“ฉันรู้แล้วว่าเขาเป็นใคร ไม่น่าถึงดูคุ้นตา เขาคือเฉินฉีประธานใหญ่หรูอี้กรุ๊ป คนที่รวยที่สุดในแถบตะวันออกเฉียงเหนือ! น้องพี่ พวกเราจะยิ่งใหญ่กันแล้ว ฮ่าๆ…” หงเชียนสี่หัวเราะเสียงดัง
หงเชียนเจี๋ยหัวเราะตาม สองคนกอดกันแสดงความยินดี แล้วจึงไปจุดธูปไหว้พระอย่างมีความสุข จุดธูปเสร็จก็เดินหัวเราะเสียงดังเบิกบานลงเขาไป ขี่รถจักรยานกลับมหาวิทยาลัยเพื่อเตรียมอุปกรณ์
ฟางเจิ้งยืนอยู่บนเขา มองส่งสองคนนี้ด้วยรอยยิ้มน้อยๆ เพียงแต่พอนึกถึงตอนที่สองคนนี้พูดเสียงดังว่า ‘พี่ผีพราย’ เขาก็เกิดอยากด่าแม่ขึ้นมาทันที…ทั้งบ้านแกนั่นแหละเป็นผีพราย!
ฟางเจิ้งกลอกตา ก่อนถามด้วยความเจ้าเล่ห์ “ระบบ นายดูสิฉันช่วยคนอีกแล้วไม่ใช่เหรอ…”
“ติ๊ง อย่าได้คิด เรื่องนี้นายเลือกได้ว่าจะทำหรือไม่ทำ ถึงยังไงต่อให้ชาตินี้พวกเขาไม่ใช้บุญกุศลแลกกับดวงดี ชาติหน้าก็จะได้รับกรรมดีอยู่วันยันค่ำ นายแค่ทำให้พวกเขาโชคดีก่อนล่วงหน้าเท่านั้น” ระบบตอบ
ฟางเจิ้งพูด “นายบอกเองไม่ใช่เหรอว่าเรื่องในอนาคตไม่แน่นอน ใครจะรู้เรื่องในภพหน้า? ตอบแทนชาตินี้เลยต่างหากที่จะทำให้ทุกคนได้รับประโยชน์ที่แท้จริง จะได้ชอบทำความดีสั่งสมบุญกุศลมากกว่าเดิมด้วย”
ระบบตอบ “ถ้าไม่มีบุญกุศลเป็นพื้นฐาน ชาติหน้าจะเป็นยังไง? ยังต้องล้มลุกคลุกคลานทรมานในโลกโลกีย์ต่อไป? ชาตินี้ลำบาก ชาติหน้าสบาย”
ฟางเจิ้งส่ายหน้า “ในความลำบากมีความสบาย ในความสบายมีความลำบาก นี่ต่างหากคือชีวิต ถึงทุกอย่างราบรื่นก็ไม่แน่ว่าจะมีความสุข ระบบ จุดนี้ฉันเข้าใจกว่านายเพราะว่าฉันเป็นคน นายล่ะ…อ้อจริงสิ นายเป็นตัวอะไรกันแน่?”
ระบบ “@#¥@…”
วันต่อมา ฟางเจิ้งตามหงเสียงไปดูขั้นตอนการจัดงานของวัดผาแดงอย่างละเอียด เขาใช้ใจจดจำทุกอย่างไว้ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ เดิมทีหลวงจีนหงเหยียนอยากให้ฟางเจิ้งขึ้นเวทีไปพูดสักหน่อย แต่ฟางเจิ้งคิดๆ ดูแล้วตนไม่มีอะไรจะพูด เลยปฏิเสธไปอย่างนุ่มนวล นอกจากสวดมนต์กับทุกคนแล้ว เวลาอื่นๆ ก็ทำเพียงแค่ดู
ฟางเจิ้งไม่โผล่หัวออกไป แต่มีตัวหนึ่งอวดตนอย่างเต็มที่ นั่นคือเจ้าลิง!
