“มังกรเพลิงสังหาร!” มังกรเพลิงสีแดงเข้มตัวหนึ่งได้พุ่งออกไป และมันช่างยากแก่การที่จะป้องกันได้!
“อ๊าก!” เสียงกรีดร้องเสียงหนึ่งดังออกมาจากการฆ่าฟันของมังกรเพลิง การดิ้นรนพยายามทั้งสิ้นล้วนแต่ไร้ประโยชน์!
ก้นบึ้งหัวใจของอีกสองคนที่เหลืออยู่นั้นเย็นยะเยือก สาวน้อยผู้นี้แข็งแกร่งเสียจนวิปริตไปมากกว่าที่พวกเขาได้จินตนาการเอาไว้ ช่างรับมือได้ไม่ง่ายดายเลยจริง ๆ
“จัดการ!”
“มังกรวารีพิฆาต!”
ความหนาวเหน็บแผ่ซ่านมาจากทั่วทั้งบริเวณ มู่เฉียนซีได้ระเบิดพลังของทักษะตี้ซวนและทักษะเทียนซวนเข้าไปอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งพวกเขานั้นมึนงงจับต้นชนปลายไม่ถูก
ตูม!
“ทักษะเทียนซวน!”
ปัง!
เป็นการโจมตีอีกครั้งหนึ่งที่โจมตีให้กระเด็นลอยออกไป!
คนสุดท้ายที่เหลืออยู่นั้นตัวของเขาเต็มไปด้วยเลือดทั้งตัว
เขาพุ่งเข้าไปทางมู่เฉียนซีแล้วกล่าว “สาวน้อย ข้าขอสู้จนตัวตายกับเจ้า!”
เขารู้ว่าหากคิดที่จะเอาชนะเด็กสาวผู้วิปริตผู้นี้นั้น มันคงเป็นแค่เพียงความเพ้อฝันที่ฟุ่มเฟือย ดังนั้นแล้วจึงทำได้แต่เพียงต้องเอาชีวิตเข้าแลก!
กู้ไป๋อีตะลึงงันเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังที่อยู่รอบด้าน เขากล่าวขึ้นด้วยความตระหนก “สาวน้อย เขาจะระเบิดตัวเองแล้ว รีบหลบไป!”
“นายท่าน!”
ในตอนนี้อู๋ตี้เองก็มิอาจที่จะสนใจกู้ไป๋อีได้แล้ว มันรีบพุ่งกระโจนเข้าไปทางนาง!
บึ้ม!
เสียงดังกึกก้องเสียงหนึ่งดังขึ้น หอน้ำชาทั้งหอได้พังทลายลง กู้ไป๋อียังมิทันที่จะได้เข้าใกล้ตัวของมู่เฉียนซีก็ได้หล่นลงไปจากหอเสียแล้ว
ปัง!
แสงสีฟ้าอ่อน ๆ ได้ห่อหุ้มตัวของมู่เฉียนซีเอาไว้ การระเบิดทำลายตนเองของบุคคลระดับมหาจักรพรรดินั้นมิอาจที่จะทำอะไรนางได้เลย
อู๋ตี้กล่าวขึ้น “นายท่านไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว!”
สีหน้าของมู่เฉียนซีพลันเปลี่ยนไป “เสี่ยวไป๋เล่า!”
อู๋ตี้ตะลึงงัน “เมื่อครู่ข้ามัวแต่ไปเป็นห่วงนายท่าน จึงได้ลืมเจ้าหมอนั่นไป หอแห่งนี้ก็ได้พังทลายลงแล้ว เขาคงจะไม่โดนทับถมตายไปหรอกกระมัง!”
มู่เฉียนซีกล่าวขึ้นอย่างรีบร้อน “ยังไม่ไปหาตัวเขาอีก!”
ถึงแม้ว่ากู้ไป๋อีจะเป็นคนของตำหนักเป่ยหาน แต่ทว่าเจ้าหมอนี่มีจิตใจที่บริสุทธิ์ของวิถียุทธ์ นางจึงไม่อยากให้เขามาตายไปไวนัก
อีกทั้งยังเป็นการตายโดยการถูกซากตึกถมทับ หากว่าเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป เกรงว่าคงจะได้เป็นที่ขบขันของโลกทั้งสี่ทิศ สุสานของเจ้าหมอนี่คงจะเกิดควันปกคลุมขึ้นด้วยความเร่าร้อนเป็นแน่
มู่เฉียนซีกล่าวขึ้นอีกครั้ง “ยังไม่รีบไปหาตัวอีก!”
