บทที่ 293 อยู่ยงคงกระพัน
ฉู่ชวิ๋นพูดออกไปปุ๊บ ทุกคนต่างก็เงียบงัน
ตัวฉู่ชวิ๋นไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อยว่ากำลังพูดจาหักหน้าทุกคน
แต่ความเงียบไม่ได้แปลว่าสงบ บางทีนอกจากเขาแล้ว คนอื่น ๆ อาจจะพากันก่นด่าเขาว่าไร้ยางอายในใจอยู่
อ้อมโลกมาตั้งนาน สุดท้ายก็เพื่อดอกบัวจิตวิญญาณ แถมเอ่ยปากทีก็ขอซะ 8 ต้น 10 ต้น ช่างโลภมากเสียจริง ๆ
ถามหน่อยคนที่มาที่นี่ มีใครไม่มาเพื่อดอกบัวจิตวิญญาณบ้าง เรื่องนี้ทุกคนรู้ดีแต่ไม่มีใครพูดออกมาให้เสียบรรยากาศ แต่ไอ้หนุ่มนี้มันไร้มารยาทซะเหลือเกิน
“สหาย ฉันจะบอกอย่างตรงไปตรงมานะ 8 ต้น 10 ต้นน่ะไม่มีหรอก ทั้งตระกูลหยานก็มีดอกบัวจิตวิญญาณแค่ต้นเดียวเท่านั้น” หยานหวูซวงสะกดความวู่วามที่อยากจะชักกระบี่ออกมาสับฉู่ชวิ๋นเป็นชิ้น ๆ อย่างใจเย็น
“….” คราวนี้ฉู่ชวิ๋นเริ่มพูดไม่ออก “ก็ได้ ๆ ต้นเดียวก็ต้นเดียว ก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไร”
หยานหวูซวงพูดขึ้นทันที “สหาย ต้นเดียวก็ไม่ได้ ดอกบัวจิตวิญญาณเป็นยาใหญ่ ต้องเพาะในบ่อน้ำวิเศษ ครั้งนี้ตระกูลหยานเอาออกมาแค่ใบของดอกบัวจิตวิญญาณใบนึงเท่านั้น”
“แค่ใบเดียว ขี้งกเกินไปแล้ว” ฉู่ชวิ๋นพึมพำ จริง ๆ แล้วเขาเข้าใจแหละ แม้ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปแล้ว แต่ดอกบัวจิตวิญญาณก็ยังคงหายากจนน่ากลัว แค่เพียงใบเดียวก็ต้องอาศัยโอกาสและวาสนาอย่างสูงแล้ว
หยานหวูซวงมุมปากกระตุก กระบี่ยาวในมือสั่นคลอนเบา ๆ แต่สุดท้ายเขาก็อดทนเอาไว้ได้
หยานหวูซวงเดินไปหยิบกล่องหยกกล่องหนึ่งมาจากมือผู้เฒ่าคนหนึ่งและเปิดเบาๆ
ทันใดนั้น แสงอันเจิดจ้าก็พวยพุ่งออกจากกล่อง กลิ่นหอมยาอ่อนๆกระจายออกมา ทำให้ผู้คนหลงใหล
ใบไม้สวยสดใบหนึ่งปรากฏสู่สายตาของทุกคน
“ว้าว ๆ ขอบคุณมาก ๆ” ฉู่ชวิ๋นเอื้อมมือไปหยิบอย่างไร้ความเกรงใจ
หยานหวูซวงหมดคำพูดจริงๆ เขาปิดกล่องอย่างไม่ใยดีและหันไปยื่นให้
ผู้เฒ่าที่อยู่ด้านหลัง
“สหาย ใบนี้ถือเป็นของรางวัลในวันนี้ ถ้านายมั่นใจว่าจะเอาชนะผู้กล้า
ทุกคนในนี้ได้ มันย่อมเป็นของนาย” หยานหวูซวงกล่าวเขาอยากจะรีบฟัน
ฉู่ชวิ๋นให้ตาย ๆ ไปซะ
ฉู่ชวิ๋นพูดขึ้น “คุณชายหยาน ด้วยมิตรภาพของพวกเรา นายให้ฉันใบหนึ่งไม่ได้เหรอ”
หยานหวูซวงแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน ใครมีมิตรภาพกับนายไม่ทราบ ไม่ชักกระบี่ออกมาฟันนายให้ตายก็ดีแค่ไหนแล้ว
ฉู่ชวิ๋นทำอะไรไม่ได้ “งั้นก็ช่างเถอะ ฉันไม่เอาแล้ว ฉันเป็นคนรักสงบ
มีเมตตาอารีย์ไม่ชอบทำร้ายใคร ถ้าหากไปทำให้ใครบาดเจ็บเข้าในการต่อสู้ฉันจะไม่สบายใจเอา”
เอิ่ม
รอบนี้แม้แต่เหยาไป๋เยวี่ยยังแทบจะสาดเหล้าในแก้วใส่หน้าฉู่ชวิ๋น
คนอื่นยิ่งไม่ต้องพูดถึง แต่ละคนก่นด่าในใจว่าหน้าไม่อาย แกน่ะเหรอรักสงบ แกน่ะเหรอมีเมตตาอารีย์ไม่ชอบทำร้ายใคร คนที่มีเมตตาอารีย์จะฆ่าคน 4 คนได้โดยไม่กระพริบเลยหรือไง
ทุกคนอยากได้ใบของดอกบัวจิตวิญญาณใบนั้นจนเริ่มอยากฆ่าฉู่ชวิ๋นก่อน เป็นคนแรก
“สหาย งั้นเรามาเล่นกันหน่อยไหม ไม่ถึงตายก็พอ” เจิงเฟิงหลิงมองฉู่ชวิ๋น
“ไม่เล่น” ฉู่ชวิ๋นปฏิเสธทันที
จังเฟิงหลิงโมโหแล้ว เมื่อกี้ฉู่ชวิ๋นฆ่า 4 คนนั้นของหอคอยโลหิตจันทราอย่างแข็งกร้าว จนทุกคนตื่นตัวเห็นได้ชัดว่าแข็งแกร่งมาก แต่ตอบแบบนี้ดูไม่มีมาดของผู้แข็งแกร่งเลยสักนิด
“ถ้าพวกเรา 2 คนลงมือจะเหลืออะไรให้คนอื่นอีกนี่มันไม่ยุติธรรม” ฉู่ชวิ๋น กล่าวขึ้นมา
คำพูดนี้ฟังแล้วแปร่งๆ เหมือนกำลังดูถูกดูแคลนทุกคนอยู่ แต่พอคิดดี ๆ ก็มีเหตุผล จังเฟิงหลิงเป็นจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 7 ในที่นี้มีคนไม่กี่คนเท่านั้นที่ประมือกับเขาได้ คนอื่น ๆ สู้ไม่ได้แม้แต่กระบวรท่าเดียว นี่มันไม่ยุติธรรมมาก ๆ แม้คำพูดของฉู่ชวิ๋นไม่น่าฟัง แต่ทุกคนในที่นี้รู้ว่าเขามันคนไร้ศิลปะในการพูดคุย พวกเขาได้แต่กลั้นไว้จนปวดท้อง แต่ในใจก็เห็นด้วย
จังเฟิงหลิงคิดไปคิดมาก็ถูก แต่ก็ไม่อยากอ่อนข้อ จึงเอ่ยขึ้นมาทันที
“สหาย พวกเราแค่ประมือกันท่า 2 ท่าเท่านั้น ไม่แย่งชิงใบของดอกบัวจิตวิญญาณกับคนอื่นหรอก”
แม้ว่าดอกบัวจิตวิญญาณจะมีน้อยและล้ำค่า แต่เขาก็ไม่ได้สนใจมันนัก ของสะสมของตระกูลจังไม่ด้อยไปกว่าตระกูลหยานเลย
“ไม่เล่น” ฉู่ชวิ๋นส่ายหัว “ไม่มีของรางวัลแล้วจะไปสนุกอะไร นายให้ใบของดอกบัวจิตวิญญาณไหมล่ะ”
