เมื่อฉินมู่เดินออกมาจากโถงแห่งกษัตริย์มนุษย์ ท้องฟ้าก็มืดแล้ว ดวงดาวเหนือหัวเขากะพริบวูบวาบ และเขาก็ระบายลมหายใจที่อัดอั้นเอาไว้ เขาไม่ได้จากไปในทันที เขากลับไปหาก้อนหินใหญ่และนั่งลงไปบนนั้น
เขาจมลงไปในความเหม่อลอย แม้ว่าเขาจะได้ระบายโทสะด้วยการอัดกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกจนน่วมไปแล้ว แต่ก็ยังคงมีบางอย่างที่เคี้ยวแทะหัวใจของเขาอยู่!
บางทีหากว่าข้าไปกระทืบเขาอีกครั้ง สิ่งที่เคี้ยวแทะหัวใจข้าคงคลี่คลายออกไปได้…แม้แต่วงโคจรของดวงดาวบนท้องฟ้าจอมปลอมพวกนี้ก็ยังปัดเป๋ไปเล็กน้อย เทพเจ้าที่ควบคุมเทหวัตถุบนฟากฟ้าพวกนี้ยิ่งมีแต่จะหย่อนหยานขึ้นไปทุกทีๆ!
เขาจ้องไปด้วยดวงตาเบิกกว้าง เขามองไปที่เทหวัตถุอันสับสนรวนเร และตอนนี้ท้องฟ้าทิศตะวันออกก็สว่างขึ้นมาช้าๆ สักครู่หนึ่ง ดวงดาวทั้งหลายบนท้องฟ้าก็กระจัดกระจายหายไปราวกับฝูงม้าที่วิ่งกระเจิดกระเจิง เขาคิดในใจ เทพครองดาวตะวันทำหน้าที่ควบคุมดวงตะวันในบรรดาเทหวัตถุทั้งหลายบนฟากฟ้า แต่ตอนนี้เขาถูกท่านปู่คนแล่เนื้อแห่งหมู่บ้านของพวกเราสังหารไปแล้ว ไม่มีใครหลงเหลืออยู่คอยควบคุมดวงอาทิตย์บนท้องฟ้า เทพเจ้าตนอื่นๆ คงจะหวาดผวาและเตลิดไป
ดวงดาวบนท้องฟ้าสับสนรวนเรอยู่พักหนึ่ง เมื่อดวงตะวันขึ้นในทิศตะวันออก แสงอาทิตย์ก็ปกคลุมเทหวัตถุอันปั่นป่วนเหล่านั้น ดังนั้นมันจึงไม่ได้ดูสับสนรวนเรอีกต่อไป
ฉินมู่นั่งอยู่บนหินอย่างเงียบๆ พลางยิ้มหยันไปยังดวงดาวทั้งหลายที่เพิ่งถูกปิดซ่อน เมื่อดวงอาทิตย์ลอยขึ้นมาจากขอบฟ้า เส้นทางของมันก็ปัดเป๋ไปเล็กน้อย ทำให้มันดูเหมือนว่าวอันถูกชักลากขึ้นไป แกว่งซ้ายแกว่งขวาเป็นระยะ
สถานการณ์เช่นนี้ยิ่งชัดเจนขึ้นหลังมรณกรรมของเทพครองดาวตะวัน เทพเจ้าตนอื่นๆ ที่ควบคุมดวงตะวันในตอนนั้นไม่ค่อยคุ้นเคยกับวิธีควบคุมบังคับดวงตะวัน ทำให้ยิ่งมองเห็นจุดผิดพลาดได้มากขึ้น
เทพครองดาวตะวันไปยังสวรรค์ไท่หวงพร้อมกับฉีเจี่ยวอี๋เพื่อตามหาตัวฉินมู่ แต่ก็ต้องไปพบกับคนแล่เนื้อ คู่อาฆาตเก่าของเขา ผลลัพธ์ก็คือเขาถูกคนแล่เนื้อสังหาร หลังจากความตายของเขา ก็ไม่มีเทพเจ้าที่สามารถควบคุมดวงตะวันได้ในปรากฏการณ์บนฟากฟ้าเหนือสันตินิรันดร์ ดวงตะวันนี้น่าจะมีเทพเจ้าอื่นมารับช่วงต่อ แต่ในเมื่อพวกเขาไม่ได้รับการฝึกฝนมา ก็เกิดความผิดพลาดไปทุกหนทุกแห่ง
