< < 181 Sec2 > >
การต่อสู้กับเทพมังกรจบลงแล้ว ..แค่นี้เหรอ?
แม้แต่ผมก็ยังนึกสงสัย ก่อนหน้านี้ไม่นาน เทพมังกรยังออกมาอาละวาดซะทุกคนเกือบจะตายอยู่เลย แต่นี่มันอะไร จู่ๆก็โดนดาบมารของไรเดนกระหน่ำเข้าจนตายในคราเดียวอย่างหมดรูป ยากที่จะเชื่อกับสิ่งที่เห็น แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว แถมดูง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ
ผมเดินไปหาร่างที่ไร้วิญญาณของเรนซึ่งกำลังจะจมน้ำไป ดึงขึ้นมา และสัมผัสเข้าที่ลำคอ ..ไม่นาน ผมก็เริ่มเผาร่างนั้นทิ้งเสีย
“ทุกอย่างจบแล้วนะ ..ยูนา”
เรนตายแล้ว ตราบาปของเธอในอดีตได้รับการชำละล้างแล้ว ผมมองหน้าของเรนในวินาทีสุดท้าย ก่อนที่ร่างนั้นจะถูกเพลิงแผดเผาจนสิ้น
…
“เรียบร้อยแล้วสินะ”
ไรเดน อาคาสะ เอ่ยทักผมที่ช่วยเผาศพของเรนให้แทน
“อ่า ปล่อยให้เป็นศพอยู่ใต้ทะเลมันก็ไม่ดีน่ะนะ”
ต่อให้เป็นอาชญากร รึ ภัยพิบัติของโลก ตอนตายก็อยากให้ตายเหมือนทุกคนนั่นแหละ
“นั้นหรือ ..”
“ไหวรึเปล่า?”
“โดนดึงอายุขัยไปมากพอสมควรเลย จบศึกนี้ฉันคงต้องรีไทร์แล้วละ”
น่าเสียแฮะ แต่ถ้าไม่มีการเสียสละของไรเดน เรนที่เริ่มใช้พลังของเทพมังกรเป็นขึ้นมาแบบเมื่อครู่คงจะฆ่าพวกเราทุกคนทิ้งได้อย่างง่ายดาย การที่ผลลัพธ์ออกมาคือชนะ จะว่าโชคดีที่เรนใช้พลังไม่เป็นซะส่วนมากก็เป็นไปได้ ลำพังกำลังคนแค่นี้ ไม่มีทางชนะเทพมังกรร่างสมบูรณ์ หรืออย่างน้อยก็ในร่างที่ใช้พลังเป็นได้หรอก
ทำได้กระทั่ง ‘หยุดเวลา’ นี่นะ ตัวตนที่เรียกว่าเทพมังกรน่ะ
“แต่ก็ยังดีนะครับที่ไม่ถึงกับตายตามเรนมันไปด้วย”
“คงจะอย่างนั้น”
“นึกเสียใจบ้างหรือเปล่าครับ ที่ต้องเสียสละตัวเองเพื่อกำจัดศัตรูแบบนี้”
ไรเดน อาคาสะ ได้ฟังคำถามของผมก็ครุ่นคิดอย่างจริงอยู่พักหนึ่ง
“ดาบเทวะ ‘มาซามุเนะ’ เดิมทีเป็นกระบวนท่าสุดท้ายที่คิดจะใช้กับเอเธอร์น่ะนะ”
ไรเดนในสภาวะปลดล็อค ‘ดาบเทวะ-มาซามุเนะ’ มีการยกระดับตัวเองที่มหาศาลก็จริง แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือคุณสมบัติที่กลมกลืนไปกับมานา ในสภาพนั้นทุกการโจมตีบนโลกไม่สามารถทำอะไรไรเดนได้เลย เสมือนกัน ทุกสรรพสิ่งที่ไรเดนฟาดฟันก็จะบางเสมือนตัดใบไม้ ให้เปรียบเทียบก็เหมือนกับว่าไรเดนคือคนที่สามารถตัดทุกสรรพสิ่งบนโลกนี้ได้ ดังที่เทพมังกรโดนเข้าไปนั่นแหละ
โชคดีที่เรนไม่ใช่เทพมังกรที่สมบูรณ์แบบ ทำให้โชคชะตาที่ว่าเทพไม่มีทางถูกมนุษย์ฆ่านั้นไม่เกิดขึ้น แต่ ..สิ่งนี้สามารถเอาชนะเอเธอร์ได้จริงๆเหรอ?
