ซวงเถาไม่ได้คิดมากขนาดนั้น
อย่างไรก็มาเป็นแขกในจวนผู้อื่น รู้สึกเป็นอิสระกว่าอยู่เรือนสกุลตนเป็นไหนๆ
อวี้ถังล้างหน้าหวีผมเรียบร้อยแล้ว หญิงรับใช้สกุลเผยนำอาหารเช้ามาส่งให้ ทั้งถามความจากอวี้ถังว่า “หิมะในลานจะให้เก็บกวาดไหมเจ้าคะ?”
คฤหาสน์นอกเมืองสกุลเผยหลังนี้มิใช่สถาปัตยกรรมที่นิยมทั่วไปในแถบเจียงหนาน แต่คล้ายกับสถาปัตยกรรมทางเหนือเสียมากกว่า เพราะมีระเบียงทางเดินเชื่อมโยงกัน ด้วยเหตุนี้ แม้จะไม่กวาดหิมะแต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการเดินเหินของผู้อื่น
“ปกติหิมะในลานเรือนพวกเจ้ากวาดหรือไม่?” อวี้ถังย้อนถามหญิงรับใช้ผู้นั้นแทน
หญิงรับใช้อายุประมาณสี่สิบกว่าปีแล้ว มือไม้คล่องแคล่วว่องไว ได้ยินดังนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างใจดี “ปกติถ้าไม่มีคนอยู่ก็ต้องกวาดเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็กวาดเถิด!” อวี้ถังไม่ต้องการให้แตกต่างจากที่เคยเป็น
ซวงเถาอดจะเสียดายไม่ได้ “หิมะออกจะสวยปานนั้น!”
อวี้ถังตวัดสายตามองซวงเถาทีหนึ่ง
ซวงเถาก็รีบหุบปากฉับทันที
สีหน้าของหญิงรับใช้ทอประกายฉงนวูบหนึ่ง พอประสานสายตากับอวี้ถัง ก็รับคำอย่างนอบน้อมแล้วล่าถอยไป
นางกับซวงเถากินอาหารเช้าเสร็จแล้ว กำลังสวมผ้าคลุมเตรียมออกไปคารวะท่านแม่เฒ่า คุณหนูสี่กับคุณหนูห้าก็วิ่งจูงมือกันเข้ามาเสียก่อน
“พี่อวี้ๆ!” เด็กสาวทั้งสองตะโกนเรียกอวี้ถังด้วยรอยยิ้ม พอเงยหน้าก็เห็นว่าบ่าวรับใช้หลายคนกำลังกวาดหิมะในลานเรือนอยู่ พลันตีหน้าเศร้าสร้อย “พี่อวี้ พวกเรามาชวนท่านไปคารวะท่านแม่เฒ่าด้วยกัน คิดว่าพอกลับจากเรือนท่านแม่เฒ่าจะมาปั้นตุ๊กตาหิมะเล่นที่ลานเรือนท่าน เหตุใดท่านถึงให้คนมากวาดทิ้งเสียแล้ว”
อวี้ถังรีบไปรับคุณหนูน้อยสองคนเข้ามาพร้อมเสียงหัวเราะ
คุณหนูทั้งสองหยุดยืนที่หน้าประตูไม่ยอมผ่านเข้ามา คุณหนูสี่เอ่ยเร่งว่า “พวกเราไม่ถือมารยาทไร้สาระพวกนี้หรอก พี่อวี้รีบเก็บของเร็วเข้า ท่านแม่เฒ่าทางนั้นคงกินอาหารเช้าเสร็จพอดี”
อวี้ถังไม่ได้เกรงใจพวกนางเช่นกัน พอสวมผ้าคลุมทับ ก็พาซวงเถาออกไปพร้อมกับพวกนาง
คุณหนูห้ายังถอนหายใจอดเสียดายหิมะที่ลานเรือนไม่เลิก
ซวงเถาจึงหันไปกระซิบถามอาซันสาวใช้ของคุณหนูห้าว่า “ลานเรือนเจ้าไม่มีหิมะรึ?”