เหล่าซากวิหคกระหายเลือดเหล่านั้นก็รู้ว่าผู้ที่โจมตีมิตรสหายของพวกมันนั้นอยู่ในตึกแห่งนี้
รอจนเมื่อตึกทั้งตึกได้พังทลายลงก็ไม่มีอะไรที่จะสามารถบดบังแล้ว ไม่นานนักพวกเขาก็หาตัวบุคคลที่เป็นนิยมของมู่เฉียนซีผู้นี้ได้เจอ แต่จากนั้นที่ตรงนั้นก็ได้ถูกล้อมเอาไว้อย่างรวดเร็ว
มู่เฉียนซีรีบไปหากู้ไป๋อีอย่างรีบร้อน และไม่มีเวลาให้สิ้นเปลืองไปกับเหล่าสัตว์วิญญาณระดับเจ็ดพวกนั้น
มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “เสี่ยวหง เผาพวกมันเสียให้หมดสิ้น”
เสี่ยวหงกล่าวตอบ “รับทราบ!”
การให้มันที่เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับที่สามไปเผาสัตว์วิญญาณระดับที่เจ็ดนั้น มันช่างง่ายดายเหมือนกับการย่างไก่ก็มิปาน
มู่เฉียนซีไปหาตัวเขาที่ซากปรักหักพัง นางกล่าวขึ้น “เสี่ยวไป๋ จะให้ดีที่สุดคือเจ้าคงอดทนเอาไว้ ขอแค่เพียงเจ้ายังมีลมหายอยู่ลมหายใจหนึ่ง ข้าผู้เป็นนายก็สามารถช่วยเจ้าให้รอดชีวิตได้”
ปัง!
ในตอนนี้เอง เงาร่างสีขาวเงาหนึ่งก็ได้พุ่งออกมาจากซากปรักหักพัง
กู้ไป๋อีค่อย ๆ เดินเข้ามาที่ด้านหน้าของมู่เฉียนซีอย่างช้า ๆ “สาวน้อย ข้ามิได้เหลือแค่เพียงลมหายใจลมหนึ่งเท่านั้น เกรงว่าคงจะทำให้เจ้าผิดหวังเสียแล้ว”
บนร่างของเจ้าหมอนี่มีความผันผวนของพลังชีวิตแล้ว!
จักรพรรดิยอดยุทธ์ขั้นที่หนึ่ง!
มู่เฉียนซีชักกระบี่มังกรเพลิงออกมาแล้วจ่อเข้าไปที่คอของเขา นางกล่าวขึ้น “เจ้าอย่าได้คิดว่าพลังของเจ้าฟื้นฟูขึ้นมาบ้างแล้วเล็กน้อยก็สามารถที่จะไม่เคารพข้าได้ เพียงแค่จักรพรรดิยอดยุทธ์ขั้นที่หนึ่งเท่านั้น ข้าจะสามารถจัดการกับเจ้าอย่างไรก็ได้”
กู้ไป๋อีกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “คุณหนูใหญ่ ข้าทำให้คุณหนูกังวลใจเสียแล้ว! เป็นความผิดของข้าเอง!”
ปัก ปัก ปัก!
ในตอนนี้เอง เสี่ยวหงได้ย่างพวกที่อยู่บนอากาศเหล่านั้นเสียแล้ว
“บ้าจริง! ในเมืองนั้นกลับมีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งอยู่ รีบถอยเร็ว!” แน่นอนว่าคนของกลุ่มเจ้าเมืองเหลยที่อยู่ด้านนอกเมืองได้หวั่นกลัวเสียแล้ว จึงได้คิดที่จะหนีเอาไว้ก่อนเป็นการดี
แต่ในตอนนี้เองเย่เฉินได้นำกำลังคนตามฆ่าฟันพวกนั้นไป “จะปล่อยให้พวกมันหนีไปไม่ได้”
“ตามไป!”
