ตอนที่ 596 จงไปขุดเหมืองเสีย
ดาบไม้มิได้คมเท่าใดนัก แต่ต้องดูด้วยว่าอยู่ในมือของผู้ใด
ดาบไม้ของซูเจวี๋ยแหลมคมอย่างไร้ที่ติ !
มันเฉือนเข้าไปตรงคอของหยูเล่อราวกับหั่นเต้าหู้อย่างไรอย่างนั้น ตัดกระดูกคอของเขาเสียงดัง กรึบ !
เสียงนี้ดังเข้าไปในหูของหยูเล่อ ได้ยินเสียงกระดูกคอถูกดาบไม้ตัดหลุดออกจากบ่า ! ดังนั้นสีหน้าสุดท้ายของหยูเล่อก็คือดวงตาแสนประหลาดใจและปูดโปนออกมาเสียจนใบหน้าผิดรูป
ซูเจวี๋ยถือศีรษะของหยูเล่อเอาไว้ในมือแล้วตะโกนออกมา “วางอาวุธลง ! ผู้ใดอยากมีชีวิตอยู่ต่อให้มาทางซ้าย ผู้ใดมิต้องการมีชีวิตอยู่ต่อให้ไปทางขวา ผู้ใดตัดสินใจมิได้ให้ยืนตรงกลาง ! ”
เมื่อคำสั่งของซูเจวี๋ยถูกกล่าวออกไป ศัตรูก็พากันทำหน้างุนงง ผู้ใดบ้างที่ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ !
บัดนี้แม้แต่องค์ชายก็สิ้นพระชนม์แล้ว จะยังต่อสู้เพื่ออันใดอีก !
ดังนั้น ฝ่ายศัตรูทุกคนจึงพากันวางอาวุธลงแล้วเคลื่อนย้ายไปทางซ้ายราวกับสายธารไหลเชี่ยว
ซูม่อยืนตกตะลึงอยู่กับที่ ศิษย์พี่ใหญ่ใช้กลยุทธ์นี้ได้ด้วยหรือนี่ ?
อืม… มิเลว ก้าวหน้าขึ้นมามากเสียทีเดียว
ว่าแต่จะทำเยี่ยงไรต่อไป ?
สายตาของเขาทอดมองออกไปด้านหน้า มีทหารอยู่ราว 80,000 นายที่ยกธงขาว แล้วจะจัดการกับพวกเขาเยี่ยงไรดี ?
“เจ้า ก้าวออกมา ! ”
ซูม่อใช้ดาบชี้ไปยังทหารที่ดูเหมือนแม่ทัพ ผู้ที่ถูกเรียกเดินออกมาอย่างหวาดกลัว
“เจ้ามีนามว่าเยี่ยงไร ? ”
“ข้าน้อยชื่อเฝิงอู่”
“ข้าให้เวลาเจ้า 1 ก้านธูป จงจัดระเบียบพวกเขาให้เรียบร้อย ! ”
“ขอรับ ! ”
เฝิงอู่เดินหันหลังกลับไปยังกลุ่มจอมยุทธ์ชุดดำที่บัดนี้กำลังยุ่งเหยิงและได้ตะโกนออกมาว่า “เชียนฟูจ่างทุกคนก้าวออกมา ! ”
“จงจัดระเบียบลูกน้องของตน อย่าให้กระจัดกระจายเช่นนี้ ข้าให้เวลา 1 ก้านธูป จากนั้นรอฟังคำสั่งจากท่านแม่ทัพใหญ่ ! ”
……
การต่อสู้ครานี้ กองกำลังดาบเทวะสูญเสียกำลังพลไป 133 นาย บาดเจ็บ 26 นาย ทำให้ซูม่อปวดใจมากยิ่งนัก
จากด่านชีผานมายังที่นี่ ทหารดาบเทวะที่สามารถทำการต่อสู้ได้เหลือเพียงแค่สองพันหกร้อยกว่านายเท่านั้น ให้ตายเถอะ ! ข้าจะไปหาชาวยุทธที่มีความสามารถเช่นนี้ได้ที่ใดอีกกัน ?
ป่ากระบี่ ? ภูเขาดาบ ?