ลิงสวมจีวรเดินไปมาในวัดเหมือนคนทุกประการ เมื่อมีคนทิ้งขยะ มันจะเก็บไปโยนไว้ในถังขยะ ลูกใครร้องไห้มันจะเข้าไปกระโดดโลดเต้นหยอกล้อ กระทั่งสวดมนต์กับนักบวชด้วย! มันตามฟางเจิ้งอยู่ตลอด ดังนั้นทุกการกระทำจึงอยู่ภายใต้เงาของฟางเจิ้ง ไม่ว่าเจอใครจะพยายามทำให้ตนสงบลง ยิ้มเป็นมิตรให้ ญาติโยมที่มาต่างแปลกใจ กระทั่งเรียกลิงว่าเป็นไต้ซือลิง แถมยังถ่ายรูปต่างๆ เก็บไว้แชร์ลงในโซเชียล
อีกทั้งยังมีคนไปถามนักบวชวัดผาแดงว่าลิงนี่มาจากไหน พอได้ยินว่าเป็นลิงนักบวชวัดเอกดรรชนี ต่างก็อยากรู้อยากเห็นทันทีว่าวัดเอกดรรชนีเป็นยังไงกันแน่?
ภายใต้การเค้นความจริงรวมถึงการกระจายข่าวในโซเชียลมีเดีย ชื่อเสียงของวัดเอกดรรชนีถูกพูดถึงอย่างร้อนแรงอีกครั้ง
พอนึกได้ว่าหนังเรื่องล่มเมืองก่อนหน้านี้ก็ถ่ายบนเขาเอกดรรชนีด้วย ก็เอาสองเรื่องนี้มาเชื่อมโยงกันทันที ชื่อเสียงวัดเอกดรรชนีเลยเริ่มโด่งดังออกไปทีละน้อย…
“ติ๊ง! ยินดีด้วย ผลงานของเจ้าลิงได้รับการยอมรับจากทุกคน ชื่อเสียงวัดเอกดรรชนีกำลังกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว แต่ว่ายังขาดอีกนิดหน่อยภารกิจถึงจะสำเร็จ ฉันขอเตือนนายว่าต้องเร่งมือแล้ว…” ระบบกล่าว
ฟางเจิ้งที่เพิ่งกลับมาถึงกุฏิชะงัก ไม่นึกเลยว่าระบบจะมาแจ้งเอาตอนนี้ น่าเสียดายที่ไม่ได้แจ้งว่าสำเร็จภารกิจ แต่พอได้ยินว่าลิงทำตัวโดดเด่นแบบนี้ เขาก็จดจำความดีความชอบของมันไว้แล้ว ลูบหัวลิงพลางเอ่ย “วันนี้ทำได้ดีมาก กลับไปจะเพิ่มข้าวให้ ถ้านายไม่อยากกวาดพื้นแล้วก็ได้นะ”
แต่สิ่งที่ฟางเจิ้งแปลกใจคือ เจ้าลิงส่ายหน้า “เจ้าอาวาส ฉันว่าถ้าเป็นไปได้ให้ฉันกวาดพื้นต่อไปเถอะ แล้วเปลี่ยนรางวัลนั่นเป็นเพิ่มข้าวแทนได้ไหม?”
ฟางเจิ้งอับจนคำพูด
เขาถามด้วยความไม่เข้าใจ “นายติดใจการกวาดพื้นหรือไง?”
“ไม่ใช่ คือฉันรู้สึกว่านายสวดมนต์ในอุโบสถ ฉันกวาดใบไม้ข้างนอก ตอนนั้นจิตใจจะสงบเป็นพิเศษ สบายมากขึ้น ฉันชอบความรู้สึกอย่างนั้น” ลิงตอบด้วยมาดขรึม
ฟางเจิ้งพยักหน้า ปลงอนิจจังในใจ ลิงนี่มีสติปัญญาจริงๆ ด้วย
เมื่อเป็นอย่างนั้น ฟางเจิ้งจึงใจกว้าง “ได้สิ นายกวาดพื้นต่อไป อนุญาตให้เพิ่มข้าวได้ เพิ่มเยอะๆ เลย”
เจ้าลิงกระโดดตีลังกาอยู่กับที่อย่างมีความสุข หัวเราะดังเคี๊ยกๆ