จากนี้ไปก็เป็นละครฉากสนุกที่พวกคนของเมืองเหลยนั้นรบแพ้แล้วต้องหนีเอาชีวิตรอดเสียแล้ว เย่เฉินได้นำกำลังคนตามไล่ต่อยตี และได้รับความสำเร็จไปมิน้อย
เจ้าเมืองเหยียนนั้นมิได้มีความรู้สึกที่ดีต่อผู้ที่ดูเหมือนบัณฑิตที่อ่อนแอแต่กลับมีความคิดอันล้ำลึกผู้นี้มาโดยตลอด และคิดว่าเขานั้นไม่คู่ควรกับบุตรสาวของตน แต่การต่อสู้ในวันนี้ทำให้เขากลับรู้สึกว่าเย่เฉินผู้นี้กลับมีท่าทีของผู้ที่เป็นแม่ทัพใหญ่
รอจนกระทั่งคนของเมืองเหลยนั้นได้ถอยหนีไปจนหมดสิ้น เมืองเหยียนทั้งเมืองก็ได้คืนสู่ความสงบอีกครั้ง
มู่เฉียนซีมองไปทางกู้ไป๋อีแล้วกล่าวขึ้น “ข้านั้นยังพอใจในตัวเจ้าอยู่ ถ้าหากว่าเจ้ามิอยากให้ข้าใช้วิธีการอะไรที่ไม่ธรรมดาทั่วไปมาควบคุมเจ้า ก็จงอย่าได้คิดจากไปโดยพลการ”
กู้ไป๋อีกล่าวด้วยน้ำเสียงอันราบเรียบ “พลังความสามารถของข้ายังไม่ฟื้นฟูจนเต็มขั้น ข้าจะไม่จากไปโดยพลการ”
“ดี!”
มู่เฉียนซีและกู้ไป๋อีได้กลับไป หลังจากที่นางพบว่าพลังความสามารถของกู้ไป๋อีนั้นฟื้นฟูขึ้นมาถึงระดับจักรพรรดิยอดยุทธ์ขั้นที่หนึ่ง นางก็ได้ค้นพบแผ่นดินผืนใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง
ดวงตาของมู่เฉียนซีมีร่องรอยของรอยยิ้ม “ในเมื่อพลังความสามารถของเจ้าได้ฟื้นฟูขึ้นมาบ้างเล็กน้อยแล้ว เช่นนั้นนับตั้งแต่ตอนนี้ไปข้าจะไม่สะกดพลังวิญญาณของตัวข้าเองแล้ว เจ้ามาสู้กับข้าสักคราเถิด!”
“คุณหนูใหญ่ต้องการที่จะแก้แค้น?”
“แก้แค้น แน่นอนว่าอยากจะแก้แค้นเจ้า สู้กับเจ้ามาตั้งนานเช่นนั้นแล้วแต่ท้ายที่สุดก็ทำได้เพียงแค่เสมอกัน มาวันนี้พอดีว่าสามารถวัดกันด้วยพลังวิญญาณได้”
นางได้สะกดพลังวิญญาณของตัวเองและต่อสู้กับเขา มาตอนนี้สามารถที่จะใช้พลังวิญญาณและระเบิดพลังออกมาได้ เช่นนี้จะสามารถทำให้เขาได้ดื่มด่ำเต็ม ๆ สักเหยือกแน่
“ได้!” กู้ไป๋อีมิได้ปฏิเสธ จากนั้นเขาก็ถามขึ้นว่า “เมื่อใด?”
“เช่นนั้นก็ ตอนนี้?”
ซึบ!
ทันทีที่มู่เฉียนซีได้สะบัดมือ สิ่งแรกที่พุ่งออกไปนั้นก็คือเข็มยาของนาง
กู้ไป๋อีหลบออกไปทางด้านข้างของตน มู่เฉียนซีก็ได้พุ่งเข้าไปในทันที “มังกรวารีพิฆาต!”
กู้ไป๋อีระบำลอยตัวออกไป และเขาก็ยังหลบมันไปได้อย่างสบาย ๆ เช่นเดิม
แม้ว่าพลังความสามารถของเขาในตอนนี้จะเป็นเพียงจักรพรรดิยอดยุทธ์ขั้นที่หนึ่งก็ตาม แต่กลับรับมือได้ยากกว่าจักรพรรดิแห่งภูตินับหลายสิบคนนัก
“ทางที่ดีที่สุดคือให้คุณหนูใช้แรงพลังทั้งหมดที่มี!” กู้ไป๋อีกล่าว
“เจ้าแน่ใจนะ!” มู่เฉียนซีเลิกคิ้วขึ้นเบา ๆ
“นั่นแน่นอน!”