ปรากฏการณ์และเทหวัตถุบนฟากฟ้าของสันตินิรันดร์ ก่อขึ้นมาจากวงจรพยุหะ เช่นเดียวกับดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาว เทพเจ้าที่รับผิดชอบวงจรพยุหะเหล่านี้ย่อมมีหน้าที่ของใครของมัน การที่จู่ๆ พวกเขาจะต้องมารับช่วงแผนภาพดวงดาวของเทพครองดาวตะวัน ก็ย่อมทำให้พวกเขาว้าวุ่น และไม่อาจจัดการงานนี้ได้โดยทันที
ฉินมู่เห็นดวงอาทิตย์ค่อยๆ ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า ในที่สุดมันก็ตั้งมั่นดีขึ้น แต่ก็ยังคงแกว่งซ้ายขวาอยู่เล็กน้อย แสงตะวันที่สาดส่องไปทั่วทุกทิศทางได้จุดแสงสว่างให้แก่ชายแดนใต้และทะเลใต้ด้วยสีสันต่างๆ กันไป อันทั้งเปี่ยมเสน่ห์และตระการตา
ทันใดนั้น ประตูของโถงแห่งกษัตริย์มนุษย์ก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง และกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกก็เดินออกมาจากข้างใน
ฉินมู่หันไปมองเขา ก่อนที่จะหันหน้ากลับไปมองดวงอาทิตย์ขึ้น
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขามิได้จากไป ในทางกลับกัน เขาเดินไปที่โขดหินและนั่งลง
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกจ้องไปที่ดวงตะวันอยู่ครู่หนึ่งและร้องออกมา “ดวงตะวันนี้…อุบาทว์สายตาเหลือเกิน!”
เดิมทีฉินมู่อยากจะทำหน้าตายและไม่สนใจเขา แต่ก็อดไม่ได้ที่จะขำกับสิ่งที่ได้ยิน “ทนมันหน่อย เทพครองดาวตะวันที่ควบคุมพยุหะของดวงตะวันนี้เพิ่งถูกท่านปู่คนแล่เนื้อของข้าสังหารไป”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกกล่าว “ข้าเคยพบกับเทพครองดาวตะวันมาก่อน เมื่อปรากฏการณ์บนฟากฟ้าของสันตินิรันดร์ถูกปิดทับ ข้าก็เห็นพวกเขาคลี่ฉากภาพข้ามท้องฟ้า และแขวนห้อยดวงตะวัน ดวงจันทร์ และดวงดาว เขาเองก็ลำบากไม่ใช่เล่น ต้องแสร้งทำให้เหมือนจริงอยู่ตั้งสองหมื่นปี”
เขามองไปที่ฉินมู่ น้ำเสียงอ่อยลง “ข้าขอโทษ…”
ฉินมู่ตะลึงไปเล็กน้อย และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ทำไมเจ้าต้องขอโทษข้า ข้าได้อัดเจ้าจนน่วม ดังนั้นข้าน่าจะเป็นคนที่ขอโทษเจ้ามากกว่า”
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกส่ายหน้า “เดิมทีข้าอยากจะเป็นอาจารย์เจ้าและสอนวิชาความสามารถและปฏิภาณความเข้าใจทั้งหมดของข้าให้แก่เจ้า แต่ข้าได้คิดเรื่องนี้จนทะลุปรุโปร่งแล้วหลังจากที่เจ้าออกมา ข้าได้ทำร้ายกษัตริย์มนุษย์มากมายให้มีชีวิตอันขมขื่นและเดียวดายแล้ว ข้าไม่อาจทำกับเจ้าเช่นเดียวกัน เจ้าควรจะได้เลือกหนทางของตนเอง ข้าผิดไปแล้วที่อยากจะให้เจ้าดำเนินตามรอยข้า”
