ตอนที่ 606 เงินบำเหน็จ
ฟู่เสี่ยวกวนหารือเรื่องราวมากมายกับเหล่าชายหนุ่มที่กรมการค้า
ส่วนสำคัญของเรื่องที่หารือคือการวาดรูปแคว้นที่สมบูรณ์แบบขึ้นมา และเหล่าชายหนุ่มก็กำลังอยู่บนเส้นทางนั้น
ยามที่อยู่ในกรมการค้าได้ร่วมกินข้าวด้วยกัน 1 มื้อ ได้ดื่มชากับหลี่ฉาย และยังได้สอบถามถึงความคืบหน้าของกฎหมาย พบว่าพวกเขาสามารถจัดการได้อย่างราบรื่น จากนั้นก็ใช้เวลาทั้งยามเว่ยเขียนโครงร่างเกี่ยวกับการจัดการน้ำในแม่น้ำฮวงโหขึ้นมา จากนั้นก็ต้องไปที่เสมียนกลางอีกครา เพื่อมอบของสิ่งนี้ให้กับจงซูลิ่ง
หลังจากนั้นก็ออกจากวังหลวง พอขึ้นไปบนรถม้าเสร็จก็ได้บอกให้สวี่ซินเหยียนบังคับรถม้าตรงไปทางอารามซุ่ยเยว่
อารามซุ่ยเย่วแห่งนี้ หลังโดนซูม่อวางเพลิงก็ยังมิมีผู้ใดมาบูรณะใหม่
ไฟมิได้ไหม้ทั้งหมด อาจจะมีคนมาเห็นแล้วช่วยกันดับไฟ เพราะประตูหน้ายังเหลืออยู่ แม้จะโดนเผาเสียหายไปไม่น้อย
ตอนผลักประตูเข้าไปยังมีไม้ที่ถูกเผาไม่หมดกระจัดกระจายอยู่ในลานด้านหน้า บริเวณห้องโถงใหญ่โดนเผาไปไม่น้อย แม้แต่รูปปั้นเทพหนี่วาที่วางอยู่ในความมืด บนศีรษะของรูปปั้นก็มิได้มีผ้าคลุมอยู่แล้ว
ฟู่เสี่ยวกวนเดินไปอยู่ที่ลานกว้างแล้วเงยหน้ามองไปรอบ ๆ
คำเอ่ยที่เฉินซีหยุนทิ้งท้ายเอาไว้ ก็คือต้นไม้ของอารามซุ่ยเยว่เยี่ยงนั้นหรือ…
เขาหรี่ตามองพร้อมกับทำหน้าสงสัย ต้นเหมยหายไปแล้ว !
เขาเดินไปด้านข้างบ่อน้ำ แล้วมองสำรวจ
ต้นเหมยต้นนั้นถูกถอนรากถอนโคน ยังมีเศษดินกระจายเต็มไปหมด ดูเหมือนว่าจะมีคนมาถอนออกไปเมื่อมินานมานี้ !
เขาคว้าดินมาหนึ่งกำมือแล้วบีบ เหมือนจะถอนไปอย่างน้อยสองวันแล้ว สรุปคือมีคนมาที่นี่เมื่อสองวันก่อนแล้วขุดต้นเหมยไป !
ผู้ที่ขุดต้นเหมยไป ต้องรู้ความลับของมันเป็นแน่ หรือจะเป็นยอดฝีมือระดับปรมาจารย์ที่ลอบสังหารเฉินซีหยุนกัน ?
ตอนนั้น ยอดฝีมือผู้นี้แอบติดตามเฉินซีหยุน แต่ก็มิมีท่าทางว่าจะลงมือเลยสักครา จวบจนกระทั่งเขาทำให้เฉินซีหยุนทนมิไหวจนต้องยอมเอ่ยปาก
แต่คำกล่าวของเฉินซีหยุน มิได้เจาะลึกมากนัก ยอดฝีมือผู้นั้นอาจจะคาดเดาคำกล่าวของนางออกและเดาว่าคือต้นเหมย
คนผู้นั้นเป็นถึงปรมาจารย์ หากเอ่ยไปตามจริงต้องมาถึงจินหลิงตั้งแต่กลางเดือนที่แล้วเพื่อมาขุดต้นเหมยไป
แต่เพราะโดนยิงไปหนึ่งนัด คาดว่าน่าจะได้รับบาดเจ็บสาหัส จึงทำให้เดินทางล่าช้า แต่ก็ยังอุตส่าห์มาถึงจินหลิงก่อนหน้าเขาถึง 2 วันเลยเชียว
เมื่อคิดได้ดังนี้ ฟู่เสี่ยวกวนก็พอเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว แม้จะยังไม่รู้ว่ายอดฝีมือขั้นปรมาจารย์คนนั้นคือผู้ใด และยิ่งไม่รู้ว่าเฉินซีหยุนซ่อนความลับใดเอาไว้ใต้ต้นไม้นั่น
ถ้าเป็นคนของลัทธิจันทราจริง เส้นทางนี้จะถูกลำลาย แต่ถ้าคนผู้นั้นมิออกมาสร้างความวุ่นวาย ทั่วทั้งใต้หล้านี้เกรงว่าจะมิมีผู้ใดรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเขา
ฟู่เสี่ยวกวนยืนขึ้น ปัดสิ่งสกปรกบนมือ เงยหน้ามองขึ้นไปอีกครา มิเห็นลูกศิษย์ของสำนักเต๋าอยู่เลยสักคน หรือว่าท่านอาจารย์จะมิได้รับสารจากศิษย์พี่ใหญ่กัน ?