เอเธอร์คือกฏของโลก กฏที่แปลว่าแข็งแกร่งที่สุด ถ้าหากไม่ใช่ข้อผิดพลาดอย่างผม หรือจอมมาร ไม่มีทางเอาชนะเอเธอร์ได้หรอก แต่ว่า ..ถ้าหากเอเธอร์ไม่ใช่กฏ ถ้าหากทวยเทพไร้ซึ่งโชคชะตา ไรเดน อาคาสะ ก็คือนักรบที่แข็งแกร่งที่สุด ถึงขนาดสามารถสะบั้นทุกอย่างบนโลกให้สิ้นได้อย่างแน่นอน ดังที่ปรากฏให้เห็น
อย่างไรก็ช่าง
“ไม่ใช่ว่าสงบศึกกันแล้วหรือครับ?”
“สัมผัสได้ถึงโชคชะตาน่ะ ..สักวันอาจจะต้องสู้กับเอเธอร์อยู่ดี อีกอย่างมันคือดาบที่ฉันพึ่งจะใช้เป็นก็ตอนหลังจบสงครามไปแล้วด้วย แต่สภาพก็อย่างที่เห็น ต่อให้ต้องสู้กันอีกครั้งก็ไม่มีหน้าไปชนะเอเธอร์ได้หรอก ตัวฉันในตอนนี้”
ยอดนักรบจ้องมองแขนที่ไร้เรี่ยวแรงของตัวเอง และยิ้มรับสภาพตัวเอง
“ถ้าถามว่าเสียใจหรือเปล่า ก็เล็กน้อย เพราะฉันยังไม่ได้เอาชนะเอเธอร์เลย แต่ว่า ..ในวาระสุดท้ายในฐานะนักรบ ฉันก็ทำตามเป้าหมายของตัวเองโดยที่ไม่หลงทางซะก่อนได้จนจบ นั่นคือเรื่องน่ายินดี”
เป้าหมายในฐานะนักรบ เรื่องนั้นผมไม่รู้ด้วยสิว่าคืออะไร บอกตามตรงก็อยากรู้ แต่คิดว่าถ้าเจ้าตัวไม่บอก ไม่ถามน่าจะดีกว่า รึเปล่านะ?
ผมตั้งใจดูท่าทีของไรเดน ดูเหมือนว่าเขาก็ไม่คิดจะบอก ผมเลยไม่จู้จี้ตามอะไรต่อ
“ผมขอตัวไปรักษาเบ็นจิโร่ก่อนนะ”
ว่าแล้วผมก็รีบตรงไปหาเบ็นจิโร่ที่อยู่ไกลกันระดับหนึ่ง เธอยังคงนอนสลบอยู่บนริมฝั่ง หลังจากที่โดนเรนเล่นงานเข้าในจังหวะสุดท้าย ไปถึงผมก็เยียวยาเธอด้วยวิหคอมตะ แน่นอนว่ายังคงสลบอยู่ดังเดิม จะสะกิดเพื่อปลุกก็คงได้ แต่ผมเลือกจะไม่ทำ และลงไปนั่งอยู่ข้างๆเธอ
รอไม่นาน เจ้าตัวก็ตื่นขึ้นเอง
“เป็นอย่างไรบ้าง?”
