เมื่อสัมผัสได้ว่ามีแรงกดดันมหาศาลบินผ่าน การเคี้ยวของแอนเดอร์สันพลันหยุดชะงัก รอจนกระทั่งอีกฝ่ายบินหายไป จึงค่อยกลืนเนื้อกระต่ายที่เหลือและหันไปทางเกอร์มัน·สแปร์โรว์
“นั่นคือมังกรที่นายหมายถึง?”
ไคลน์พยักหน้ารับ บอกเป็นนัยว่าข้อสันนิษฐานของอีกฝ่ายถูกต้อง
มุมปากแอนเดอร์สันยกขึ้นเล็กน้อย ดูไม่ออกว่ากำลังหัวเราะหรือร้องไห้
“ฉันคิดว่านายหมายถึงมังกรเด็กหรือวัยรุ่น… ไอ้ตัวที่เพิ่งบินผ่านไปมันออกจะ… เฮ่อ ฉันคงเป็นนักล่ามังกรไม่ได้แล้ว อย่างมากก็เป็นได้แค่อุจจาระมังกร… ล่ะนะ”
พลังข่มขวัญของราชาแห่งแดนเหนือรุนแรงมาก… ไม่ด้อยไปกว่าสัตว์ประหลาดเศษเนื้อเย็บติดกันซึ่งมีพลังกระตุ้นให้เส้นขนงอกยาว ที่เราได้พบบนอนาคตกาลเลยสักนิด… บางทีอาจเป็นลำดับ 4… ระดับครึ่งเทพ… ไคลน์วิเคราะห์อย่างเยือกเย็น ไม่เผยความตื่นตระหนักหรือหวาดกลัว
ชายหนุ่มยังคงไม่ลืม จากเรื่องราวที่หนังสือ ‘การเดินทางของกรอซาย’ บันทึกไว้ แม้โจรสลัดหญิงจะถูกราชาแห่งแดนเหนือจู่โจม แต่สุดท้ายเธอก็หนีรอดไปได้อย่างหวุดหวิด จนพบกับคณะเดินทางของตัวเอกที่นำโดยคนยักษ์กรอซาย
เอ็ดวิน่า·เอ็ดเวิร์ดไม่ใช่ครึ่งเทพอย่างแน่นอน เธอคือลำดับ 5 ของเส้นทางนักอ่าน แถมยังถูกดูดเข้าไปในหนังสืออย่างกะทันหัน สมบัติวิเศษหรือสมบัติปิดผนึกส่วนใหญ่ยังอยู่ในห้องกัปตัน พกติดตัวไว้เพียงไม่กี่ชิ้นที่ใช้งานบ่อย…
ด้วยสภาพดังกล่าว เธอกลับยังรอดชีวิตจากการจู่โจมของราชาแห่งแดนเหนือ ไคลน์จึงเชื่อว่า ลำพังการหนีเอาตัวรอดคงไม่ยากเกินความสามารถของตนที่เพิ่งเลื่อนลำดับและปรับเปลี่ยนพลังในถุงมือ แถมยังมีอีกหนึ่งตัวช่วยอย่างการสวดภาวนาถึงห้วงมิติเหนือสายหมอกและยืมพลังคทาเทพสมุทร
นี่คือเหตุผลที่ทำให้ไคลน์กล้าตามเข้ามาในหนังสือ ชายหนุ่มยืนยันแล้วว่าเดนิสสามารถสวดวิงวอนถึงเดอะฟูลได้ตามปรกติ
อา… ราชาแห่งแดนเหนือไม่น่าจะเป็นสัตว์วิเศษบนเส้นทางทั่วไป อ้างอิงจากคำบอกเล่าของพลเรือโทธารน้ำแข็ง มันน่าจะเป็นสัตว์ประหลาดคลุ้มคลั่งที่ดูดซับตะกอนพลังเกี่ยวกับน้ำแข็งหลากหลายชนิดเข้าไป พลังจึงใกล้เคียงกับครึ่งเทพในบางเส้นทาง แต่ขณะเดียวกันก็มีจุดอ่อนในด้านอื่น… ถ้ามีเรา เอ็ดวิน่า แอนเดอร์สัน รวมถึงทีมผู้วิเศษของคณะเดินทางตัวเอก โอกาสเอาชนะก็ไม่ริบหรี่เสียทีเดียว! หรือต่อให้หมดสิ้นหนทาง เราก็ยังมีคทาเทพสมุทร หนังสือเล่มนี้ไม่มีทางกีดขวางพลังจากมิติหมอกได้แน่ เพราะถ้าเป็นแบบนั้นจริง เราคงพบความผิดปรกติได้นานแล้ว… ไคลน์ที่ยืนข้างกองไฟ หันไปทางแอนเดอร์สันพลางยิ้ม
“กลัวหรือ?”