ส่วนนิกายฝูคงจะมิไหว ประการแรก เพราะอยู่ในแคว้นฝาน ประการที่สอง พวกพระสงฆ์องค์เจ้าช่างวุ่นวาย
มองดูแล้ว หลังจากจบการเดินทางไปยังซีหรง ข้าจะต้องพากองทัพไปยังป่ากระบี่และภูเขาดาบเพื่อหาคนเพิ่มสักหน่อยเสียแล้ว
“ศิษย์พี่ใหญ่ ทหารมากมายถึงเพียงนี้จะจัดการเยี่ยงไร ? ”
ซูเจวี๋ยเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ในมือของเขายังถือศีรษะของหยูเล่อเอาไว้อยู่ “หรือว่า…จะปล่อยไปดี ? ”
“ปล่อยไปมิได้ ! ไอ้บัดซบพวกนี้ฆ่าทหารเราไปกว่าร้อยนาย จะปล่อยพวกมันไปง่าย ๆ ได้เยี่ยงไร”
“หากศิษย์น้องเล็กอยู่ที่นี่ด้วยก็คงจะดี เรื่องเช่นนี้โดยปกติแล้วเขาจะเป็นคนจัดการ”
“เฮ้อ… ! ” ซูม่อถอนหายใจออกมาเสียงดัง เขาครุ่นคิดอยู่ว่าหากศิษย์น้องเล็กอยู่ที่นี่ เขาจะจัดการกับเรื่องนี้เยี่ยงไร ?
ศิษย์น้องเล็กโหดเหี้ยมถึงเพียงนั้น คงมิปล่อยทหารเหล่านี้ไปเป็นแน่ ศิษย์น้องเล็กชื่นชอบเงินทอง…เขาจะต้องนำคนมากมายเหล่านี้ไปใช้แรงงานเป็นแน่ใช่หรือไม่ ?
จากที่แห่งนี้ไปยังซีหรงระยะทางช่างยาวไกลยิ่ง ก่อนที่ศิษย์น้องเล็กจะจากไป เขากล่าวว่าการเดินทางเข้าไปในเมืองซีหรง ศัตรูที่น่ากลัวที่แท้จริงคือพวกถู่ซือต่างหาก
ที่ซีหรงมีเขตน้อยใหญ่อยู่ถึง 38 เขต ถู่ซือที่ใหญ่ที่สุดคือเผิงซื่อ ซึ่งมีทหารส่วนตัวถึง 30,000 นายคอยคุ้มกันอยู่ ณ จวนซีหรง
ส่วนถู่ซือคนอื่นก็มีทหารอย่างน้อย 1,000 นายขึ้นไป
ลัทธิจันทราและถู่ซือเหล่านั้นมีความเกี่ยวพันกัน ต่อให้เป็นเผิงซื่อที่ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้ง ก็เกรงว่าจะมีความเกี่ยวข้องกับลัทธิจันทราอย่างแน่นอน
การที่ทหารดาบเทวะเดินทางเข้าไปในซีหรงคงมิอาจปิดบังพวกลัทธิจันทราได้ พวกเขามีหูมีตาทั่วทั้งเมือง
จากที่ศิษย์น้องเล็กวิเคราะห์ หากเผิงซื่อกับถู่ซือไม่เคลื่อนไหว อย่างมากถู่ซือคนอื่น ๆ ก็ทำได้เพียงเข้ามาขัดขาเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งคนเหล่านี้สามารถจัดการสังหารได้ทันที
การต่อสู้ที่สำคัญในครานี้ มีวัตถุประสงค์อยู่ที่ศูนย์กลางของลัทธิจันทรา รวมถึงเหมืองทองใต้ภูเขาจั๋วกวง ส่วนเรื่องสังหารถู่ซือพวกนี้ คงต้องให้เฟ่ยอันเป็นผู้จัดการ
เหมืองทอง…ที่เหมืองทองต้องการคน !
ใช่แล้ว ! ให้คนพวกนี้ไปขุดเหมืองทองดีกว่า !