ตอนนี้เรื่องเช่อเหมินมิได้สำคัญอันใดกับฟู่เสี่ยวกวนแล้ว หากซูม่อได้พาคนเข้าไปที่ซีหรง การทำลายลัทธิจันทราก็อยู่เพียงแค่เอื้อมเท่านั้น
แค่เช่อเหมินธรรมดา มิเป็นภัยอันใดนักหรอก
“ไปกันเถอะ ! ”
“กลับจวนใช่หรือไม่ ? ’’
“…ไปร้านอู่เว่ยจายเพื่อซื้อขนมดอกกุ้ยฮวาให้ซูซู’’
……
……
“คุณชาย นี่คือเทียบเชิญจากขุนนางชั้นสูงของเมืองจินหลิง คุณชายจะดูหรือไม่ขอรับ ? ”
“ส่งมานี่ ข้าค่อยอ่านภายหลัง”
“คุณชาย นี่คือพ่อค้า…มิใช่แค่ในจินหลิงเท่านั้น แต่ท่านยังได้รับเทียบเชิญจากตระกูลผู้นำการค้าทั้งห้าด้วย พวกเขาส่งคนมาที่จินหลิงแล้ว ได้ยินฮูหยินทั้งสามเอ่ยว่าพวกเขาอยู่ที่ธนาคารซื่อทงนานสองนานเพื่อสอบถามเรื่องหุ้น”
ฟู่เสี่ยวกวนตื่นตกใจขึ้นมาเล็กน้อย ยื่นเทียบเชิญในมือให้สวี่ซินเหยียน ให้นางเก็บเทียบเชิญจากผู้นำการค้าทั้งห้าตระกูลเอาไว้
ทุกตระกูลมาที่จินหลิงแล้วจริง ๆ ซ้ำยังเชิญเขาไปที่หอซื่อฟางอีกด้วย… เขามิมีเวลาว่างอย่างแท้จริง แต่เขาก็อยากเจอกับทั้งห้าตระกูลนี้ อีกทั้งยังเกี่ยวข้องกับเรื่องหุ้นอีกด้วย หากมารวมตัวกันเพื่อประชุมทางการค้า การขายหุ้นก็จะง่ายมากยิ่งขึ้น
หลังจากครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ครู่หนึ่งก็ได้เอ่ยกับหลี่เจิ้งว่า “อีกประเดี๋ยว เจ้าไปบอกใต้เท้าหลี่ว่าพรุ่งนี้เช้าข้าจะไปสอนที่สำนักศึกษาจี้เซี่ย 1 ชั่วยาม หากใต้เท้าหลี่จะไปพบกับตัวแทนตระกูลการค้าทั้งห้าก็ให้แจ้งว่าถ้าอยากรู้เรื่องหุ้นก็ให้พวกเขาไปฟังที่สำนักศึกษาจี้เซี่ย”
เมื่อสั่งการเสร็จแล้วฟู่เสี่ยวกวนก็ได้เดินไปที่ลานบ้าน พลางคิดว่าในเมื่อจะสอนแล้วให้คนพวกนั้นมาฟังด้วย คงต้องให้หลี่ชุนเฟิงใช้มาตรการด้านความปลอดภัยมาควบคุมสักหน่อย อย่าให้เหมือนคราก่อนที่มามุงกันจนสำนักศึกษาแทบจะพังลง
สวี่ซินเหยียนเดินตามหลังฟู่เสี่ยวกวน มองแผนหลังนั้นแล้วครุ่นคิดว่าคนผู้นี้มิเคยมีเวลาว่างเลยจริง ๆ
พอเดินอยู่ในลานบ้าน ก็ยังมีเรื่องให้คิดอยู่มากมาย
มิว่าจะเป็นฮูหยินทั้งสามหรือพวกบ่าวรับใช้ต่างก็ยิ้มแย้มแจ่มใสราวกับอยู่ในช่วงปีใหม่
ช่วงสายของวันนี้ ขันทีเจี่ยนำราชโองการมา แจ้งว่าฮูหยินทั้งสามได้เลื่อนขั้นเป็นเก้ามิ่ง ดังนั้นจึงมีเรื่องน่ายินดีเกิดขึ้น
สวี่ซินเหยียนคำนับฮูหยินทั้งสามระหว่างทาง จากนั้นนางก็นำขนมดอกกุ้ยฮวามาให้ซูซูที่เรือนซีเซวี๋ย “เขาซื้อมาให้เจ้า…”
ซูซูทำหน้ามุ่ยแล้วหยิบขนมดอกกุ้ยฮวาจากมือของนางไปวางไว้บนโต๊ะโดยที่ยังไม่แกะถุง นางถอนหายใจยาวออกมา