แอนเดอร์สันชะงักเล็กน้อย ยิ้มตอบและกล่าว
“ไม่เลยสักนิด… แต่นายดูมั่นใจมากเลยนะ”
กล่าวจบ มันส่ายหน้าเล็กน้อยพลางมองไปทางเดนิสที่ยังคงเผยอาการสั่นกลัวให้เห็น แม้จะพยายามข่มแล้วก็ตาม
“ตามความคิดของนาย สิ่งใดสำคัญที่สุดสำหรับลูกผู้ชาย”
เดนิสที่กำลังสูดลมหายใจเข้าลึก สะดุ้งเล็กน้อยหลังจากได้ยินคำถามไม่คาดฝัน ไม่กี่อึดใจถัดมา มันเหยียดนิ้วชี้และนิ้วกลางออก ชี้ลงไปที่เป้ากางเกงตัวเอง
แอนเดอร์สันกะพริบตาหนึ่งครั้ง ระเบิดเสียงหัวเราะ
“สัปดนจริง… พวกโจรสลัดนี่หยาบคายชะมัด… ฮะฮะ! ฉันเตรียมจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ประโยคเมื่อครู่ของนายดันทำให้ลืมไปหมด…”
“…”
“อ๊ะ! นึกออกแล้ว ที่ฉันอยากจะบอกคือความกล้าหาญ สิ่งสำคัญที่สุดของลูกผู้ชายคือความกล้าหาญ! ลองดูตัวนายในตอนนี้สิ ยังไม่ทันที่มังกรนั่นจะโจมตี ก็เอาแต่สั่นกลัวจนแทบจะใช้มือกุมหัวร้องขอชีวิตอยู่แล้ว!”
ใบหน้าเดนิสพลันแดงก่ำ หันไปถลึงตาใส่อีกฝ่าย
หมอนี่ไม่เคยทำตัวแบบนี้บนเกาะทอสคาร์เตอร์… ไคลน์พึมพำ
ขณะเดนิสเตรียมโต้เถียงว่านั่นเป็นอิทธิพลจากแรงกดดันของมังกร โจรสลัดคนดังพลันฉุกคิดบางสิ่งได้ สีหน้าจึงเริ่มกลับเป็นปรกติ ตอบโต้อย่างเยือกเย็น
“ก็ยังดีกว่าคนที่เปรียบตัวเองเป็นอุจจาระมังกรล่ะนะ”
รอยยิ้มแอนเดอร์สันพลันเลือนหาย มันกระแอมแห้งหนึ่งหน ฉีกขากระต่ายออกราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยื่นไปทางเกอร์มัน·สแปร์โรว์
“นายไม่กินหรือ”
ไคลน์เงียบงันหนึ่งอึดใจ ส่ายหน้าเชื่องช้า
“โลกใบนี้เต็มไปด้วยความพิสดาร หากยังยืนยันไม่ได้ว่าปลอดภัย พวกเราก็ไม่ควรกินอะไรส่งเดช… ถึงจะเป็นแค่เนื้อกระต่าย แต่มันอาจทำให้นายต้องติดอยู่ที่นี่ไปตลอดกาล”
“…” แอนเดอร์สันยกขากระต่ายมาจ่อดมจมูกเล็กน้อย ก่อนจะวางลงด้วยสีหน้ามืดหม่น “แล้วทำไมนายไม่บอกให้เร็วกว่านี้”
ไคลน์ตอบเย็นชา
“ฉันเพิ่งคิดได้”
ใบหน้าแอนเดอร์สันบิดเบี้ยวเล็กน้อย ก่อนจะก้มศีรษะลงและรีบกัดน่องกระต่ายย่างคำใหญ่
“นี่นาย…! ไม่กลัวเลยรึไง?” พฤติกรรมของนักล่าที่แข็งแกร่งที่สุดทำให้เดนิสเผยสีหน้าตกตะลึง
แอนเดอร์สันยิ้มอย่างจนปัญญา
“ฉันกินไปแล้วขาหนึ่ง ป่านนี้คงย่อยเรียบร้อยแล้ว… ในเมื่อเปลี่ยนแปลงชะตากรรมตัวเองไม่ได้ ขอมีความสุขจนถึงที่สุดก็แล้วกัน”