นั่นคือสิ่งแรกที่เธอถามหลังจากเห็นหน้าผม
“ชนะแล้ว” ผมยิ้ม “เรนโดนนักรบที่แกร่งที่สุดไล่เตะตูดจนวินาทีสุดท้ายเลยละ”
“คิดว่า ไรเดน อาคาสะ คือใครกัน”
กล่าวจบ เบ็นจิโร่ก็ลุกขึ้นยืน และพยายามมองรอบๆตัวเอง
อาณาจักรเนลยอนที่พังไปถึงครึ่ง ตอนนี้กลับมาเหมือนเดิมด้วยการย้อนกลับของเรนแล้ว นอกจากนั้นศึกระหว่างทหารเรือกับกองทหารเรือของเรน ตอนนี้พวกกองเรือของเรนก็จมไปหลายรำ และเริ่มหนีกันแล้ว
ทหารเรือกลับมาได้เปรียบด้วยการช่วยเหลือของใครสักคนสินะ
หลังจากมองดูเหตุการณ์มากมายจบ เบ็นจิโร่ก็กางปีกออก
“ไม่พักหน่อยรึ?”
“ต้องไปยืนยันอะไรหลายๆอย่างก่อน นายเองก็—ไปหาเพื่อนของตัวเองหน่อยเป็นไง?”
…นั่นสินะ
“อาจจะโดนลูกหลงของเทพมังกรจนตายไปแล้วก็ได้นะ”
“พูดเป็นเล่น”
ระดับไอ้บ้าอาจจะโดนก็จริง แต่ไม่ถึงตายหรอก
เบ็นจิโร่กระเพือมปีก และบินตรงไปทางที่มีกองเรือหลายลำ ส่วนผมหยิบเรลันดาฟขึ้นมา และบินตรงไปตามหาหลายคนที่จบการต่อสู้ในอาณาจักรแทน
****
ฟัฟนิร์ แซร์อิซ สองมหามังกรผู้ยิ่งใหญ่จ้องมองไปที่แผ่นหลังของนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะลงไปนั่งกับพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง
“แข็งแกร่งจริงๆนะมนุษย์ผู้นั้น น่าเสียดายที่เป็นผู้ชาย”
อะไรละนั่นวิธีพูดแบบนั้น? อลิซส่งสายตาแปลกๆใส่แซร์อิซผู้มีรสนิยมความเพศน่ากลัวแปลกๆ
“จะว่าไป ..”
“เนลยอนกลับมาแล้ว”
พวกเขามหามังกรรับรู้ได้ตามธรรมชาติ หลังจากการตายไปของเทพมังกรที่ไม่สมบูรณ์แบบ จากกระบวนการที่ผิดพลาด และไม่สมบูรณ์ พอถูกยกเลิกไปก็ทำให้ มหามังกรวารี ผู้ที่ถูกใช้สังเวยกลับคืนสู่โลกโดยอัตโนมัติ นอกเหนือจากเนลยอนก็คงมีมหามังกรเทียมอีกตนหนึ่ง ..ทว่า ปีเตอร์ผู้มีความสัมพันธ์อันดีกับคนผู้นั้นกลับนั่งกอดเข่าแบบซึมๆ
“เป็นอะไรไปรึ? ของปลอม”
ด้วยความนึกสงสัย ฟัฟนิร์จึงเอ่ยถาม
“…”
“ไม่มีที่ไปสินะ เข้าใจเลย ตอนข้าโดนยูนาฟาดเข้า ตื่นอีกทีคือหลังสงครามจบ ข้าก็ไม่รู้จะทำอะไรต่อดี”
“…”
“ถึงต้าวเนลยอนที่น่ารักของข้าจะกลับมแล้ว แตก็ยากจะรู้ได้ว่าอยู่ที่ไหนบนโลกอันกว้างใหญ่ ข้าจึงคิดว่าจะรีบออกไปตามหาน่ะนะ อาจจะเผอิญว่าคนของเจ้า กับคนของข้าเกิดที่เดียวกันก็ได้ด้วย”
“จะพูดอะไรก็รีบๆพูดมาเถอะ”