ตกกลางคืน ฟางเจิ้งหยิบสมุดเล่มเล็กออกมาบันทึกสิ่งที่เห็นทั้งหมดในวันนี้ บันทึกไปพลางพูดไปพลาง ลิงข้างๆ ไม่เข้าใจอักษร แต่ฟังเข้าใจ เจอจุดที่ตกหล่นอะไรก็ช่วยเสริมให้สักสองประโยค เป็นอย่างนี้ไปครึ่งคืน ฟางเจิ้งบันทึกไปเกือบครึ่งสมุดถึงจะเข้านอนบนเตียงเตา
หนึ่งคืนผ่านไปเงียบๆ วันต่อมาหวังโอ้วกุ้ยมารับฟางเจิ้งแต่เช้า ฟางเจิ้งบอกลาหลวงจีนหงเหยียน ขึ้นรถจักรยานยนต์กลับวัดเอกดรรชนี
ขณะเดียวกันนั้น ในเมืองสำหรับถ่ายภาพยนตร์แห่งหนึ่ง
“ผู้กำกับครับ จะฉายจริงๆ เหรอครับ?” เหล่าเถาถาม
“ฉายอยู่แล้ว ฮ่าๆ…ถึงหลวงพี่ฟางเจิ้งไม่อยากถ่ายต่อก็เถอะ แต่ฉากคลาสสิกแบบนี้ก็ต้องใช้แล้ว” อวี๋กว่างเจ๋อหัวเราะ
“แล้ว…ทางด้านหลวงพี่ฟางเจิ้งจะว่ายังไงล่ะครับ” เหล่าเถาถาม
“อืม…นี่ก็เป็นปัญหาที่ฉันต้องคิด แต่หลวงพี่ฟางเจิ้งยอมเป็นนักแสดงรับเชิญแล้ว น่าจะไม่สนใจเรื่องในหนังหรอก อีกอย่างวัดก็อยากได้แสงสว่างธูปอยู่แล้ว อย่าลืมใส่ที่อยู่วัดเอกดรรชนีไว้ข้างบนด้วยล่ะ” อวี๋กว่างเจ๋อกำชับ
“ครับๆ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมไปเตรียมตัว ไวรัลมาร์เก็ตติ้งครั้งนี้น่าจะช่วยได้มากแน่ๆ…แต่ว่าผู้กำกับครับ ถ้าในหนังพวกเราไม่มีฉากนี้จะไม่โดนคนด่าเหรอครับ?” เหล่าเถาถาม
“นี่ไม่ใช่ปัญหาที่นายต้องคิด ไปเถอะ” อวี๋กว่างเจ๋อไม่กังวลเลย ถึงตอนนั้นความจริงกระจ่าง แต่ก็จะอาศัยโอกาสนี้สร้างกระแสสักหน่อย ไม่มีปัญหาอะไร
……….
วันนี้จูหลินตื่นนอนแต่เช้า หลังล้างหน้าบ้วนปากแล้วก็แต่งหน้าเตรียมทำงาน…ไลฟ์สด!
จูหลินเจ้าของฉายาราชินีมีมลทินจะต้องมีมลทินให้ถึงที่สุด ฉะนั้นการเก็บสะสมอุปกรณ์ต่างๆ และสำรองความรู้ของตัวเองจึงเป็นสิ่งจำเป็น เธอเปิดคอมพิวเตอร์ สิ่งแรกที่ดูคือข่าวเร็วๆ นี้
ผลคือเมื่อเปิดคอมพิวเตอร์ก็เห็นช่องบันเทิงออกข่าวหนึ่ง
‘ตะลึงงัน! จากกองถ่ายหนังล่มเมือง พวกคุณเคยเห็นหลวงจีนแบบนี้ไหม?’
“คลิปในกองถ่ายล่มเมือง? ฮึ วิธีสร้างกระแสล้าสมัยจริงๆ ไม่ดู!” จูหลินไม่ดูจริงๆ แต่ตอนที่เธอเห็นหลวงจีนรูปนั้นบนปกกลับชะงักทันที เอ่ยด้วยความตกใจ “ไม่ใช่มั้ง…ไต้ซือถ่ายหนังเหรอ? ทำพาร์ทไทม์เหรอ?”
จูหลินรีบเปิดคลิปดู ต่อมาเห็นเพียงฟ้ามืดครึ้ม เมฆดำกดทับลงมา เมื่อทหารเผ่าโหรวหรานบุกโจมตี การเข่นฆ่าก็เริ่มขึ้น เป็นฉากสู้กันสุดชีวิตแบบง่ายๆ หลายฉาก นิสัยฮวามู่หลันเปลี่ยนไป สุดท้ายเป็นศึกตัดสิน แนวหน้าทั้งหมดล้มตาย อีกทั้งเพลงประกอบชวนฮึกเหิม ทำให้คนเลือดร้อนระอุตาม!