ณ นิกายกระบี่สายฟ้าภายในดินแดนมหาเทพ ตอนนี้เวลาได้ล่วงเลยมาหลายเดือนแล้ว
ตลอดช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา สถานการณ์ในดินแดนมหาเทพเงียบสงบอย่างยิ่ง ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ไม่ออกไปจากอาณาเขตของนิกายกระบี่สายฟ้าแม้แต่คราเดียวและใช้เวลาส่วนใหญ่ฝึกวิชาอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัว
การพัฒนาปรับโฉมคฤหาสน์เฟิงหัวก็เสร็จสมบูรณ์ไปด้วยดีและเรียกได้ว่าในตอนนี้คฤหาสน์ล่องหนแทบจะเป็นโลกของตัวมันเองซึ่งมีอาณาเขตพื้นที่กว้างขวางกว่าก่อนหน้านี้ถึงหลายร้อยเท่า ฉินอวี้โม่เดินสำรวจไปทั่วบริเวณและรับรู้ได้ว่าพื้นที่ของคฤหาสน์เฟิงหัวในตอนนี้กว้างใหญ่ยิ่งกว่าดินแดนหวนหลิงที่นางจากมาเสียอีก
บรรดาอสูรของนางก็ได้ออกไล่ล่าอสูรมายาเป็นจำนวนมากและตอนนี้พวกมันก็ตั้งรกรากถิ่นฐานอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัว และหากมีบรรดาจอมยุทธ์อาศัยอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวมากขึ้น มันก็จะถือเป็นโลกขนาดเล็กที่สมบูรณ์ใบหนึ่ง
ในเวลานี้หานโม่ฉืออยู่ในช่วงเก็บตัวบ่มเพาะพลัง ในขณะที่ความแข็งแกร่งของฉินเทียนก็ติดอยู่ในสภาวะคอขวดและใช้เวลาส่วนใหญ่ในการเล่นสนุกกับเสี่ยวอ้ายโม่
เสี่ยวอ้ายโม่เป็นที่รักที่เอ็นดูของทุกคนในนิกายกระบี่สายฟ้าและแทบจะเรียกได้ว่าเป็นเจ้าหญิงตัวน้อยของนิกายกระบี่สายฟ้า บรรดาศิษย์และผู้อาวุโสของนิกายล้วนถูกชะตาและเอ็นดูนางเป็นอย่างมาก
ส่วนฉินอี้เฟยเองก็เก็บตัวบ่มเพาะพลังในช่วงระยะเวลาหนึ่งเช่นกันโดยที่ความแข็งแกร่งของเขาก็พัฒนาขึ้นมากภายในเวลาเพียงไม่กี่เดือน
พรสวรรค์ของเขายอดเยี่ยมเป็นทุนเดิมแล้ว เพียงแต่เมื่อครั้งยังอยู่ในดินแดนเทพมายา เขาไม่สามารถทะลวงพลังต่อได้เนื่องจากข้อจำกัดของดินแดน เพราะเหตุนั้น การที่ได้เดินทางมาที่ดินแดนมหาเทพและบ่มเพาะพลังอยู่ที่นี่จึงทำให้เขาทะลวงพลังได้ในเวลาเพียงไม่นาน
หลังจากการฝึกยุทธ์นานหลายเดือน ความแข็งแกร่งภายนอกของเขาก็พัฒนาจนเทียบเท่าได้กับฉินอวี้โม่และบรรลุถึงขอบเขตราชาเซียนขั้นสูง ทว่าสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าคือความสามารถในการหลอมโอสถของเขา
ในปัจจุบันนี้ ความสามารถด้านการหลอมโอสถของฉินอี้เฟยอยู่ในอันดับต้น ๆ ของดินแดนมหาเทพและมีผู้คนเพียงน้อยนิดเท่านั้นที่จะเทียบกับเขาได้ ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เขาก็หลอมโอสถนิพพานขึ้นมาจากวัตถุดิบหายากที่ฉินอวี้โม่มอบให้เขาโดยที่มันมีคุณสมบัติในการฟื้นคืนชีพคนตายได้
อย่างไรก็ตาม วัตถุดิบที่ต้องใช้ในการหลอมโอสถนิพพานนั้นก็หาได้ยากอย่างยิ่งและมีอัตราความสำเร็จที่ไม่สูงเช่นกัน แม้ทุ่มเทพยายามอย่างเต็มที่ ฉินอี้เฟยก็หลอมได้สำเร็จเพียงแปดเม็ดเท่านั้น