ฉินมู่กัดริมฝีปาก ก่อนเม้มมันจนเป็นเส้นบางเฉียบ สักพักหนึ่ง เขาก็กางแขนออก และยืดหลัง “ข้าเกลียดเจ้าเป็นอย่างยิ่ง และอยากจะกระทืบเจ้าให้ตาย แต่ข้าทำได้แค่เอาชนะเจ้าในขั้นวรยุทธเดียวกัน และไม่อาจสังหารเจ้าได้ ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากทุบตีเจ้าในคราวนี้ ความเกลียดแค้นของข้าก็ไม่ได้เข้มข้นมากมายอีกต่อไป”
เขากล่าวอย่างชืดชาด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “บางที เจ้าอาจจะต้องการทดสอบข้า บางทีเจ้าอาจจะต้องการกระตุ้นกำลังใจข้า เพื่อให้ข้าพากเพียรมากขึ้นและก้าวล้ำกว่าเจ้าไปได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ข้าดูแคลนวิธีการของเจ้า”
บรรพชนแรกตะลึงไปเล็กน้อยและร้องออกมา “เจ้ามองเห็นทะลุอย่างนั้นหรือ”
“ข้าไม่ได้โง่”
ฉินมู่เพ่งสายตาไปยังดวงอาทิตย์ และกล่าวอย่างแผ่วเบา “แต่ทว่า หากข้าเป็นเจ้า ข้าจะไม่ใช้วิธีอันโง่เง่าและย่ำแย่แบบนั้นในการกระตุ้นกำลังใจผู้เยาว์ ข้ายิ่งจะไม่ทำลายความอุตสาหะของครอบครัวของข้า และยิ่งไม่ทำลายซากสังขารของครอบครัวของข้า แต่เจ้าทำทั้งหมดนั่น เจ้านั้นสมแล้วที่เป็นคนหนีทัพ ข้าดูแคลนนิสัยใจคอของเจ้า ดังนั้นข้าจึงเลือกที่จะไม่เรียนวิชาฝึกปรือและทักษะเทวะของเจ้า”
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกนิ่งไป ผ่านไปพักหนึ่ง เขาก็ถาม “ใครคือผู้คนที่สั่งสอนเจ้ามา พวกเขาสอนเจ้าได้ดีเหลือเกิน”
ฉินมู่ฟ่องฟูขึ้นมา และใบหน้าเขาก็เผยวี่แววแห่งความเคารพนับถือ “พวกเขาคือผู้คนที่ดีที่สุดในโลก ผู้คนที่เมตตามากที่สุดในโลก พวกเขาชาญฉลาด องอาจ และมีจิตใจกว้างขวาง! ในฐานะมนุษย์ พวกเขาเหนือล้ำกว่าเจ้าเป็นร้อยเป็นพันเท่า! เจ้ารู้จักผู้ใหญ่บ้านไหม เขาก็เป็นอดีตกษัตริย์มนุษย์เช่นกัน คนที่ถูกอาจารย์ปู่ฉีคังและบรรพจารย์ทั้งหลายรุมต่อยตีอยู่ทุกๆ วัน เขานั้นเป็นผู้เฒ่าอันดับหนึ่งในหมู่บ้านของข้า! ข้านับถือความรู้ของเขามากที่สุด หากไม่ใช่เพราะว่าเขาค้นพบว่าข้าครอบครองกายาจ้าวแดนดิน ป่านนี้ข้าก็คงยังต้อนวัวไปเลี้ยงอยู่ในแดนโบราณวินาศอยู่เลย ยังมีท่านยายซี สตรีที่สวยงามและใจดีที่สุดในหมู่บ้าน นางนั้นเป็นผู้ที่เก็บข้ามาและเลี้ยงดูข้า…”