“จะช่วยข้าตามหาคนหน่อยรึไม่? เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน จะไม่จับทำเชลยศึกหรอกนะ”
พอพูดเรื่องที่ปีเตอร์เคยเป็นพวกของเรนขึ้น ปีเตอร์ก็หลอนขึ้นมา และหันไปมองไรเดนก่อนจะหน้าซีด
ดูเหมือนว่าปีเตอร์ก็จะเริ่มกลัวไรเดนขึ้นมาแล้วเหมือนกัน
“ยังไงก็ได้ ขอแค่ไม่เป็นเชลยศึกพอ”
“ดีมาก ดีมาก ถ้าทำตัวดีๆว่านอนสอนง่าย ข้าจะเรียกเจ้าว่าไอ้ต้าวเหมือนหลายๆคนให้นะ”
“..ไม่เอา”
แซร์อิซลุกขึ้นยืน และกระโดดลงจากหลังบลูเบนไปยืนบนผิวน้ำด้วยอำนาจของมหามังกร
“ข้าขอตัวก่อนละกันนะ มีธุระอีกมากมายที่ข้าต้องไปทำต่อ เรื่องตามหาน้องรักของพวกเรา ฝากเจ้าดูแลแทนละกัน”
“เข้าใจละ ไปดีมาดี”
“โอ้!! จะกลับมาให้ครบ 69 เลย”
32 ไม่ใช่รึ? แม้จะสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามออกไป แซร์อิซเป็นเช่นนี้เสมอ อลิซถอนหายใจ และกระโดดตามแซร์อิซไป แต่ก่อนจะไปเธอหันมาโค้งศรีษะให้ทุกคน โดยเฉพาะบลูเบน
“ขอบคุณมากนะคะ ท่านมังกรน้ำ ถ้าไม่ได้คุณพวกเราคงตายไปแล้ว”
‘ด้วยความยินดีค่ะ แต่ถ้าจะขอบคุณ ขอบคุณท่านฟัฟนิร์ที่วานกันไว้ดีกว่านะคะ’
บลูเบนเองก็ร่วมมือกับฟัฟนิร์เหมือนกัน
“ตามนั้น ขอบคุณข้าเสียเจ้ามนุษย์”
“..ขอบคุณ ..ค่ะ”
ด้วยอะไรหลายๆอย่างเลยขอบคุณได้ไม่เต็มใจเท่าไหร่ แต่ก็ไม่เป็นไร หลังกล่าวขอบคุณแล้วอลิซก็รีบวิ่งตามแซร์อิซไปทันที ฟัฟนิร์มองส่งแซร์อิซ
“ไว้สักวันจัดงานเลี้ยงฉลองวันกลับมาคืนดีของพวกเราดีกว่า”
ครั้งแรกในรอบหลายพันปีที่พี่น้องมหามังกรจะญาติดีกัน
****
อาณาจักรเนลยอนยังคงงดงามตามเดิม ด้วยการย้อนกลับของเรน ทำให้ไม่มีสิ่งใดสูญเสียไปเลย ..เว้นแต่ชีวิตของผู้คน
แม้จะเป็นอาณาจักรที่สวยงาม แม้จะมีตัวเมืองที่ดูดีขนาดไหน แต่ตามทางเดิมนั้นไม่มีคนอยู่เลย ทุกคนหนีไปที่อพยพ คนที่หนีไม่ทันได้ตายไปแล้ว และมีหลายชีวิตเลยที่ต้องจากไปในศึกๆนี้ เป็นเรื่องที่น่าเศร้าก็จริง แต่เป็นเรื่องที่ต้องยอมรับให้ได้
สงครามมันก็แบบนี้นี่แหละ เลวร้ายที่สุด
ระหว่างที่เดินชมวิวทิวทัศน์ ไม่นานผมก็มาถึงที่ที่เพื่อนของผมนั่งพักอยู่
เหมือนจะนั่งกันอยู่ที่สวนสาธารณะ
ทันทีที่พวกนั้นเห็นผมก็กล่าวทักทาย
“คุณเรเซอร์ เป็นอย่างไรบ้างคะ!?”
ถึงจะบอกว่าเจ้าพวกนั้นทักทาย แต่คนที่ทักขึ้นมาจริงๆมีแค่คนเดียวนั่นแหละ คนๆนั้นคือเทพแห่งจิตวิญญาณ ‘อานิม่า’
“ทำไมหล่อนไม่ไปช่วยสู้ด้วยฟร้ะ?”