อาซันเหลือบมองคุณหนูห้าที่ถูกอวี้ถังเปลี่ยนบทสนทนาให้ไกลจากเรื่องหิมะ แล้วตอบซวงเถาเสียงเบาว่า “คุณหนูห้าเลือดลมพร่อง ไม่อาจเล่นหิมะได้ แต่นางกลับชื่นชอบหิมะเป็นชีวิตจิตใจ นายหญิงรองกำชับไม่รู้ตั้งกี่รอบแล้ว ยังดีที่หิมะในลานเรือนเจ้าถูกกวาดไปจนเกลี้ยง”
หัวใจของซวงเถาพลันเย็นเยียบ
นางมองไปทางคุณหนูสี่ที่ส่งเสียงร่าเริงอยู่ ข่มใจแล้วข่มใจอีก ทว่าสุดท้ายก็อดกลั้นไม่ไหว กระซิบถามอาซันอีกว่า “แล้วคุณหนูสี่ทางนั้น…”
“หญิงรับใช้ที่ดูแลคุณหนูสี่ห้ามไว้ ไม่กล้าให้คุณหนูห้าไปเล่นหิมะที่เรือนนาง” อาซันเล่าไป สายตาก็มองไปยังสาวใช้ข้างกายคุณหนูสี่นามว่าป๋ายหลันซึ่งเดินนำหน้าพวกนางอยู่
ซวงเถาที่ร่างกายอบอุ่นอยู่แต่เดิมอดจะสะท้านสั่นไปทั้งตัวไม่ได้
มิน่าคุณหนูถึงไม่ยอมให้นางติดตามรับใช้ อาศัยสายตาอย่างนาง ไม่แน่อาจก่อเรื่องวุ่นวายมาให้คุณหนูเมื่อไรก็เป็นได้
ทว่า คุณหนูเปลี่ยนเป็นคนเฉียบแหลมขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน…
ซวงเถาเดินตามพวกอวี้ถังไปอย่างมึนงงกระทั่งถึงโถงหลักของเรือนท่านแม่เฒ่า
คุณหนูรองกับคุณหนูสามมาถึงก่อนแล้ว สองคนสวมผ้าคลุมสีฟ้าเรียบบุด้วยขนพังพอนสีเทายืนอยู่ใต้ชายคามองสาวใช้หลายคนกำลังปั้นตุ๊กตาหิมะอยู่
คุณหนูห้ากับคุณหนูสี่ส่งเสียงร้องดีใจ พวกนางทิ้งอวี้ถังไว้แล้วพากันวิ่งเข้าหาทันที
จี้ต้าเหนียงที่ยืนเฝ้าตุ๊กตาหิมะอยู่ข้างๆ ร้องสั่งว่า “คุณหนูทั้งสองระวังฝีเท้าด้วยเจ้าค่ะ ท่านแม่เฒ่าได้สั่งเอาไว้ หากเพียงมองอยู่ข้างๆ อีกเดี๋ยวจะให้หญิงรับใช้พาคุณหนูไปดูละครร้องบนหิมะ หากว่าเข้าไปเล่นจนตัวเปรอะหิมะ หลายวันต่อจากนี้ก็จะถูกกักตัวให้คัดอักษรอยู่ในเรือนเจ้าค่ะ”
คุณหนูห้าหัวเราะสดใสเหมือนทานตะวันดอกหนึ่ง นางพยักหน้ารัวเร็ว เอ่ยเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า “ข้าจะดูอย่างเดียว!”
จากนั้นก็ลากคุณหนูสี่ไปเดินวนรอบๆ ตุ๊กตาหิมะที่ยังปั้นไม่เสร็จ
คุณหนูรองกับคุณหนูสามต่างก็พยายามซ่อนยิ้มที่มุมปาก
พวกจี้ต้าเหนียงพอห้ามปรามคุณหนูห้าได้แล้วก็ถอนหายใจโล่งอก
มีเพียงอวี้ถังที่ลอบทอดถอนใจ ท่านแม่เฒ่าช่างรักใคร่ทะนุถนอมหลานๆ เสียเหลือเกิน!