เมื่อมาถึงเรื่องของหมู่บ้าน เขาก็อดไม่ได้ที่จะปล่อยให้ถ้อยคำหลั่งไหลออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อเขาพูดคุยถึงข้อดีทั้งหลายของผู้เฒ่าเหล่านั้น
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกรับฟังอย่างเงียบๆ เขาเพียงแค่ยิ้มและผงกหัวเมื่อฉินมู่พูดจบ “พวกเขาสอนเจ้าได้ดีจริงๆ เจ้าเองก็ยอดเยี่ยมมาก”
ฉินมู่ผงะไป และนิ่งอึ้ง เขากำลังฉงน ทำไมข้าถึงบอกเขาตั้งมากมายขนาดนี้ ข้าน่าจะเกลียดเขา
“เจ้ามาจากตระกูลฉิน และข้าเองก็มาจากตระกูลฉิน เจ้าน่าจะทำเหมือนกับข้าเป็นผู้ใหญ่จากตระกูลก็พอ”
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกเหมือนกับจะอ่านใจเขาได้ เขากล่าวต่อ “ตอนนี้เมื่อเจ้ากำลังพบเจอกับคนในครอบครัว เจ้าก็คงจะมีเรื่องราวมากมายที่อยากจะพูด เจ้าคงไม่ได้พบกับญาติร่วมตระกูลมานานแล้ว ใช่หรือไม่”
ฉินมู่ผงกหัว มองไปที่กษัตริย์มนุษย์ผู้นี้ เขาถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ “เจ้าชื่อว่าอะไร”
“ฉินอู่”
ฉินมู่นำเอาปูมบันทึกสาแหรกตระกูลแห่งตระกูลฉินออกมาและอ่านอย่างละเอียด เขาพบชื่อของฉินอู่และอึ้งกิมกี่กับสิ่งที่เขาเห็น เขานั้นเป็นบรรพบุรุษจากตั้งร้อยรุ่นก่อน
ในตอนนั้น ก็พลันมีแสงปรากฏในพื้นผิวทะเล และพวยพุ่งขึ้นไปดุจเมฆ ฟองใหญ่ๆ ผุดบุ๋งๆ ขึ้นมาจากใต้ทะเล
ฉินมู่ลุกขึ้นและขับเคลื่อนวิชาปลุกเนตรสวรรค์เก้าเพื่อมองตรงไปยังทะเลใต้ หัวใจเขาวนไปมาระหว่างความแตกตื่นและอัศจรรย์ใจอย่างไม่รู้จบ เมื่อเห็นแสงหลากสีสาดส่องขึ้นมาจากใต้ทะเล พวกมันเหมือนกับแสงล้ำค่าอันสาดส่องจากสมบัติวิเศษ
แต่ทว่า พื้นผิวทะเลนั้นค่อนข้างห่างไกลจากที่นี่ และสายตาของเขาก็ไม่อาจหยั่งไปถึงก้นทะเลได้ เขาไม่รู้ว่าอะไรที่กำลังเปล่งแสงล้ำค่านี้ออกมา
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกก็ลุกขึ้นยืนและมองไป “น้ำลึกเกินไป ข้ามองไม่เห็นก้นบึ้ง!”
ฉินมู่รีบเหาะเหินขึ้นไปบนอากาศ และพุ่งทะยานไปยังสถานที่ที่แสงล้ำค่านั้นสาดส่องออกมา กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกขมวดคิ้วเล็กน้อย “ทำไมเจ้าขี้สงสัยขนาดนั้น หากว่ามีคนมุ่งเป้ามาที่ตัวเจ้า และจงใจสร้างภาพปรากฏการณ์ผิดประหลาด เจ้าก็คงวิ่งรี่เข้าไปเหมือนกวางโรโง่เซ่อ!”