“พลังของฉันช่วยได้ไม่เยอะหรอกค่ะ ใช่ ..ไม่ไหวหรอกค่ะ”
เหมือนจะกลัวในพลังของเทพมังกรไม่น้อย ผมถอนหายใจเฮือกโต ไม่ชักถามอะไร เพราะอานิม่าคงมาไม่ทันอยู่ดี และถึงมาก็ดูจะสู้ลำบากด้วย เจ้าตัวมีพลังกายแค่ในระดับมนุษย์ธรรมดา อาจจะพลาดตายโดยที่ผมช่วยไม่ทันก็เป็นได้ ถือว่าตัดสินใจดีแล้วละที่ไม่มาร่วมวงรุมกินโต๊ะ
“ก็อย่างที่เห็นนั่นแหละนะ ชนะแหละ”
“สุดยอดเลยนะคะ ศัตรูเป็นเทพมังกรเชียวนะคะ ..ถึงจะไม่สมบูรณ์ก็เถอะ”
เพราะไม่สมบูรณ์นี่แหละเลยชนะมาได้ ผมไม่ค่อยอยากจะโม้โอ้อวดเท่าไหร่ เพราะหน้าที่ผมในศึกนี้เป็นแค่ตัวซัพพอร์ตเท่านั้น ไม่ได้ประจันหน้าตรงๆกับเทพมังกรเหมือนไรเดน
ผมไปยืนพิงต้นไม้แถวๆนั้น และหันไปหาเคียวยะที่นั่งข้างๆเมอัน
“ไม่ได้เจอกันนานนะ เมอัน”
“..ค่ะ”
ผมยิ้มให้เจ้าตัวเพื่อสร้างความผ่อนคลาย ก่อนจะใช้ขาสะกิดไหล่เคียวยะ
“หมดสภาพเลยไม่ใช่รึไง?”
“แต่ก็ชนะละกัน”
ทำเป็นพูด ชนะเมอันไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรเยอะสักหน่อย ..ว่าไปนั่น ช่วยได้เยอะเลยต่างหาก เมอันคือมหามังกรเทียมที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่ม การช่วยหยุดเมอันเอาไว้ แถมยังชนะได้ก่อนที่พิธีสังเวยจะเริ่มมันช่วยลดกำลังรบอีกฝ่ายได้เยอะเลยละ
บอกตามตรงว่าเกินคาด เคียวยะแข็งแกร่งขึ้น ไม่ใช่แค่ทีละนิด แต่ก้าวกระโดดขึ้นมาจนสามารถพึ่งพาได้แล้ว
“ฉันชนะแล้ว ชนะตัวตนที่แข็งแกร่งด้วยตัวคนเดียว ..ต่อจากนี้ ถ้าต้องเจอกับคู่ต่อสู้ระดับท็อปโลก หรือว่าพวกเจ็ดมหาบาป ฉันก็มีพลังพอจะรับมือกับพวกมันได้”
คงจะอย่างนั้น
“เพราะอย่างนั้นนั่นแหละ ..เพราะอย่างนั้น ..ฉัน ..ฉันคนนี้เป็นพลังให้ได้ ..เข้าใจนะ”
ผมไม่ตอบ
“ทั้งเรื่องของไอ้เบื้อกยูจิ ทั้งเรื่องของเบลลามี ทุกๆเรื่องเลย ถ้ามีปัญหากับตัวไหนก็บอกให้ฉันไปสู้กับมัน ฉันจะชนะอย่างแน่นอน ไม่มีทางแพ้อีกต่อไปแล้ว ..พลังของฉันไม่ใช่แค่นี้ด้วย จะแข็งแกร่งยิ่งกว่านี้อีกมากมาย สักวัน จะเหนือกว่าแกด้วย ยินดีซะสิ มีคนระดับนี้มาคอยเป็นพลังให้ ..แล้วก็ระวังหลังด้วยละ ถ้าเอาแต่มองเบ็นจิโร่มันเป็นคู่แข่ง จะโดนฉันแซงเอาโดยไม่รู้ตัว”