และในวันนี้เอง ทุกคนก็รวมตัวกันที่ลานจัตุรัสของนิกายกระบี่สายฟ้าเพื่อเฉลิมฉลองวันขึ้นปีใหม่อย่างรื่นเริง
เหลยเจี้ยนเชิงนั่งประจำในบัลลังก์หลักในขณะที่ฉินอวี้โม่และบรรดาสหายนั่งเรียงรายทางด้านขวา ส่วนทางซ้ายคือที่นั่งสำหรับบรรดาผู้อาวุโสของนิกายและด้านหลังของพวกเขาคือศิษย์ทั้งหมดของนิกาย
เดิมทีนิกายกระบี่สายฟ้ามีศิษย์เพียงไม่มากนัก ทว่าหลังจากที่ศิษย์ส่วนใหญ่ของนิกายหมื่นบุปผาเดินทางมาเข้าร่วมกับพวกเขา จำนวนศิษย์รวมทั้งหมดของนิกายกระบี่สายฟ้าในปัจจุบันนี้ก็เป็นจำนวนที่มากพอจะติดสามอันดับแรกของสามสำนักและเก้านิกายได้
ทุกคนมานั่งรวมตัวพูดคุยและหัวเราะกันอย่างมีความสุขโดยที่บรรยากาศดูอบอุ่นอย่างยิ่ง
“ฮ่า ๆ ๆ ปีนี้เป็นปีที่นิกายกระบี่สายฟ้าของเราคึกคักที่สุดเท่าที่เคยมีมา”
เหลยเจี้ยนเชิงยกแก้วสุราขึ้นสูงเป็นสัญญาณให้กับทุกคนและกล่าวพร้อมรอยยิ้มกว้าง
นิกายกระบี่สายฟ้าในปัจจุบันนี้มีชีวิตชีวาและคึกคักกว่าปีก่อน ๆ ที่ผ่านมามาก ด้วยการเข้าร่วมของฮวาเยว่และคณะศิษย์จากนิกายหมื่นบุปผา นิกายกระบี่สายฟ้าจึงแตกต่างไปจากเดิมที่มีศิษย์เป็นสตรีเพียงไม่กี่คน
“ขอบคุณนิกายกระบี่สายฟ้าที่ให้การต้อนรับและดูแลพวกเราเป็นอย่างดี”
ฮวาเยว่ยกแก้วสุราและกล่าวออกไปเช่นกัน แม้ในตอนแรกพวกนางจำใจต้องเข้าร่วมกับนิกายกระบี่สายฟ้าเพราะเป็นเพียงทางเลือกสุดท้ายเท่านั้น ทว่าความจริงใจและความเป็นมิตรของทุกคนในนิกายแห่งนี้ทำให้ฮวาเยว่รู้สึกซาบซึ้งใจอย่างที่สุด
ในปัจจุบันนี้ บรรดาศิษย์ที่นางพามาจากนิกายหมื่นบุปผาได้สามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับศิษย์เดิมของนิกายกระบี่สายฟ้าแล้วและทุกคนมีความสัมพันธ์ที่ปรองดองกันอย่างดี
“ผู้อาวุโสฮวาสุภาพเกินไปแล้ว ถึงอย่างไรพวกเราก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องกล่าวขอบคุณอะไรหรอก”
กริ๊ง~
ทุกคนยกแก้วชนกับฮวาเยว่และหัวเราะด้วยกันอย่างสบายใจ
อันที่จริง พวกเขาต่างหากที่ต้องขอบคุณฮวาเยว่ หากมิใช่เพราะนางพาศิษย์สตรีมากมายมาเข้าร่วมกับนิกายกระบี่สายฟ้า เกรงว่าบรรดาศิษย์เดิมของนิกายที่มีอายุไม่น้อยแล้วคงต้องอยู่ลำพังโดดเดี่ยวไปตลอดชีวิต
หลังจากชนแก้วดื่มกันสามรอบ ม้วนกระดาษฉบับหนึ่งก็ปรากฏในมือของเหลยเจี้ยนเชิง
“ทุกคน ในขณะที่เราเฉลิมฉลองวันขึ้นปีใหม่นี้ เราก็ต้องหารือบางสิ่งบางอย่างเช่นกัน เมื่อหลายวันก่อน ข้าได้รับข่าวจากจ้าวสำนักเมฆาครามว่าการแข่งขันของสามสำนักและเก้านิกายจะจัดขึ้นตามปกติ เพราะฉะนั้นข้าจึงอยากจะถามความเห็นจากทุกคนว่านิกายกระบี่สายฟ้าของเราควรจะเข้าร่วมการประชันฝีมือของสามสำนักและเก้านิกายในครานี้ตามปกติหรือไม่ ?”