ทุกคนยืนเป็นเพื่อนคุณหนูห้าอยู่แถวลานเรือนพักหนึ่ง จากนั้นก็เข้าไปคารวะท่านแม่เฒ่าที่ด้านใน
ไม่นาน กู้ซีกับนายหญิงเสิ่น นายหญิงรองก็ตามเข้ามา
ทุกคนตัดสินใจว่าจะออกไปดูเหล่าสาวใช้และหญิงรับใช้ปั้นตุ๊กตาหิมะที่ลานด้านนอก
ท่านแม่เฒ่ากับนายหญิงรองยืนอยู่ครู่เดียวก็รู้สึกว่าหนาว คนจึงกลับเข้าห้องไปก่อน
นายหญิงเสิ่นถือโอกาสนี้บอกลา แล้วกลับไปยังเรือนพักของตน
กู้ซีกลับรั้งตัวอยู่ต่อเพื่อเล่นหิมะกับคุณหนูคนอื่นของสกุลเผย
เสียงสรวลเสเฮฮาดังก้องไปทั่วลาน คึกคักเป็นที่สุด
ท่านแม่เฒ่ามีนายหญิงรองประคองเอาไว้ ยืนดูอยู่ด้านหลังหน้าต่างที่แง้มเอาไว้เพียงครึ่งเดียว เห็นว่ากู้ซีพาคุณหนูทั้งหลายเล่นหิมะอย่างสนุกสนาน นางใช้หัวแคร์รอตมาทำเป็นจมูก หักกิ่งไม้มาทำเป็นแขน ส่วนอวี้ถังกลับยืนอยู่ตรงนั้นคอยดูแลคุณหนูห้าที่วิ่งผ่านไปผ่านมาเป็นครั้งคราว หรือไม่ก็หันไปยิ้มพลางพูดคุยกับคุณหนูสามที่ไม่ค่อยชอบพูดซึ่งยืนอยู่ข้างๆ กัน นางถามนายหญิงรองว่า “หลังจากคุณหนูอวี้กลับห้องไป ได้ตามสืบเรื่องสกุลกู้อีกหรือไม่?”
“ไม่มีเจ้าค่ะ!” นายหญิงรองตอบยิ้มๆ “คุณหนูผู้นี้นับว่ารู้จักรุกถอย ไม่สมควรถามก็ไม่ปริปากถามซักคำ”
ท่านแม่เฒ่าพยักหน้า เอ่ยอย่างไม่อนาทรว่า “ชีวิตคนผู้หนึ่งนั้น สิ่งที่ยากที่สุดก็คือการรู้ว่าเมื่อใดควรจะทำสิ่งใด”
นายหญิงรองเอ่ยเสริมด้วยรอยยิ้มจริงใจว่า “ท่านกล่าวได้ถูกแล้ว”
สายตาของท่านแม่เฒ่าตกอยู่บนร่างของอวี้ถังอีกครั้ง “นี่จึงเป็นกิริยาที่ผู้เป็นพี่สาวควรจะมี”
นางหญิงรองรับคำว่า “เจ้าค่ะ” พร้อมรอยยิ้ม นางละล้าละลังครู่หนึ่ง ก่อนจะกระซิบถามว่า “ท่านแม่ เกิดเรื่องอะไรกับสกุลกู้หรือเจ้าคะ?”
ท่านแม่เฒ่าร้อง “เหอะ” ออกมา แล้วตอบอย่างไม่ใส่ใจว่า “เรือนนอกจวนใน ยังจะมีเรื่องอะไรได้? ที่เห็นได้บ่อยๆ ก็คงมีอยู่ไม่กี่เรื่อง”
นายหญิงรองตื่นตระหนก สายตาจับจ้องไปที่ร่างของกู้ซี “เช่นนั้นคุณหนูกู้…”
“มองให้ขาดแต่อย่าพูดให้ชัด!” ท่านแม่เฒ่าหัวเราะ “ก็แค่ข้ออ้างเท่านั้น ในเมื่อนางต้องการมาเป็นแขกจวนข้า เช่นนั้นพวกเราก็ต้องต้อนรับให้ดี ไม่มีเหตุผลใดจะให้ผู้อื่นมาตำหนิพวกเราว่ารังแกเด็กรุ่นหลาน”
นายหญิงรองเม้มปากยิ้ม
ท่านแม่เฒ่าเลิกสนใจสถานการณ์ที่ลานด้านนอก แล้วให้นายหญิงรองประคองตัวเดินกลับเข้าห้องด้านใน ทางหนึ่งก็เอ่ยว่า “สะใภ้ใหญ่ทางนั้นล่ะ? นายหญิงเสิ่นเมื่อคืนได้เคลื่อนไหวหรือไม่?”
นายหญิงรองเผยสีหน้าลำบากใจออกมา
ท่านแม่เฒ่าร้องเหอะทีหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ข้าว่าเจ้าสู้คุณหนูอวี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ! นางมีอะไรก็ถามออกไปตรงๆ เจ้าก็ดีแต่อ้ำอึ้ง บอกให้พูดเจ้าก็ไม่กล้าพูด ราชสำนักใช้คนยัง ‘ยกย่องเท่าเทียมไม่สนว่าเป็นศัตรูหรือญาติ’ หรือเจ้าคิดว่าเรื่องแค่นี้ข้าก็แยกแยะมิได้รึ?”