กล่าวจบ เคียวยะก็ยื่นหมัดที่กำแน่นมาให้ผม ราวกับกำลังเชื้อชวนให้ชนหมัดกัน
“ปกติ ตอนฉันจะชนหมัดด้วยแกไม่ยักจะสนใจเลยนี่นะ เคียวยะ”
“เพราะคิดว่าตัวเองไม่คู่ควรกับความไว้ใจนั่น”
แบบนี้นี่เอง
โดยไม่ต้องคิดผมชนหมัดกับเคียวยะ ไม่ว่าจะกี่ครั้ง ผมก็จะไว้ในตัวเคียวยะเสมอ เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่แรกแล้วน่ะนะ แต่เรื่องคราวนี้ยิ่งย้ำขึ้นไปใหญ่
“ฝากด้วยละ”
“ของมันแน่อยู่แล้ว”
ผมยิ้ม เคียวยะแสยะยิ้มตาม พวกเราสองคนที่เคยเป็นตัวร้ายในเรื่องราว บัดนี้ได้สัญญาที่จะช่วยเหลือกันจนไปถึงที่สุด
****
นักรบที่แข็งแกร่งที่สุดยืนอยู่บนผิวน้ำ แหงนหน้ามองท้องฟ้าในร่างกายที่โรยราลงอย่างเห็นได้ชัด
“….”
“ดูเปลี่ยนไปนะคะ ไรเดน”
เสียงที่แสนอ่อนหวานของผู้เป็นนายดังขึ้นจากข้างหลัง ไรเดน อาคาสะ รู้สึกแปลกใจกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกายอย่างมหาศาล เนื่องจากว่าเขาไม่อาจสัมผัสถึงเสียงของฝีเท้าเมื่อครู่ได้เลย ทั้งๆที่โดยปกติ เขาจะอ่านการเคลื่อนไหวจากเสียงนับกิโลเมตรได้แท้ๆ
“ดูท่าจะเจอศึกใหญ่เข้าจริงๆนะคะ”
“นั่นสินะครับ”
ไรเดน อาคาสะ หันหลังกลับไป และนั่งคุกเข่าให้แก่นายหญิงของตนเอง
“ถึงอย่างไรก็ทำภารกิจสำเร็จแล้วครับ ท่านโทมิเรีย”
“ยอดเยี่ยมมากค่ะ ไรเดน …สภาพตอนนี้”
“ว่ากันตามตรง ร่างกายนี้คงจะไปต่อไม่ไหวแล้วละครับ”
“น่าเสียดายนะคะ”
“การที่ไม่ได้รับใช้ ท่านโทมิเรีย ต่อไปนั้น ..น่าเศร้าอย่างยิ่งครับ”
โทมิเรียนั่งลงไปกับผิวน้ำ เธอใช้มือสองข้างโอบแก้มของตัวเองและแหงนหน้ามองท้องฟ้าเหมือนกับ ไรเดน เธออยากที่จะรู้สึกอย่างเดียวกับที่ไรเดนทำตอนนี้ เขาคนนี้กำลังมองอะไรอยู่ กำลังคิดอะไรอยู่ อยากจะรู้เรื่องพวกนี้ จึงทำอย่างนั้น เพราะคนๆนี้คือลูกน้องข้างกายที่ยอดเยี่ยมที่สุดเลยใส่ใจ และให้ความเคราพที่สุด
“ไรเดน ทำงานมามากพอแล้วค่ะ พักผ่อนบ้างก็ดี เริ่มจากนั่งเงียบๆตรงพื้นดีรึเปล่าคะ?”