เขารีบเหาะไปพร้อมกับฉินมู่
พวกเขาเข้าไปใกล้กับปรากฏการณ์ผิดประหลาดนั้นมากขึ้นทุกที และแม้แต่บรรพชนแรกก็อดไม่ได้ที่จะแตกตื่น ฟองอากาศอันผุดขึ้นมายังพื้นผิวนั้นใหญ่มหึมาอย่างสุดขีด แต่ละฟองมีรัศมีหนึ่งร้อยลี้ ฟองอากาศหลายสิบและหลายร้อยฟองผุดบุ๋งๆ ขึ้นมาในเวลาเดียวกันทำให้ทั้งทะเลดูเหมือนจะเดือดพล่าน คลื่นมหึมาอันซัดถึงเวหาก็โถมพุ่งออกไปในทุกทิศทาง
เสียงครืนครันกัมปนาทดังออกมา และพวกเขาก็ตื่นตระหนกเกินจะปานเปรียบ!
ฉินมู่ขมวดคิ้วเล็กน้อยและมองไปยังทิศทางของสันตินิรันดร์ เขาพลันหันกายกลับ และวิ่งไล่ตามคลื่นเหล่านั้น
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกรีบตามเขาไปและถามด้วยความสงสัย “ทำไมเจ้าถึงหันกลับ”
“ภัยคลื่นยักษ์!”
ฉินมู่พุ่งไปยังชายฝั่งพลางกล่าวอย่างจริงจัง “นี่คือภัยคลื่นยักษ์! มันจะทำลายชายฝั่งเป็นสิบๆ ลี้! ที่นั่นมีผู้คนอาศัยอยู่!”
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกตระหนักขึ้นมา และพลันเหาะลงมาจากท้องฟ้า เขาหกหัวปักสู่พื้น ฝ่ามือของเขากดลงไปที่ผิวทะเลอย่างแผ่วเบา ร่างของเขาพลันกระเด้งกลับและมายืนอยู่ข้างๆ ฉินมู่ เขากล่าวอย่างเยือกเย็น “ตอนนี้ไม่มีอะไรต้องกังวลแล้ว ข้าเพิ่งหยุดภัยคลื่นยักษ์!”
ฉินมู่พลันชะงักเท้าและหันไปมองรอบๆ เขาพบว่าท้องทะเลสงบราบเรียบอีกครั้ง และคลื่นยักษ์อันสะท้านพิภพนั่นก็ถึงกับสงบเชื่องลงไปภายใต้พลานุภาพของวิชามุทราของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก!
“ไม่ธรรมดา!”
ฉินมู่ถอนหายใจด้วยความทึ่งชื่นชม ยกหัวแม่โป้งขึ้น “ไม่ธรรมดาจริงๆ! เดิมทีข้าคิดที่จะบินกลับไปที่ชายฝั่งเพื่อช่วยเหลือและอพยพผู้คน ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะเก่งกว่า ถึงกับสยบภัยคลื่นยักษ์ให้ราบเรียบไปเลยตรงๆ! ทักษะเทวะล้ำเลิศ!”
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกยิ้มเล็กน้อย “เจ้าอยากเรียนไหม ในด้านของวิชากระบี่ ข้าด้อยกว่าเจ้า แต่ในด้านวิชามุทรา ข้าเหนือกว่าเจ้าไปไกล ตราบเท่าที่เจ้ายินดี…”
“ไม่สนใจ!”