“…..” จังเฟิงหลิงรู้สึกปวดท้อง เขาจะไปหาใบของดอกบัวจิตวิญญาณจากที่ไหน ใช้ความคิดอยู่แปปนึงเขาจึงกล่าวขึ้นมา “สหาย ฉันมีโสมมังกรโลหิตอยู่ต้นหนึ่ง ถือเป็นยาวิเศษขั้นสูง เอามาเป็นของรางวัลเป็นไง”
จังเฟิงหลิงหยิบกล่องหยกออกมา 1 กล่องและเปิดออก ทันใดนั้นอุณหภูมิรอบข้างก็ขึ้นสูง พลังธาตุไฟอันรุนแรงหลั่งไหลออกมาเป็นสีสันตระการตา
โสมมังกรโลหิตขึ้นอยู่ท่ามกลางหินลาวา เติบโตด้วยการดูดซับแก่นของเปลวเพลิง มีประโยชน์ต่อจอมยุทธ์มาก เทียบกับดอกบัวจิตวิญญาณแล้วไม่ด้อยไปกว่ากันเลย
ฉู่ชวิ๋นแทบจะได้ยินเสียงกลืนน้ำลายของทุกคนในที่นี้
“ไม่เล่น” ฉู่ชวิ๋นยังคงปฏิเสธ “ถ้าฉันสู้นายไม่ได้ สุดท้ายต้องบาดเจ็บ แถมโสมมังกรโลหิตก็ไม่ได้ จะไม่เป็นการหาเรื่องใส่ตัวเรอะ”
ทุกคนแอบพยักหน้า ฉู่ชวิ๋นไม่ได้หน้ามืดตามัวไปกับผลประโยชน์นี่ถือว่าหาได้ยาก จังเฟิงหลิงเป็นใครกัน คิดว่าเขาจะยอมเสียยาใหญ่ไปฟรี ๆ
1 ต้นเหรอ
จังเฟิงหลิงอัดอั้นตันใจสุดๆ เขาอยากรู้เบื้องลึกเบื้องหลังของฉู่ชวิ๋นและจะสั่งสอนให้หลาบจำไปเลย ฉู่ชวิ๋นพูดจาเสียดสีเขาทั้งวัน เขาโกรธมากจนปวดหัวไปหมดแล้ว
“เอาอย่างนี้ไหมล่ะ ในเมื่อเป็นการประมือกันธรรมดา ฉันจะไม่ลงมือรุนแรงหรอก จำกัดไว้แค่ 10 ท่าเท่านั้น หากสหายไม่แพ้ใน 10 ท่านี้ โสมมังกรโลหิตย่อมเป็นของนาย” คำพูดของจังเฟิงหลิงแฝงไว้ด้วยความมั่นใจอย่างสูง
หยานหวูซวงและเหยาไป๋เยวี่ยแอบส่ายหัวกับจังเฟิงหลิง พวกเขารู้จักกับจังเฟิงหลิงเป็นอย่างดี เขาทำเป็นสุภาพในตอนนี้เพราะว่ายังไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของฉู่ชวิ๋นแน่ชัด หากประมือกันแล้วรู้ตื้นลึกหนาบางเมื่อไหร่จะต้องลงมือหนักแน่
ฉู่ชวิ๋นกลับไม่เห็นการแอบเตือนของหยานหวูซวงและเหยาไป๋เยวี่ยเขา
ลุกยืนพรวดขึ้นมา “ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็เข้ามาเลย”
จังเฟิงหลิงรู้สึกประหลาดใจ ทำไมหมอนี่ถึงดูตื่นเต้นดีใจขนาดนี้ ก่อนจะหัวเราะเย็นๆ คิดว่า 10 ท่าของเขาจะรับไว้ได้ง่าย ๆ งั้นเหรอ
จังเฟิงหลิงจะออกโรงแล้ว ทุกคนรู้สึกตื่นเต้นมาก พวกเขารีบสละพื้นที่ให้อย่างว่องไว เปิดทางให้ทั้งสองได้ต่อสู้กัน
“สหาย เชิญ” จังเฟิงหลิงเอ่ยขึ้น
“ออมมือให้ด้วยนะ” ฉู่ชวิ๋นกล่าว