ศิษย์น้องเล็กกล่าวว่าจะต้องคุ้มกันเหมืองทองแห่งนั้นเอาไว้ เนื่องจากเกรงว่าพวกถู่ซือจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหมืองทองนั้นด้วย
หากกองกำลังดาบเทวะยึดเหมืองทองเอาไว้ก็จะเป็นการขัดผลประโยชน์ด้านทรัพย์สินของถู่ซือเหล่านั้น ในฐานะถู่ซือแห่งซีหรงจะปล่อยให้กองกำลังดาบเทวะได้ผลประโยชน์ไปอย่างง่ายได้เยี่ยงไร
ดังนั้น…ซูม่อจึงตัดสินใจว่าจะให้เจ้าพวกนี้ที่มีความสามารถในการหยิบจับมีดดาบอยู่แล้ว หันไปจับพลั่วขุดเหมืองก็คงจะมิเลว ช่างยอดเยี่ยมเสียจริง ข้านี่มันอัจฉริยะโดยแท้ !
เขายกยิ้มกว้างอย่างภาคภูมิใจ จนซูเจวี๋ยผงะ แล้วอดที่จะเอ่ยถามออกมามิได้ว่า “มีความคิดดี ๆ เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“อืม ! ”
“จะจัดการเยี่ยงไร ? ”
“ให้พวกเขาไปขุดเหมืองที่ภูเขาจั๋วกวง ! ”
“…อืม ! มิเลวเลยทีเดียว แล้วศีรษะนี่เล่า จะทำเยี่ยงไร ? ”
“เอามาให้ข้า ใช้ขี้เถ้าจัดการเสียหน่อยแล้วส่งไปให้ศิษย์น้องเล็ก คาดว่าเขาคงจะใช้ประโยชน์จากมันได้”
ซูเจวี๋ยยื่นศีรษะนั้นออกไปแล้วขยับหมวกให้ตรง เขาไม่ค่อยเข้าใจว่าศีรษะนี้นอกจากนำมาเตะเล่นเป็นลูกตะกร้อแล้วยังมีประโยชน์อันใดได้อีกกัน
เมื่อเฝิงอู่จัดระเบียบทหารเรียบร้อยแล้ว ซูม่อก็ได้เดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้ากลุ่มจอมยุทธ์ชุดดำจำนวนมากมายราวกับมดเหล่านี้
เขาส่งลมปราณไปยังจุดตันเถียน แล้วเอ่ยออกมาด้วยเสียงก้องกังวานว่า
“รู้หรือไม่ว่าพวกเราคือผู้ใด ? ”
“พวกเราคือกองกำลังดาบเทวะกองพลที่สามของฟู่เสี่ยวกวน ฟู่เจวี๋ยเย ! ”
จอมยุทธชุดดำเหล่านั้นพากันฮือฮาขึ้นมาทันที เป็นทหารดาบเทวะจริง ๆ ด้วย มิน่าเล่าพวกเขาถึงเก่งกาจยิ่ง ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วยามก็สามารถบุกเข้าไปในกระโจมท่านแม่ทัพและสามารถปลิดชีพท่านแม่ทัพใหญ่ได้ อีกทั้งยังใช้ดาบไม้ฟันศีรษะองค์ชายจนหลุดออกจากบ่า !
“เงียบ… ! รู้หรือไม่ว่าพวกเรามาที่นี่ได้เยี่ยงไร ? ”
คนกลุ่มนั้นเงียบสงบลงทันใด เนื่องจากนี่คือคำถามที่พวกเขานึกคำตอบไม่ออกอย่างแท้จริง
“พวกเรามาจากภูเขาเทียนเชวีย ลอยตัวข้ามซอกเขาร่วนหยุนมา ! ”
คนกลุ่มนั้นยิ่งพากันแตกตื่นฮือฮาขึ้นมาเสียยิ่งกว่าตอนแรก
“ไอหยา…”
“จริงเยี่ยงนั้นหรือ ซอกเขาร่วนหยุนคับแคบถึงเพียงนั้น จะลอยตัวข้ามมาได้เยี่ยงไร ? ”
“พวกเขาคือกองกำลังดาบเทวะของฟู่เจวี๋ยเยเชียวนะ ได้ยินมาว่าสามารถบินและมุดดินได้ พวกเขาทำได้ทุกอย่าง ! ”
“อีกอย่างหนึ่ง พวกเขามิได้บุกเข้ามาจากทางเข้าหุบเขา เห็นได้ชัดแล้วว่ามาจากซอกเขาร่วนหยุนเป็นแน่”
“ช่างเก่งกาจยิ่ง โชคดีของพวกเราที่องค์ชายสิ้นพระชนม์แล้ว”
ซูม่อปล่อยให้จอมยุทธ์ชุดดำเหล่านี้สนทนากันอยู่พักหนึ่ง เขาจะต้องใช้อำนาจความเก่งกาจของกองกำลังดาบเทวะมาจัดการทหารเหล่านี้ให้อยู่หมัด เนื่องจากพวกเขามีจำนวนมากถึง 80,000 นาย !