นายหญิงรองหน้าแดงลามไปถึงหู นางเอ่ยขออภัยพลางเล่าว่า “เมื่อคืนนายหญิงเสิ่นให้หญิงรับใช้ข้างกายนำของกินไปให้พี่สะใภ้เจ้าค่ะ พี่สะใภ้รับเอาไว้ ทั้งให้ห้องครัวเล็กทางนั้นทำขนมมังสวิรัติมอบให้เป็นการตอบแทน วันนี้ตอนเช้าตรู่ก็ส่งไปให้นายหญิงเสิ่นแล้ว”
ท่านแม่เฒ่ายิ้มเย็น “ข้าบอกแล้ว นายหญิงเสิ่นชอบก่อเรื่องนัก วันนี้เห็นพวกคุณหนูเล่นกันสนุกสนานกลับไม่สั่งสอนสักคำ เอาแต่จะรีบร้อนกลับเรือน เรื่องนี้ต้องมีแผนต่ออีกแน่ เจ้าให้คนจับตาดูนายหญิงเสิ่นกับสะใภ้ใหญ่เอาไว้ สะใภ้ใหญ่นางคิดว่าที่ตนเองต้องอยู่ในสภาพนี้เพราะถูกสกุลเราข่มเหง คิดหาคนที่ไม่เกี่ยวพันส่งจดหมายไปให้พี่น้องฝั่งมารดาของนาง เช่นนั้นก็ให้นางส่งไปเถอะ ข้าก็อยากจะรู้นัก พี่น้องฝั่งมารดาของนางจะยินดีช่วยเหลือนางถึงขั้นไหน อีกอย่าง นายท่านทั้งสองคนนั้น ก็ส่งคนไปดูไว้หน่อย เรื่องด้านนอกสยากวงก็วุ่นวายจนล้นมือแล้ว เรื่องหลังบ้านพวกนี้ พวกเราช่วยได้ก็ต้องช่วยเขาอีกแรง ให้เขาคลายความกังวลได้สักหน่อยก็ยังดี” พูดจบ นางก็ถอนหายใจยาวเหยียด “ไม่รู้เมื่อไรจะหาสะใภ้ที่เก่งกาจให้เขาได้เสียที ภาระบนบ่าข้าจะได้ปลดลงเสีย”
นายหญิงรองหันไปมองนอกหน้าต่างทีหนึ่ง คิดว่าเบื้องหน้ามิได้มีคุณหนูกู้อยู่คนหนึ่งหรือ? แต่นางเข้าใจแม่สามีของนางดี มิใช่เพียงรู้จักดูแลเสื้อผ้าอาหารแล้วจะขึ้นมาเป็นนายหญิงของจวนได้ ตอนที่่ท่านผู้เฒ่ายังอยู่ ต่อหน้าท่านแม่เฒ่า นางไม่กล้าจะพูดจาเสียงดังด้วยซ้ำ นางคาดเดาความคิดของแม่สามีไม่ออก ได้แต่คอยทำตามสิ่งที่ท่านแม่เฒ่าสั่งให้ทำ ไม่กล้าคิดจะมีความดีความชอบ ขอเพียงไม่กระทำเรื่องที่ผิดพลาดก็พอแล้ว
นางปลอบใจท่านแม่เฒ่าว่า “เรื่องดีๆ ไม่กลัวว่าจะมาช้า วาสนาของอาสามไม่แน่อาจจะมาถึงเร็วๆ นี้ก็ได้เจ้าค่ะ”
ท่านแม่เฒ่าถอนหายใจอย่างอับจน ภายหลังก็เอ่ยถามนายหญิงรองคล้ายเพิ่งนึกขึ้นได้ “คุณหนูอวี้มีนามว่าอะไรรึ?”