จังเฟิงหลิงยิ้มบาง ๆ ชุดแดงที่สวมใส่อยู่ส่งเสียงดังเปรี้ยงปร้างสะบัดไปมา เผยให้เห็นขนดกที่ขายาว ๆ ทั้ง 2 ข้าง ท่าทางตุ้งติ้งแบบนั้นทำให้ฉู่ชวิ๋นเอียนมาก ๆ
จังเฟิงหลิงออกโรง เขายกมือปรากฏเป็นคลื่นลมปราณระลอกใหญ่ เสียงดังเสียดหู ยิ่งใหญ่จนน่าตกใจ
ฉู่ชวิ๋นถอยหลัง 2 ก้าว ตั้งท่าต่อสู้แต่ดูไม่ค่อยเป๊ะเท่าไหร่ ดูแล้วเหมือนคนเตรียมเกี่ยวข้าวชัด ๆ ฉู่ชวิ๋นคำรามและกำหมัดทั้ง 2 ข้างแน่น
เสียงดัง ตู้ม จนลมปราณนั้นถูกฉู่ชวิ๋นทำลายลง แต่คลื่นลมปราณถาโถมจนทำให้ฉู่ชวิ๋นต้องถอยหลังไป 2 ก้าว
แม้ฉู่ชวิ๋นจะรับท่านี้ของจังเฟิงหลิงได้ แต่ในสายตาของคนนอกดูออกว่า
ฉู่ชวิ๋นต้องใช้แรงออกไปมากกว่าจะทำลายคลื่นลมปราณลงได้
“สหายไม่ได้ฝึกฝนลมปราณเหรอ” จังเฟิงหลิงถาม ฉู่ชวิ๋นยังคงสู้ด้วยเนื้อกายล้วนๆ
“ฉันไม่ฝึกฝนลมปราณไร้สาระ ฉันเน้นฝึกความแกร่งของร่างกาย ให้แข็งแกร่งไร้เทียมทาน” ฉู่ชวิ๋นบอก
ทุกคนหมดคำจะพูด แต่ในโลกนี้ก็มีคนที่เน้นฝึกฝนร่างกายจริงๆ ร่างกาย พวกเขานั้นจะแข็งแกร่งจนแม้แต่ภูพายังต้องยอมสยบ
จังเฟิงหลิงยกมือและยื่นออกไป อากาศบิดเบี้ยว มีรอยฝ่ามือขนาดใหญ่ปรากฏพุ่งเข้าใส่ฉู่ชวิ๋น
ฉู่ชวิ๋นยังคงอยู่ในท่าเกี่ยวข้าว ครั้งนี้พุ่งพรวดพราดมั่วไปหมด เขากระโจนตัวขึ้นพุ่งใส่รอยฝ่ามือขนาดใหญ่
ตู้มม
รอยขนาดใหญ่นั้นถูกทำลายโดยฉู่ชวิ๋น แต่เขาก็ตกลงมาจากกลางอากาศ ทำให้พื้นดินแตกออกเป็นหลุมขนาดใหญ่
คุณพระคุณเจ้า ทุกคนตะลึง เนื้อกายนี่แข็งแกร่งไปรึเปล่า
“เป็นความแข็งแกร่งของร่างกายที่น่ากลัวจริงๆ” หยานหวูซวงเองก็ตะลึง
“แต่เทียบกับจังเฟิงหลิงก็ยังด้อยกว่าอยู่มาก อย่าลืมว่าจังเฟิงหลิงยังไม่ได้ใช้กระบวนท่าเลยนะ” เหยาไป๋เยวี่ยพูดออกมา
“เหลืออีก 8 ท่า” ฉู่ชวิ๋นเอ่ยขึ้น
จังเฟิงหลิงหัวเราะเย็นชา เมื่อกี้เขาแค่ลองใจเท่านั้น ตอนนี้เพิ่งจะเริ่มต้นอย่างจริงจัง สู้กับคนไม่มีหัวนอนปลายเท้าเขาจะใช้ 10 ท่าจริง ๆ ได้ยังไงแบบนั้นก็เท่ากับว่าเป็นคนเสริมบารมีให้อีกฝ่ายน่ะสิ
2 มือของจังเฟิงหลิงร่ายรำ พลังลมปราณอันน่ากลัวพรั่งพรูออกมาและระเบิดออกอย่างฉับพลัน ถาโถมเข้าใส่ฉู่ชวิ๋น ดุดันราวน้ำป่าไหลราก
ฉู่ชวิ๋นยังคงพุ่งพรวดพราดราวกับกระทิงคลั่ง พื้นดินที่เขาเหยียบถึงกับสะเทือน ตึงตัง เมื่อเขาพุ่งตรงเข้าไป
ตู้ม ๆ!