“ไม่เป็นไรครับ กระผมอยากจะสัมผัสการยืนให้นานกว่านี้อีกสักนิด ก่อนที่จะไม่ได้ยืนอีกแล้ว”
หมายความว่าร่างกายโทรมขึ้นขนาดนั้นเชียวละ ได้ยินอย่างนั้นโทมิเรียก็ผุดสีหน้าเศร้าๆขึ้นมา ต่างกับไรเดนที่ดันยิ้มออกมาด้วยใบหน้าดุๆเข้มๆตามเดิม
“ไม่มีเรื่องใดที่เสียใจแล้วนะครับ”
“รู้แล้วค่ะ ไรเดนจงรักภัคดี และอยากจะรับใช้ฉันถึงขนาดนั้น ฉันรู้ดีค่ะ แค่รู้สึกเสียใจที่ในฐานะเจ้านายของไรเดน ฉันไม่สามารถตอบแทนอะไรให้ไรเดนในบั้นปลายได้เลย” โทมิเรียถอนหายใจเฮือกโต “หลังจากจบเรื่อง ฉันก็คงต้องอพยพออกจากอาณาจักรเนลยอนเหมือนกัน ตามที่ได้คุยกับท่านรัฐมนตรีเอาไว้ ตัวตนของฉันไม่จำเป็นต่ออาณาจักรแห่งนี้อีกต่อไปแล้ว เนื่องจากเกิดมาในสายเลือดราชวงศ์ที่จะถูกจารึกว่าเป็นผู้ ‘ทรยศ’ น่ะค่ะ ลำพังสิ่งที่มี อย่างมากก็คงมอบได้แค่เงินจำนวนไม่มากเท่าที่ควร”
“ไม่จริงเลยครับ ท่านโทมิเรียมอบหลายสิ่งหลายอย่างให้กระผมมากกว่าที่ท่านรู้เสียอีก”
“ไรเดน ..อย่าบอกนะว่านายจะเป็น ‘โลลิค่อน’ เหมือนกับท่านสุภาพบุรุษเพลิงสังหาร”
“ไม่ใช่ครับ ก็จริงที่กระผมหลงใหลในตัวของท่านโทมิเรีย แต่ไม่ใช่ในเรื่องจำพวกนั้น”
“โล่งอกไปที”
ไรเดน อาคาสะ ยิ้มเล็กยิ้มน้อย สภาพเช่นนี้ไม่เหมาะกับเขาที่มีใบหน้าดุร้ายเลยสักนิด
“ท่านทำให้จำได้ครับ ถึงเป้าหมายที่แท้จริงที่เริ่มจับดาบ ไม่ใช่เพื่อเกียรติยศ หรือว่าความสงบสุขของอาณาจักร ไม่ใช่ความสุขของคนอื่น แต่เป็นใจจริงของตัวกระผมเอง”
“….”
“ตอนที่จับดาบครั้งแรก ก็แค่อยากจะ–มีที่อยู่เหมือนกับคนธรรมดาครับ ไม่ได้อยากจะเป็นอะไรที่พิเศษเลย ปารถนาเพียงความธรรมดาในชีวิต ชีวิตนี้มันไม่มีอะไรมีค่าไปกว่า–”
“การได้นอนอยู่บ้านสบายๆหลังจากทำงานเสร็จสินะ? ฉันเคยพูดด้วยสินะประโยคนั้น”
“ใช่ครับ เพราะประโยคนั้นนี่แหละถึงทำให้กระผมเลิกที่จะกดดันตัวเองในฐานะนักรบที่แข็งแกร่งที่สุด แล้วจดจ่อกับวันหยุดหลังจบงานเสมอๆ อีกอย่าง ตอนทำงานกับท่านโทมิเรียก็มีเวลาว่างกับผ่อนคลายมากกว่าการนำกองทัพไปสู้กับที่อื่นเป็นไหนๆครับ”
โทมิเรียทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ออกมา
“นี่ฉันทำนักรบในตำนานเสียคนสินะคะ”
กล่าวเช่นนั้นจบก็หัวเราะแห้งๆออกมาประหนึ่งตบมุกไปในตัว ไรเดน อาคาสะ พยักหน้ารับเบาๆ