หากพวกเขาเกิดเปลี่ยนใจแล้วคิดต่อต้านขึ้นมาระหว่างทาง คงทำให้กองกำลังดาบเทวะกองพลที่สามต้องเหนื่อยหอบพอควร
เป็นไปตามนั้น ในใจของเหล่าจอมยุทธ์ชุดดำรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา พวกเขามองไปยังทหารดาบเทวะที่ยืนอยู่ด้านหลังซูม่อ รู้สึกว่านั่นคือทหารของฮ่องเต้อย่างแท้จริง มิใช่ศัตรูที่พวกเขาจะต่อกรได้
“พวกเจ้าจงตั้งใจฟังให้ดี ข้ามีนามว่าซูม่อ เป็นผู้บัญชาการกองกำลังดาบเทวะกองพลที่สาม ฉายาทางยุทธภพคือ…”
คืออันใดดี ?
ต้องตั้งนามให้ดุร้ายเสียหน่อย
“อืม ! ยุทธภพเรียกข้าว่า ยมราชล่าวิญญาณ เป็นผู้มีความสามารถขั้นหนึ่ง ! ข้าเพียงคนเดียวก็สามารถปลิดชีพพวกเจ้าได้ ! และผู้ที่อยู่ข้างกายของข้าคือ…”
ซูม่อดันศิษย์พี่ใหญ่ขึ้นมา “เขาคือศิษย์พี่ใหญ่แห่งสำนักเต๋ามีนามว่าซูเจวี๋ย เป็นผู้มีความสามารถระดับปรมาจารย์ ฉายาทางยุทธภพคือ…สะท้านวิญญาณ เขาเพียงคนเดียวสามารถสังหารพวกเจ้าได้ 3 กองทัพ ! ”
“ดังนั้น ข้าจึงมิต้องการเห็นพวกเจ้าทำการต่อต้าน ! หากมีคนใดคนหนึ่งลุกขึ้นมาต่อต้านแล้วล่ะก็ ข้าจะสังหารพวกเจ้า 100 คน ! หากมีคนต่อต้าน 10 คน ข้าจะสังหารพวกเจ้า 1,000 คน ! ”
“บัดนี้ จงหยิบอาวุธของเจ้าขึ้นมา แล้วนำเสบียงทั้งหมดแบกไปด้วย หลังจากนี้อีกครึ่งชั่วยามจงติดตามข้าไปยังซีหรงเพื่อปราบปรามกองโจร ! ”
พวกเขาเหล่านั้นได้แต่ยืนตะลึงงัน…
“เหตุใด ? มิยินยอมเยี่ยงนั้นหรือ ? ข้าจะนับถึงสาม หากผู้ใดมิยินยอม สังหารมิเว้น ! ”
ทันใดนั้นเองหน่วยสอดแนม 10 คนที่เคยถูกซูเจวี๋ยปล่อยไป ก็ได้วิ่งขึ้นมาด้านหน้าอย่างรวดเร็ว
“ท่านเซียน พวกเราพบท่านแล้ว… ! ”
พวกเขาเข้ามายืนอยู่เบื้องหน้าซูเจวี๋ยแล้วเหลียวซ้ายแลขวา จากนั้นก็สูดลมหายใจเข้า นี่มันคืออันใดกัน…
“พวกข้ายินยอมติดตามกองกำลังดาบเทวะ ! ”
“พี่น้อง พวกเราคงกลับไปยังเหมิงซานมิได้แล้ว การติดตามกองกำลังดาบเทวะจึงเป็นทางออกเดียวที่มี ! ”
“จงหยิบอาวุธของตนขึ้นมา แล้วติดตามกองกำลังดาบเทวะไป ! ”
เสียงโห่ร้องก้องกังวานไปทั่วทั้งหุบเขา หน่วยสอดแนมทั้งสิบคนทำหน้างุนงง นี่พวกเรา…นำตนเองเข้าไปติดกับดักเยี่ยงนั้นหรือ ?