เดิมทีเขาคิดว่าในเมื่อขุมกำลังจำนวนหนึ่งของสามสำนักและเก้านิกายยอมจำนนต่อจอมยุทธ์ปีศาจไปแล้ว การแข่งขันประชันฝีมือก็ควรจะถูกยกเลิกไปโดยปริยาย ไม่คิดเลยว่าสำนักเมฆาครามจะแจ้งข่าวยืนยันว่าการแข่งขันประชันฝีมือของสามสำนักและเก้านิกายจะยังจัดขึ้นตามปกติซึ่งทำให้เหลยเจี้ยนเชิงแปลกใจไม่น้อย
สถานการณ์ในปัจจุบันไม่เหมาะสำหรับการจัดงานประชันฝีมือครั้งใหญ่แม้แต่น้อย ทว่าจู่ ๆ สำนักเมฆาครามก็ส่งข่าวเช่นนี้มา ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าพวกเขามีจุดประสงค์อย่างไร
“ในเมื่อทางนั้นส่งข่าวมาเช่นนี้ เราก็จะเข้าร่วมอย่างแน่นอน จ้าวสำนักเมฆาครามมีแผนการเตรียมพร้อมไว้เสมอ การที่เขาส่งสาส์นมาเชิญเราจะต้องมีเหตุผลเป็นแน่”
ฮวาเยว่กล่าวแสดงความเห็นเป็นคนแรก จ้าวสำนักเมฆาครามมิใช่คนที่จะลงมือทำสิ่งใดอย่างไม่มีเหตุผล ครานี้เขาส่งข่าวยืนยันว่าจะจัดการแข่งขันประชันฝีมือของสามสำนักและเก้านิกายตามปกติ คาดว่าจะต้องมีเรื่องเบื้องหลังบางอย่างที่พวกนางยังไม่ทราบอย่างแน่นอน
“ในเมื่อท่านลุงฟู่ส่งข่าวมา เราก็ไปที่นั่นกันเถอะเจ้าค่ะ ถึงอย่างไรอีกไม่ถึงครึ่งปีก็จะถึงการแข่งขันของสามสำนักและเก้านิกายแล้ว”
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ กล่าวแสดงความคิดเห็นออกไปเช่นกันด้วยเชื่อว่าสำนักเมฆาครามควรจะตัดสินใจเช่นนี้หลังจากพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว บางทีอาจเกิดเรื่องบางอย่างที่ส่งผลให้จ้าวสำนักเมฆาครามตัดสินใจเช่นนี้และจัดการแข่งขันประชันฝีมือตามปกติ
“เอาล่ะ การแข่งขันของสามสำนักและเก้านิกายมิใช่งานเล็ก ๆ เลย การแข่งขันครั้งใหญ่แต่ละครั้งจะใช้เวลาอย่างน้อยสามเดือน หากพิจารณาจากมุมมองนี้ เกรงว่าหลังจากจบการแข่งขันเพียงไม่นาน มันก็จะเป็นเวลาเริ่มต้นของสงครามชี้ชะตากับจอมยุทธ์ปีศาจ…”
เหลยเจี้ยนเชิงกล่าวด้วยความสงสัย หรือการแข่งขันประชันฝีมือในครานี้จะมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับจอมยุทธ์ปีศาจ ?