“ตั้งแต่ที่เกิด กระผมไม่เคยได้สัมผัสความธรรมดาในชีวิตเลย เกิดมาก็เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ที่รอบข้างบอกให้ขัดเกลา ไม่นาน ตระกูลก็เกิดมีปัญหาจนตัวเองต้องไปพัวพันกับสงครามแต่เด็ก หากไม่พยายามก็จะไม่มีทางรอดชีวิตไปได้ พอผ่านพ้นความตายมา ได้รับเกียรติยศ วันเวลาก็เริ่มห่างไกลกับสิ่งที่เรียกว่าการใช้ชีวิตแบบคนทั่วไป ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่ได้กลายเป็น ‘นักรบที่แข็งแกร่งที่สุด’ กลายเป็น ‘คู่ปรับของเอเธอร์’ …มีแค่ท่านโทมิเรียนี่แหละครับที่ปปฏิบัติกับกระผมแบบธรรมดาๆ และให้ใช้ชีวิตแบบธรรมดา ตอนนี้กระผมก็กำลังได้เหตุผลในการรีไทร์ดีๆ ไปนั่งชมวิวทิวทัศน์ในที่ไกลแสนไกลแล้วด้วยครับ ต้องขอขอบคุณท่านโทมิเรีย”
“การดึงดาบ ‘มาซามุเนะ’ ออกมาคือไพ่ตายในการหนีงานสินะ ไม่เลวเลยนะคะเนี่ย ไรเดน ในฐานะคนที่มีความฝันสูงสุดเป็นนีทติดบ้าน ขอชื่นชมค่ะ”
แม้ไรเดนจะดูดีเกินไปสำหรับคำๆนั้น แต่ว่า
“เป็นเกียรติครับ”
“ฉันเองก็จะพยายามเพื่อจุดมุ่งหมายการว่างงานเหมือนกันนะคะ จะได้หมกตัววาดโดจินของมังงะ นิยายที่ชอบ แล้วก็ไปออกอีเวนท์บ่อยๆ ..”
“ถ้าหากตามท่านเรเซอร์ไป อาจจะได้ตามที่หวังก็ได้นะครับ”
“พูดอะไรของคุณเนี่ย ไรเดน”
โทมิเรียหัวเราะร่าขึ้นมา ไรเดนหัวเราะในลำคออย่างที่มีความสุข
ช่วงเวลาแห่งความสุข การจากลาระหว่างนายเหนือหัวและข้ารับใช้กำลังเดินอยู่ ทั้งหมดคือช่วงเวลาแสนวิเศษที่สุดสำหรับทั้งสองคน
ทว่า
สัมผัสแปลกๆได้ก้าวเข้ามาไม่ไกลจากนี้ ไรเดน อาคาสะ รับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่างและขยับร่างตอบโต้ในทันที โทมิเรียเบิกตาโพงกว้าง ตอบโต้อะไรไม่ทัน
“ใครกั–น!?”
‘แข็งแกร่งที่สุด’ โผล่มาตรงหน้าของไรเดน ด้วยสภาพที่โชกไปด้วยเลือด และ–มีดวงตาที่ว่างเปล่ายิ่งกว่าทุกๆครั้ง เพียงแค่สบตา ไรเดนก็รับรู้ได้ทันทีว่าคนๆนี้แปลกไปจากทุกที นอกจากนั้น—ก็สัมผัสได้ถึงภัยคุกคามอันน่าหวาดกลัว
ไรเดน อาคาสะ ตวัดดาบสุดแรงเกิด โดยไม่รู้เลยว่าก่อนหน้านั้นเพียงไม่ถึงวิ อีกฝ่ายก็ได้เคลื่อนไหวร่างกาย หมายจะขยี้ร่างของโทมิเรียทิ้ง
ทั้งหมดเกิดขึ้นในไม่ถึงวินาที
แขนข้างขวาของไรเดนลอยขึ้นไปบนฟ้า ด้วยความเร็วของชายผู้เป็นภัยคุกคามที่เหนือกว่าอย่างท่วมท้น ชายผู้นั้นย่างก้าวผ่านไรเดนอย่างง่ายดาย
“เอเธอร์?”
“ไม่ได้พบกันนานนะครับ”
เอเธอร์หยุดเดิน และหันกลับมามองไรเดน แววตาที่แสนเย็นชาแล่นผ่านร่างกายของยอดนักรบ ก่อนยิ้มให้
“แล้วก็-ลาก่อนครับ”