เกิดการระเบิดชนิดสั่นสะเทือนฟ้าดินติดต่อกันหลายครั้ง ฉู่ชวิ๋นทำลายคลื่นลมปราณที่หลั่งไหลออกมาจนหมด
แต่ฉู่ชวิ๋นก็โดนแรงระเบิดกระเทือนจนถอยแล้วถอยอีก ที่พื้นมีรอยเท้าลึกเป็นทาง
แต่ก็ทำให้ทุกคนตกใจกันมาก
นี่เป็นการโจมตีจากจังเฟิงหลิงเลยนะ แต่เขาใช้แค่ร่างกายรับมันไว้ได้ !
ตัวจังเฟิงหลิงเองก็ตะลึง เนื้อกายของอีกฝ่ายแข็งแกร่งจนเหลือเชื่อ
“เหลืออีก 7 ท่า” ฉู่ชวิ๋นแกล้งหายใจหอบ
จังเฟิงหลิงเห็นแบบนี้ก็หัวเราะในใจไม่หยุด ดูซิว่าแกจะเหลือแรงให้ใช้อีกมากแค่ไหน
เขาซัดฝ่ามือออกไป ลมปราณจากฝ่ามือยิ่งใหญ่จนทำให้ผู้คนหวาดผวา
ตู้ม!
เกิดเสียงระเบิดดังกึกก้อง ฉู่ชวิ๋นถูกโจมตีอีกครั้ง
ตู้ม ๆ!
จากนั้นไม่ว่าจังเฟิงหลิงจะใช้ท่าที่ร้ายกาจแค่ไหนก็ทำอะไรฉู่ชวิ๋นไม่ได้เลย พวกเขาทุกคนต่างก็ชื่นชมในตัวฉู่ชวิ๋น
ผู้คนดูจนอกสั่นขวัญผวา
แต่ตอนนี้สภาพฉู่ชวิ๋นอนาถนิดหน่อย ผมเผ้ารุงรัง เสื้อผ้าขาดวิ่น หอบหายใจแรงอย่างกับวัว เหงื่อไหลท่วมตัวอย่างกับฝนตก
จังเฟิงหลังสายตาเย็นยะเยือก ในใจคลุ้มคลั่งมาก เขาเห็นอีกฝ่ายจะรับไม่ไหวหลายครั้งแล้ว แต่สุดท้ายก็ต้านทานการโจมตีของเขาไว้ได้
“ฮ่าฮ่าฮ่า เหลืออีกท่าเดียว โสมมังกรโลหิตก็เป็นของฉันแล้ว” ฉู่ชวิ๋นแหกปากหัวเราะ
จิตใจของจังเฟิงหลิงเริ่มมุ่งร้ายแล้ว สีหน้าเขาอึมครึม ฝ่ามือสุดท้ายนี้จะฟาดแกให้ตาย อย่างแกคู่ควรที่จะได้โสมมังกรโลหิตไปที่ไหน
เขายกมือกันฉับพลันและร่ายรำอย่างว่องไว
ตู้ม!