“เราไม่เกรงกลัวสิ่งใดทั้งสิ้น ! ในเมื่อเป็นข่าวจากสำนักเมฆาคราม เราก็ไปกันเถอะ ต่อให้จอมยุทธ์ปีศาจคิดจะทำสิ่งใด เราก็ไม่เกรงกลัว !”
ศิษย์ของนิกายกระบี่สายฟ้าทุกคนกล่าวอย่างพร้อมเพรียงและแสดงจุดยืนที่ชัดเจน
“ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงตามนั้น หลังจากจบงานฉลองขึ้นปีใหม่ ทุกคนจะต้องฝึกวิชาระยะหนึ่งและเราจะเดินทางไปที่สำนักเมฆาครามเป็นการล่วงหน้าประมาณสิบห้าวัน”
ครานี้การแข่งขันประชันฝีมือของสามสำนักและเก้านิกายจะจัดขึ้นที่อาณาเขตของสำนักเมฆาครามโดยผู้เข้าร่วมจากแต่ละขุมกำลังจะต้องไปรวมตัวกันที่นั่นเพื่อประชันฝีมือ สิ่งสำคัญคือมันเป็นงานใหญ่ของดินแดนมหาเทพที่จะเป็นการจัดอันดับความแข็งแกร่งของสามสำนักและเก้านิกายใหม่
“อวี้โม่ โม่ฉือ ข่าวที่สหายฟู่ส่งมาก็ระบุให้พวกเจ้าไปที่นั่นล่วงหน้าหนึ่งเดือนเช่นกัน”
เขากล่าวกับฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ ข้อมูลนี้เป็นสิ่งที่จ้าวสำนักเมฆาครามระบุไว้อย่างเฉพาะเจาะจง
“เจ้าค่ะ พวกเราเข้าใจแล้ว”
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือพยักศีรษะตอบรับในทันที พวกนางเองก็ต้องการเดินทางไปที่นั่นล่วงหน้าเพื่อสืบข้อมูลบางอย่างเช่นกัน
การแข่งขันของสามสำนักและเก้านิกายจะถูกจัดขึ้นตามปกติและมันถือว่าน่าแปลกอย่างมากหากเทียบกับสถานการณ์ของดินแดนในปัจจุบัน ยิ่งไปกว่านั้น จ้าวสำนักเมฆาครามกำชับให้พวกนางไปที่นั่นเป็นการล่วงหน้า คาดว่าจะต้องมีเรื่องบางอย่างที่ต้องการความช่วยเหลือจากพวกนางอย่างแน่นอน
“เอาล่ะ เมื่อถึงเวลานั้น ข้าพาคนของเราไปจำนวนหนึ่งเช่นกัน แล้วเราทุกคนจะได้พบกันอีกครั้งก่อนที่การประชันฝีมือจะเริ่มต้นขึ้น”
หลังจากหารือและเตรียมการทุกอย่างจนพร้อม ทุกคนก็แยกย้ายกันกลับไปพักผ่อน ทว่าหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่ก็ตรงเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวทันที
“ไม่อาจทราบได้เลยว่าเมื่อใดเราจะได้เลิกสนใจความวุ่นวายทั้งหมดนี้และใช้เวลาฉลองปีใหม่กับครอบครัวและมิตรสหายของเราอย่างสบายใจ”
ฉินอวี้โม่กล่าวพลางถอนหายใจยาวด้วยความเหนื่อยล้ากับสิ่งที่ต้องเผชิญ
นางลืมเลือนไปแล้วว่าเวลาล่วงเลยมากี่ปีนับตั้งแต่มาที่นี่ ทว่านางจดจำได้ดีว่าไม่เคยมีการเฉลิมฉลองปีใหม่กับครอบครัวอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาเสียที
“อีกไม่นานหรอก…”
หานโม่ฉือดึงร่างบางเข้าหาอ้อมแขนอบอุ่นทว่าแววตาของเขาเต็มไปด้วยความกังวล