ไคลน์และเดนิสหมดคำจะกล่าวไปพักใหญ่
หลังจากกินขากระต่ายเสร็จ แอนเดอร์สันตั้งคำถาม
“พวกนายจะไม่กินจริง ๆ หรือ? พวกเราไม่มีทางรู้เลยว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหนบนโลกใบนี้ ถ้าปล่อยให้ท้องหิว จะเหลือเรี่ยวแรงไปสู้กับสัตว์ประหลาดอย่างมังกรได้ยังไง”
ไคลน์ไม่ตอบทันที เพียงหยิบนาฬิกาพกสีทองออกมาเปิดฝา
“ตอนนี้เวลาข้างนอกคือ… หกโมงเย็นกับอีกสิบนาที… ถัดจากนี้อีกราวสี่ถึงหกชั่วโมง ถ้าไม่มีความผิดปรกติเกิดขึ้นกับนาย พวกเราจะลองหามื้อเบา ๆ กิน”
“…” แอนเดอร์สันทำได้เพียงอ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออก
ไคลน์เมินอีกฝ่าย หันไปทางเดนิสและกล่าว
“พักสิบห้านาที จากนั้นจะออกตามหากัปตันของนาย”
ขณะพูด ชายหนุ่มล้วงหยิบต่างหูไข่มุกของพลเรือโทธารน้ำแข็ง
“ตกลง!” เลือดลมในตัวเดนิสพลันสูบฉีด ความหนาวเหน็บในใจพลันสลายเป็นปลิดทิ้ง
ผ่านไปเจ็ดแปดวินาที เดนิสกลับไปผิงกองไฟอีกครั้ง
…
หนึ่งทุ่มตรงตามเวลาโลกภายนอก ไคลน์ในสภาพถือหมวกและไม้ค้ำ อาศัยผลการทำนายคอยนำทาง เดินฝ่าฟันอุปสรรคมากมายจนกระทั่งถึงยอดเขาแห่งหนึ่งพร้อมกับเดนิสและแอนเดอร์สัน
หลังจากเดินวนรอบหินก้อนใหญ่ที่มีน้ำแข็งจับตัวหนา ทั้งสามมองเห็นปากถ้ำมืดมิดขนาดใหญ่ หน้าทางเข้ามีสตรีคนหนึ่งกำลังยืนเฝ้ายามด้วยคันศรแบบโบราณ
เส้นผมของเธอดำขลับ นุ่มสลวย มัดหางม้าเรียบง่าย ใบหน้าอ่อนนุ่มกระจ่างใส แตกต่างจากชาวทวีปเหนือชัดเจน
ในสภาพสวมเสื้อโค้ทและกางเกงล่าสัตว์สีน้ำตาลทรงโบราณ หญิงสาวหันมาจ้องบุรุษทั้งสามคล้ายกับมีอะไรดลใจ
เมื่อเห็นปลายหูที่ค่อนข้างแหลมของเธอ ผนวกกับเรื่องราวที่เคยอ่านจาก ‘การเดินทางของกรอซาย’ ไคลน์เดาได้ทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
สตรีผู้นี้คือเอลฟ์สาวที่เป็นเพื่อนร่วมทางคนแรกของคนยักษ์กรอซาย ในเนื้อหามิได้ระบุชื่อสกุลเอาไว้
หากเปรียบกับโลกเก่า ชาวทวีปเหนือจะเหมือนกับชาวตะวันตก ส่วนเอลฟ์หญิงคนนี้มีเสน่ห์คล้ายคลึงชาวตะวันออก… ไคลน์สรุปความประทับใจแรกที่มีต่ออีกฝ่าย
“เอลฟ์! เธอเหมือนกับเอลฟ์ในจิตรกรรมฝาผนังของโบสถ์!” แอนเดอร์สันโพล่งขึ้นอย่างตื่นเต้น “ฉันอยากเจรจากับเธอ อยากได้เธอมาเป็นนางแบบในวาดภาพ!”