ท้องฟ้าแลบแปลบปลาบ แลดูดุดันมาก กำปั้นขนาดเท่าเสาศิลาปรากฏออกมากลางท้องฟ้า เหนือกำปั้นมีทั้งฟ้าร้องฟ้าแลบ ลมปราณอันดุดันปะทุออกมา โต๊ะรอบ ๆ หลายสิบตัวล้วนถูกบดเป็นผุยผง
ทุกคนกลัวจนถอยแล้วถอยอีก
“น้องจัง ออมมือด้วย” หยานหวูซวงเอ่ยปาก ท่านี้เรียกว่าหมัดเหลยหมิงตระกูลจัง แม้แต่ตัวเขายังรู้สึกได้ถึงอันตราย
“พี่จัง แค่ประลองเอง ไม่ต้องเอาจริงขนาดนี้” เหยาไป๋เยวี่ยเองก็ช่วยพูดให้ฉู่ชวิ๋น
“ทั้งสองไม่ต้องกังวล ฉันรู้ลิมิตอยู่ สหายคนนี้มีร่างกายอันไร้เทียมทาน ทุกคนก็เห็นความแข็งแกร่งของเขาแล้ว ฉันเชื่อว่าเขาจะต้องตั้งรับท่านี้ของฉันได้แน่ ๆ”
พูดจบ หมัดเหลยหมิงก็พุ่งใส่หัวของฉู่ชวิ๋น พื้นดินใต้เท้าของฉู่ชวิ๋นถึงกับรับแรงกดดันไม่ไหวแยกขยายออกมา
จอมยุทธ์รอบ ๆ ผวากันหมด ใจเต้นตุ่ม ๆ ต่อม ๆ ถอยกรูดอย่างรวดเร็ว พวกเขาได้กลิ่นความตายจากกระบวนท่านี้ ดูเหมือนฉู่ชวิ๋นจะไปกระตุ้นให้จังเฟิงหลิงอยากฆ่าคนขึ้นมาแล้ว
เปรี้ยง!
หมัดเหลยหมิงขนาดมหึมาพุ่งใส่ฉู่ชวิ๋นและระเบิดออกมา ทันใดนั้นรอบข้างก็กลายเขตพายุคลั่ง ทั้งฟ้าร้องฟ้าแลบจนพื้นดินแยกออกจากกัน
มุมปากของจังเฟิงหลิงมีรอยยิ้มเย็นชาประดับอยู่ อยากจะให้ฉันสร้างชื่อเสียงให้แกงั้นเหรอ รนหาที่ตายชัด ๆ
“น้องจัง เกินไปแล้วนะ” แม้หยานหวูซวงจะรู้สึกว่าฉู่ชวิ๋นไร้ศิลปะในการพูดคุยไปหน่อย แต่การฆ่า 4 คนจากหอคอยโลหิตจันทราการอย่างไร้ความปราณีของฉู่ชวิ๋นก็ทำให้เขารู้สึกนับถือไม่น้อย
“พี่หยานพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง คนเราพลาดกันได้ ฉันคิดว่าสหายผู้นี้จะมีร่างกายอันไร้เทียมทาน ไม่คิดว่าจะอ่อนขนาดนี้” จังเฟิงหลิงพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ
“ร่างกายของฉันไร้เทียมทานจริง ๆ” เสียงของฉู่ชวิ๋นดังออกมาจากเขตปักษาอันดุดัน
รอยยิ้มบนใบหน้าจังเฟิงหลิงแข็งทื่อไปในทันที เป็นไปได้ยังไง ทำไมมันยังไม่ตาย!
ทุกคนแข็งทื่อราวกับรูปปั้น เขาป้องกันหมัดเหลยหมิงของจังเฟิงหลิงไว้ได้
ตู้ม!
เขตปักษาอันดุดันระเบิดออก ฉู่ชวิ๋นพุ่งออกมาจากข้างในอย่างทุลักทุเล มีควันออกจากตัว มุมปากมีเลือด สภาพอนาถามาก
แต่ยังไงเขาก็ยังไม่ตาย!!