ 6 นักชีววิทยา แต่โบสถ์กลับเห็นค่าเขามากขนาดนั้น ฉันเองก็อยากรู้จักไว้บ้างเหมือนกัน”
อย่าได้คิดเชียว แล้วนายจะเสียใจภายหลัง… พิจารณาจากคำตอบของยุกฟ่า ไคลน์พอจะทราบว่าอีกฝ่ายนับถือพระแม่ธรณี และมีแนวโน้มว่าจะเป็นผู้วิเศษทรงพลังลำดับ 5
แอนเดอร์สันด้านข้าง หลังจากได้ยินคำพูดยุกฟ่า มุมปากของมันกระตุกอย่างเห็นได้ชัด กล่าวด้วยสีหน้าเจือความหวาดผวา
“ชายคนนั้นเก่งกาจในการสร้างความปวดหัวอย่างแท้จริง ไม่ผิดนักหากจะเรียกว่าปีศาจ… พลังและความคิดของหมอนั่นล้ำเกินลำดับ 6 ไปไกลแล้ว… ช่างเถอะ เลิกพูดถึงเขาดีกว่า แค่คิดก็อยากจะอ้วกออกมาเป็นนม”
ยุกฟ่ามองไปยังสองบุรุษฝั่งตรงข้ามด้วยสีหน้าสับสน แต่สุดท้ายก็เก็บซ่อนความอยากรู้อยากเห็น เดินไปที่โต๊ะตัวหนึ่ง เปิดลิ้นชัก หยิบปืนลูกโม่เหล็กสีดำลำกล้องยาวกว่าปรกติออกมา
“นี่คือลางมรณะ” ยุกฟ่าเกริ่นเสียงขรึม