เดนิสด้านข้างพ่นลมหายใจ กล่าวเย้ยหยัน
“สัปดนจริง!”
เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ชายคนนี้ยังไม่ลืมทุกคำเสียดสีของแอนเดอร์สัน
“นายรู้จักแต่ภาพวาดแบบนั้นรึไง?” แอนเดอร์สันชำเลืองด้วยหางตา ก่อนจะเร่งฝีเท้าเข้าไปหาเอลฟ์สาว
เพียงเริ่มขยับตัว อีกฝ่ายโก่งคันศรโดยปราศจากความลังเล ลูกธนูสีเงินแวววาวถูกบรรจุเสร็จสรรพ
“ห…หยุดก่อน!” แอนเดอร์สันรีบยกสองมือขึ้นระดับอก
เปล่าประโยชน์… เอลฟ์ส่วนมากมักอยู่บนเส้นทางวายุสลาตัน เป็นพวกฉุนเฉียวและใจร้อน… ไคลน์แอบเปิดเนตรด้ายวิญญาณ เตรียมเข้าควบคุมขั้นต้นเพื่อเจรจากับอีกฝ่าย
ทันใดนั้น เบื้องหน้าแอนเดอร์สันพลันปรากฏ ‘ท่อนขา’ ขนาดมหึมาจำนวนสองท่อน สีเทาอมฟ้า กล้ามแน่นทุกมัด รวมไปถึงดาบเล่มใหญ่ที่ส่วนปลายจมลงในหิมะ!
“…” แอนเดอร์สันพูดไม่ออกเมื่อพบว่า ตนสูงเลยหัวเข่าของท่อนขาตรงหน้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น สายตาของนักล่าอันดับหนึ่งค่อย ๆ มองไล่จากปลายดาบขึ้นไปตามสัญชาตญาณ
จนกระทั่งแหงนคอเกือบสุด มันได้พบกับคนยักษ์สูงเกือบสี่เมตร!
ผิวพรรณของยักษ์ตนนี้มีสีฟ้าอมเทา รอบสะโพก หน้าอก และหน้าท้องมีขนสัตว์หนาปกปิด แต่ส่วนอื่นล้วนเปลือยเปล่า ไม่เว้นแม้กระทั่งฝ่าเท้าและท่อนขา
ในสภาพถือดาบเล่มมหึมาที่กว้างยิ่งกว่าบานประตูของมนุษย์ คนยักษ์ก้มมองไคลน์และแอนเดอร์สันด้วยดวงตาแนวตั้งหนึ่งดวงอันเป็นเอกลักษณ์ของเผ่าพันธุ์
“พวกเจ้าเป็นใคร… มาทำอะไรในค่ายของกรอซาย”
ขณะไคลน์เตรียมมอบคำตอบ บุคคลที่คุ้นเคยได้เดินออกจากปากถ้ำสีดำขนาดใหญ่ ภาพดังกล่าวทำให้ดวงตาของเดนิสลุกวาว
ในสภาพสวมเสื้อเชิ้ตสีเข้มและกางเกงขายาวสีน้ำตาล ‘พลเรือโทธารน้ำแข็ง’ เอ็ดวิน่ากวาดตามองผู้มาเยือนทั้งสาม ทันใดนั้น สีหน้าอันเย็นชาที่หญิงสาวสวมไว้ตลอดเวลา พลันเผยความตกตะลึงหลังจากเห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์และแอนเดอร์สัน·ฮู้ดเต็มสองตา
แต่เพียงไม่นานก็กลับสู่ปรกติ เธอเงยหน้าขึ้นและกล่าวกับคนยักษ์
“กรอซาย พวกเขาเป็นเพื่อนของฉัน”
กรอซายเผยรอยยิ้ม ซักถามด้วยน้ำเสียงเจือความยินดี
“พวกเจ้าก็มาช่วยข้าจัดการกับยูลิเซี่ยนเหมือนกันหรือ?”