มู่เฉียนซีพุ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว ทักษะฝ่ามือหนึ่งร่วงหล่นลงไปโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย!
“ทักษะตี้ซวน!”
ตูม!
นี่เป็นครั้งแรกที่กู้ไป๋อีเผชิญหน้ากับทักษะวิญญาณอันแข็งแกร่งนี้ของมู่เฉียนซี เขากล่าว “เป็นทักษะวิญญาณที่ลึกลับยิ่งนัก แม้แต่ข้าเองก็ไม่เคยพบเจอมาก่อน”
“เช่นนั้น ก็จงลองทักษะเทียนซวนเถอะ!”
เมื่อแขนของมู่เฉียนซีเริ่มขยับ นางก็ได้ลงมืออีกครั้งหนึ่ง!
บึ้ม!
ถึงแม้ว่ามู่เฉียนซีได้ใช้ทักษะเทียนซวนที่เป็นกระบวนพิฆาตฆ่าออกมาแล้ว แต่ทว่ากู้ไป๋อีก็ยังคงหลบได้อยู่เช่นเดิม
“นี่ยังไม่ใช่พลังทั้งหมดของเจ้า”
มู่เฉียนซีถามขึ้น “เจ้ากำลังบีบบังคับให้ข้าใช้กระบี่หรือ?”
“ข้าอยากลองดู”
“เจ้าเคยชินกับการใช้กระบี่หรือสิ่งอื่นใด?” มู่เฉียนซีถามขึ้น
“กระบี่!” กระบี่ที่อยู่ในมิติได้ถูกมู่เฉียนซีนำออกมา
“เลือกดูเถิด! อย่าได้หาว่าข้ารังแกเจ้า”
กู้ไป๋อีก้มตัวลงแล้วหยิบกระบี่เล่มที่ดูไม่เข้าตาและเป็นอาวุธวิญญาณขั้นที่ต่ำที่สุดขึ้นมา
มู่เฉียนซีกล่าว “เสี่ยวไป๋ สายตาของเจ้านี่ก็สูงไปกระมัง! เจ้าไม่ชอบของสะสมของข้า!”
“มิใช่ว่าไม่ชอบ แต่ข้าเพียงแค่อยากจะลองกระบี่ที่คุณหนูใหญ่หลอมขึ้นมาก็เท่านั้นเอง”
เขามองเพียงแวบเดียวก็สามารถมองออก การตีหลอมกระบี่ของเล่มนี้มันเหมือนกับธนูที่เขาเคยใช้มิมีผิด
มู่เฉียนซีกล่าว “อย่างไรเสียก็ไร้ประโยชน์ ในเมื่อเจ้าอยากจะใช้ขยะนั่น เช่นนั้นก็จงใช้มันดูสักครั้งเถอะ!”
มู่เฉียนซีกวัดแกว่งกระบี่ออกไป นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “กระบี่มังกรเพลิงสังหาร!”
เมื่อกระบี่เล่มยาวอีกเล่มได้เริ่มกวัดแกว่ง มันก็เต็มไปด้วยความเยือกเย็นจากพลังชีวิตของเขา
เห็นกันอยู่ชัดชัดว่าเขานั้นมีเพียงพลังของจักรพรรดิยอดยุทธ์ขั้นที่หนึ่งเท่านั้น เมื่อกระบี่เล่มนั้นได้กวัดแกว่งมันก็กลับยับยั้งพลังอำนาจของมังกรเพลิงเอาไว้ได้
ไม่ว่ามังกรจะถูกกักขังเอาไว้ที่ทรายอันตื้นเขินแต่มังกรก็ยังคงเป็นมังกรอยู่ดี กู้ไป๋อีช่างเป็นผู้แข็งแกร่งที่น่ากลัวผู้หนึ่งเสียจริง
มู่เฉียนซีกล่าวออกมาด้วยความไม่ยอมใจ “เอาอีกครั้ง!”