“ เป็นอันใดไป ? ” สวี่ซินเหยียนนั่งลงตรงข้ามนางแล้วเอ่ยถามออกไป
“วันนี้ในจวนมีเรื่องที่น่ายินดียิ่ง”
“มีเรื่องอันใดน่ายินดีกัน ? ”
“เจ้ามิรู้เยี่ยงนั้นหรือ ? ” ซูซูหันไปมองสวี่ซินเหยียนด้วยอารามประหลาดใจ
สวี่ซินเหยียนตื่นตกใจเล็กน้อยแล้วตอบว่า “ข้ามิรู้ ! ”
“เขามิได้บอกเจ้าเยี่ยงนั้นหรือ…” พอกล่าวจบนางก็หันไปมองสุริยาที่กำลังจะลาลับขอบฟ้า “วันนี้เขาอยู่ที่วังหลวง ได้รับพระราชทานยศติ้งอันป๋อจากฝ่าบาท ฮูหยินทั้งสามจึงได้เลื่อนขั้นเป็นเก้ามิ่ง เรื่องน่ายินดีเช่นนี้ฮูหยินทั้งสามบอกว่าจะมีงานฉลองเกิดขึ้น”
“อ้อ…” สวี่ซินเหยียนรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย นางอายุมากกว่าซูซูหลายปี นิสัยของนางย่อมสงบกว่าอีกฝ่ายอย่างแน่นอน พอลองคิดดูแล้วในสายตาของฟู่เสี่ยวกวนคงเห็นว่าตำแหน่งติ้งอันป๋อมิได้สำคัญอันใดมากนัก เขาเลยมิได้เอ่ยให้นางฟัง
“ซูซูกังวลสินะ”
“อืม”
“อย่ายอมแพ้สิ มิต้องผิดหวังหรอก แม้เขาจะมีตำแหน่งที่สูงขึ้น แต่ท้ายที่สุดเขาก็จะกลับมาที่จวนนี้อยู่ดี”
พอได้ยินดังนั้น ใบหน้าของซูซูก็พลันแดงเรื่อขึ้นมาทันที “เขา…กับข้า เกี่ยวข้องอันใดกันเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“พี่ซูโหรวอยู่ที่ใด ? ” สวี่ซินเหยียนเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันพลัน
“บอกว่าจะไปเก็บยาบำรุง ประเดี๋ยวก็คงกลับมาแล้ว”
นางทั้งสองกำลังสนทนาเรื่องความในใจอยู่ที่เรือนซีเซวี๋ย ส่วนฟู่เสี่ยวกวนก็กำลังสนทนาอยู่กับฮูหยินทั้งสามของตนอยู่ที่เรือนใหญ่
“เสด็จแม่บอกว่าเย็นนี้ให้ไปร่วมโต๊ะเสวยในวัง” หยูเวิ่นหวินครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่จากนั้นก็เอ่ยต่อว่า “พวกเราทั้งสี่คน”
“ข้ามิได้ชิมซุปที่แม่ยายตุ๋นมานานมากแล้ว มีเรื่องอันใดอีกหรือไม่ ? ”
“จะมีเรื่องอันใดอีกเล่า แม่ยายเป็นห่วงลูกเขยที่เจอเรื่องราวมากมายแสนสาหัส บอกว่าจะทำของบำรุงร่างกายให้กับท่าน”
“มิใช่ว่าฝ่าบาทให้รางวัลมาแล้ว 10,000 ตำลึงทองหรอกหรือ ? อยู่ที่ใด ข้าขอดูได้หรือไม่ ? ”
“มีอันใดน่าดูเล่า ? ข้าเก็บเอาไว้ในกล่องนั้น”
ฟู่เสี่ยวกวนรีบเดินเข้าไปดูด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข ในใจพลางคิดว่าข้าหามาให้เขาตั้ง 180 ล้านตำลึง แต่เขากลับให้ข้าเพียงแค่ 10,000 ตำลึงทองเท่านั้นเอง
หลังจากเปิดกล่องออกดู ทันใดนั้นเขาก็ตื่นตะลึงขึ้นมาทันที
“นี่มัน… เข้าใจอันใดผิดไปหรือไม่ ? เหรียญทองแดงเหล่านี้นับเป็นทองคำได้ด้วยหรือ ? “