ยูลิเซี่ยน? ไคลน์ตอบสนองไม่ถูกไปสักพัก
ทันใดนั้น ชายหนุ่มเห็นเอ็ดวิน่าที่ยืนใต้เงาคนยักษ์ขยิบตาให้ตน เป็นนัยบอกใบ้ให้ตอบว่าใช่
“ใช่”
“ฮะฮะ! ถ้าอย่างนั้น พวกเราคือสหาย!” กรอซายก้มมองมนุษย์ทั้งสาม ระเบิดเสียงหัวเราะอย่างมีความสุข
ขณะอีกฝ่ายกำลังพูด แอนเดอร์สันแอบชำเลืองเกอร์มัน·สแปร์โรว์พลางกระซิบเสียงแผ่ว
“ฉันเพิ่งเคยเห็นคนยักษ์ตัวเป็น ๆ ก็คราวนี้… ไม่มีทางโจมตีใส่จุดอ่อนได้เลย หมอนี่สูงเกินไป!”
โจมตีเล็บเท้าไปก่อนก็แล้วกัน… ไคลน์พึมพำ ตอบกลับเสียงห้วน
“ยิ่งตัวใหญ่ก็ยิ่งพลาดเป้ายาก”
“…นั่นสินะ” แอนเดอร์สันเห็นพ้อง
ขณะเดียวกัน เอ็ดวิน่าเดินเข้ามาใกล้คนทั้งสามพร้อมกับกล่าวแนะนำ
“นี่คือหัวหน้าค่าย กรอซาย คนยักษ์ผู้พิทักษ์”
“ทางนี้คือผู้ขับขานแห่งเอลฟ์ เซียธาส”
ผู้ขับขานแห่งเอลฟ์? หมายถึงผู้ขับขานสมุทร? ไคลน์เริ่มพบความหวังในการหาสูตรโอสถให้มิสเตอร์แฮงแมน
เอ็ดวิน่าหมุนตัวครึ่งรอบ กล่าวกับกรอซายและเอลฟ์หญิงเซียธาส
“พวกเขาเป็นเพื่อนของฉันเอง… นักผจญภัยที่แข็งแกร่งที่สุด เกอร์มัน·สแปร์โรว์ นักล่าสมบัติ แอนเดอร์สัน·ฮู้ด และกะลาสีคนดัง เดนิส”
“…” เราเคยคิดว่าพลเรือโทธารน้ำแข็งจะเป็นพวกจริงจังและเกลียดการโกหกเสียอีก… กะลาสีคนดัง… หึหึ อย่างน้อยก็มีส่วนจริงล่ะนะ… ไคลน์ถอดหมวกคำนับอย่างนอบน้อม ส่วนแอนเดอร์สันทำตามลวก ๆ
เดนิสโล่งใจเมื่อได้ยินได้กัปตันแนะนำตนในฐานะมิตรสหาย มิใช่ลูกน้อง แต่หลังจากผ่านไปสักพัก มันเริ่มพบความผิดปรกติในคำพูด
กรอซายหัวเราะในลำคอ
“เข้าไปในค่ายเถอะ พวกเรากำลังจะทำศึกกับยูลิเซี่ยน!”
เป็นกันเองและมีชีวิตชีวามาก… น่าแปลก ไม่ว่าจะในบันทึกของโบสถ์หรือตำนานของเมืองเงินพิสุทธิ์ คนยักษ์จะถูกนิยามว่าเป็นพวกใจร้อนเสมอ นอกจากนั้นยังเกรี้ยวกราด จ้องแต่จะทำลาย… นั่นสินะ ในหนังสือจะเขียนอะไรขึ้นมาก็ได้ ขอให้สอดคล้องกันเป็นพอ… ไคลน์พยักหน้าเล็กน้อย ตามกรอซายเข้าไปในปากถ้ำกว้าง
เห็นดังนั้น เอ็ดวิน่ารีบขยับเข้าไปใกล้คนทั้งสาม ทำทีว่ากำลังเดินนำทาง แต่ความจริงแล้วแอบกระซิบสองสามประโยค
“ประวัติศาสตร์ที่พวกเขาเล่าให้ฟังค่อนข้างแปลก… ภาษาก็ด้วย ไม่ว่าใครจะพูดภาษาไหน ทุกคนล้วนเข้าใจตรงกัน”