ฉินมุู่หันกลับและจากไปเพื่อมุ่งยังจุดที่แสงล้ำค่าสาดส่องออกมา ที่นั่นไม่มีฟองน้ำมหึมาน่าสะพรึงกลัวอีกต่อไป และมีก็แสงหลากสีที่ส่องประกายออกมาอย่างต่อเนื่อง
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกส่ายหัวของเขา และรีบตามติดเขาไปทันทีพลางคิดในใจ ข้ามีวิธีที่จะทำให้เจ้าอยากเรียน
ฉินมู่สูดลมหายใจลึกและพลันดำดิ่งลงไปในทะเล เขาดำลึกลงไปในก้นบึ้งของมหาสมุทร
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกตามมาทัน เมื่อฉินมู่มองไปที่เขา เขาก็เห็นปราณชีวิตรอบๆ กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกหมุนวนและแปรเปลี่ยนเป็นลูกกลมขนาดใหญ่ เขาเพียงแค่เดินในน้ำทะเลราวกับว่ามันคือพื้นราบ
บรรพชนแรกเห็นเขามองมา ก็คลี่ยิ้ม “หากว่าเจ้าต้องการจะเรียน…”
“ฮึ่ม”
ฉินมู่ขับเคลื่อนวิชาเสกสรร และแปลงร่างเป็นปลาตัวใหญ่เพื่อว่ายน้ำจากไป
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกไม่รู้จะหัวเราะหรือร่ำไห้ขณะที่ตามหลังเขาไป ฉินมู่หยุดว่ายและกะพริบตาของเขาเพื่อมองไปข้างหน้า กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกก็หยุดลงเช่นกันและเห็นแผ่นปฐพีอันเก่าแก่และอลังการอยู่ตรงหน้าพวกเขา มีวิหารโบราณมากมายที่เปล่งแสงเทวะอันเข้มข้น และยังมีรูปสลักเทพเจ้าอันยิ่งยงยืนตระหง่านอยู่ในน้ำทะเล โคลนชั้นนอกบนเทวรูปเหล่านั้นกำลังค่อยๆ หลุดร่วงออกไป
หัวใจของฉินมู่ตะลึงลาน เขาค่อยๆ ว่ายเข้าไปใกล้แผ่นดินโบราณนี้ เขาพลันจดจำได้ถึงแผนภาพหมู่ดาวที่เขาได้เห็นในวิหารบนดาวผิดประหลาดเหนือสวรรค์หลัวฝู “สถานที่ที่ถูกกาตำแหน่งเอาไว้บนแผนภาพหมู่ดาวเมื่อสามหมื่นห้าพันปีก่อนอยู่ตรงนี้! นี่คือ…ดินแดนบรรพชนแห่งยุคสมัยแสงฉาน! นี่คือสถานที่ที่เทพชื่อซีต้องการเสาะหา!”
ขณะที่เขาว่ายเข้าไปในสิ่งปลูกสร้างอันยิ่งใหญ่อลังการ เขาก็พบว่าเขามิใช่เพียงคนเดียวที่อยู่ที่นี่ มันยังมีสิ่งมีชีวิตประหลาดมากมาย และพวกเขาส่วนใหญ่คือปลายักษ์อันมีสามหัวและหกครีบ พวกมันแหวกว่ายไปมาบนแผ่นปฐพีนี้ และดูเหมือนกำลังจะลาดตระเวนอยู่
ปลายักษ์ตัวใหญ่สีเขียวขาวว่ายมาเหนือศีรษะของพวกเขา มันส่งเสียงร้องต่ำที่ก้องสะท้อนไปในอก!
“ปลายักษ์พวกนี้…”
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกสีหน้าแปรเปลี่ยน และรีบจับหางปลาของฉินมู่เอาไว้ทันที ดึงเขาเข้าไปในฟองน้ำปราณชีวิต เขากล่าวอย่างเคร่งขรึม “ปลายักษ์พวกนี้ประหลาดเกินไป! เจ้าอย่าออกไปเคลื่อนไหวตามลำพัง!”
ฉินมู่แปลงกลับร่างเดิม และถามอย่างใคร่รู้ “พวกมันมีอะไรแปลกประหลาดหรือ”
“เจ้ารู้ใช่ไหมว่า กายเนื้อของเทพเจ้าทั้งหลายแห่งยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง ได้แปรเปลี่ยนเป็นรูปสลักหิน และจิตวิญญาณดั้งเดิมของพวกเขาก็เข้าไปซ่อนในยมโลก”
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกกวาดสายตาไปยังเหล่าปลาที่มีสามหัวหกครีบเหล่านี้ “เทพเจ้าแห่งยุคสมัยแสงฉาน ก็คงจะใช้วิธีอันแตกต่างออกไป พวกเขาแปรเปลี่ยนตนเองให้เป็นสัตว์พิสดารเพื่อซ่อนตัวจากการไล่ล่าของสภาสวรรค์!”