“อวี้ถังเจ้าค่ะ!” นายหญิงรองตอบ “อักษร ‘ถัง’ ที่มาจากกลอน ‘ช่อดอกกันถังอย่าได้เด็ดดึง’ อย่างไรล่ะเจ้าคะ”
“เป็นชื่อที่ดี” พอท่านแม่เฒ่าเอ่ยชมแล้ว ก็พูดถึงเรื่องการจัดงานวันปีใหม่ต่อ “เหล่าคณาญาติที่ไปมาหาสู่บ่อยๆ จัดการไม่ยาก ให้อ้างอิงตามรายการของขวัญที่ส่งให้เมื่อปีก่อนก็ใช้ได้ เรื่องนอกจวนมีผู้ดูแลของสกุลกังวลใจอยู่แล้ว ไม่ต้องให้พวกเราไปวุ่นวาย ส่วนสกุลซ่งทางนั้น ก็กลับมามีสานสัมพันธ์กับสกุลเราใหม่ กระทั่งวันฉงหยางยังส่งของขวัญล้ำค่ามาให้ กลัวแต่ว่าจะมีเรื่องอะไรอยากขอให้เราช่วยเหลือ เจ้าอย่าลืมเตือนให้ข้าถามสยากวงหน่อย ว่าของขวัญของสองสกุลจะทำอย่างไรดี ยังมีสกุลอวี้ ในเมื่อคิดจะผูกสมัครรักใคร่ ตอนงานเลี้ยงช่วงปีใหม่ก็อย่าลืมเชิญนายหญิงอวี้กับคุณหนูอวี้มาดื่มสุราด้วย…”
เรื่องเล็กเรื่องใหญ่ ก็ฝากฝังกำชับไปเกือบสิบเรื่อง เล่นเอานายหญิงรองฟังจนเริ่มปวดศีรษะ
ตอนเด็กๆ นางเคยอ่านสี่ตำราห้าคัมภีร์กับบิดา ต่อให้ต้องเขียนบทความด้วย ก็ยังไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเท่านี้
ในลานเรือน กู้ซีช่วยคุณหนูทั้งหลายปั้นตุ๊กตาหิมะน้อยใหญ่ได้ห้าหกตัวก็เริ่มหมดแรง นางกับคุณหนูรองยืนพิงระเบียงไม้สีแดงที่อยู่ข้างๆ เพื่อพักหายใจ ส่วนอวี้ถังกับคุณหนูสาม คุณหนูสี่และคุณหนูห้าไปเล่นหิมะด้วยกันต่อ
กู้ซีถามคุณหนูรองว่า “จะมีแขกมาเยือนที่คฤหาสน์นอกเมืองตอนไหนรึ?”
คุณหนูรองได้ยินก็หน้าแดงก่ำจนเลือดแทบหยดลงมา นางตอบอย่างเหนียมอายว่า “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร?”
กู้ซีหัวเราะ อารมณ์พลันตกดิ่งลง “เจ้าไม่ต้องเขินหรอก! แต่ก่อนข้าก็คิดเหมือนเจ้า แต่เจ้ามองดูข้าตอนนี้สิ…”นางพูดจบ จากนั้นก็เงยหน้ามองท้องฟ้าที่ไร้สีราวกับเพิ่งซักสะอาดมาใหม่ๆ แล้วหัวเราะเสียงขื่น “บางครั้ง ความเขินอายก็ไม่ช่วยแก้ปัญหา ตอนที่เจ้ายังมีโอกาสตัดสินใจก็รีบคว้ามันไว้ จะได้ไม่เสียใจภายหลัง”
คุณหนูรองตะลึงไป หันไปมองคุณหนูห้าที่กำลังเล่นสนุกกับพี่ๆ คนอื่น แล้วกระซิบตอบเสียงเบาว่า “ข้า ข้าเองก็ไม่รู้ ใครจะขัดคำสั่งของสกุลได้ล่ะ?”
กู้ซีส่งยิ้มให้ จู่ๆ พลันเกิดความกระตือรือร้นบางอย่าง นางชี้นิ้วไปทางโถงหลักของท่านแม่เฒ่า “ทางนั้นมิใช่มีคนที่ตัดสินใจแทนเจ้าได้หรอกรึ?”
งานแต่งของบุตรสาว ส่วนใหญ่ต้องเชื่อฟังบิดามารดาอยู่แล้ว นับประสาอะไรกับท่านแม่เฒ่าซึ่งเป็นท่านย่าที่อยู่ห่างออกไปอีกสายหนึ่ง?
คุณหนูรองไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน
กู้ซีถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “เจ้าดูสิว่าท่านแม่เฒ่าเฝ้าถนอมเหล่าหลานๆ อย่างพวกเจ้ามากเพียงใด หากว่าเจ้าไปขอร้องท่านแม่เฒ่า นางจะต้องช่วยเจ้าตัดสินใจแน่”
คุณหนูรองไม่ได้ส่งเสียง ผ่านไปพักใหญ่ จนกู้ซีคิดว่านางคงไม่ตอบคำถามของตนแล้ว นางถึงผงกศีรษะลงเบาๆ
กู้ซีแย้มยิ้มสดใสส่งให้นาง แล้วเอ่ยชวนคุณหนูรองว่า “พวกเราก็ไปเล่นหิมะกันเถอะ? เจ้าดูพวกคุณหนูอวี้สิ เล่นกันสนุกจะตายไป!”
คุณหนูรองเหลือบมองกู้ซีทีหนึ่ง สายตาคล้ายจะไว้ใจนางมากกว่าเก่า แล้วตอบเสียงแผ่วพร้อมรอยยิ้มบางๆ ว่า “เอาสิ”