บทที่ 294 สูญเสียนับพันปี
เขารับการโจมตีอันสั่นสะเทือนฟ้าดินของจังเฟิงหลิงไว้ได้โดยที่ยังไม่ตาย
นับว่าร่างกายไร้เทียมทานจริงๆ
ทุกคนล้วนอ้าปากค้างโดยพูดอะไรไม่ออก
ฉู่ชวิ๋นเดินตรงไปอยู่ตรงหน้าจังเฟิงหลิงและยื่นมือออกไปพลางหัวเราะ
“ฮ่าฮ่า ก็ไม่เท่าไร เอาของมา”
จังเฟิงหลิงสะดุ้งตื่นจากภวังค์ ความโมโหที่ไม่อาจข่มไว้ปะทุอยู่ในใจ เจ้าคนไร้หัวนอนปลายเท้านี่หนีรอดจากเงื้อมมือของเขาไปได้จริง ๆ
เชื่อว่าพ้นคืนนี้ไปทุกคนต้องจดจำของอีกฝ่ายได้แน่ ส่วนตัวเองก็ได้กลายเป็นคนที่หนุนให้อีกฝ่ายยิ่งใหญ่ไปเรียบร้อย
“ร่างกายสหายนี่ไร้เทียมทานจริงๆ ฉันนับถือๆ” จังเฟิงหลิงเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มแข็งๆ
ภายใต้สายตาทุกคนเขาเองก็ไม่อาจปฏิเสธได้ ได้แต่กระแทกโสมมังกรชื่อเสวี่ยใส่มือของฉู่ชวิ๋นอย่างเข่นกัดเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“ขอบคุณที่ออมมือให้” ฉู่ชวิ๋นพูดกลั้วหัวเราะ
จังเฟิงหลิงแทบจะกระอักเลือด เขารู้ดีอยู่แก่ใจว่าได้ออมมือหรือเปล่า ทุกคนในที่นี้ก็รู้ดี
คำพูดของฉู่ชวิ๋นเท่ากับตบหน้าเขาต่อหน้าทุกคน
“สหาย ฉันเห็นว่านายได้รับบาดเจ็บ ถ้าไม่รังเกียจฉันจะให้คนไปจัดห้องให้ นายรักษาตัวอย่างสบายใจได้เลย” หยานหวูซวงหยิบยื่นไมตรี จอมยุทธ์ไร้สำนักที่แข็งแกร่งขนาดนี้คุ้มค่าที่จะทำความรู้จักเอาไว้
ฉู่ชวิ๋นลูบหน้าอกและพึมพำ “เจ็บเหมือนกันแฮะ ขอบคุณความหวังดีของคุณชายหยาน แต่ฉันกลับไปรักษาตัวเองดีกว่า”
พูดจบเขาก็เดินจากไปอย่างสง่าท่ามกลางสายตาของทุกคน
บรรยากาศตอนนี้ออกจะอึมครึมอยู่บ้าง
สายตาของจังเฟิงหลิงเย็นยะเยือกมองแต่แผ่นหลังของฉู่ชวิ๋น เขาหันมาประสานมือ “พี่หยาน ฉันมีธุระอย่างอื่นอยู่ ขอตัวก่อนนะ”
“น้องจังอย่ารีบไปสิ เดี๋ยวช่วยเป็นพยานกับฉันด้วยว่าผู้กล้าคนไหนจะได้ใบของดอกบัวจิตวิญญาณไป” หยานหวูซวงเอ่ยปาก เขารู้ว่าจังเฟิงหลิงจะไปทำอะไร ทำยาหายไปต้นใหญ่แถมเสียหน้าอีก เขาจะไปตามฆ่าปิดปากอย่างแน่นอน
“พี่จังไม่เห็นต้องรีบเลย ฉันเองก็อยากเห็นว่าใบของดอกบัวจิตวิญญาณจะตกไปอยู่ในมือใคร” เหยาไป๋เยวี่ยก็เอ่ยปากช่วยพูด
2 คนนี้มีชื่อเสียงฐานะทัดเทียมกับเขา จังเฟิงหลิงยากจะปฏิเสธ ได้แต่อยู่ต่อด้วยใบหน้าแข็ง ๆ
การต่อสู้หลังจากนั้นธรรมดามากหากเทียบกับของฉู่ชวิ๋นและจังเฟิงหลิง
พอฉู่ชวิ๋นออกจากประตูตระกูลหยานไป สีหน้าอันซีดเผือดก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าสดชื่นในทันที ลมปราณแข็งกร้าวปรากฏออกมา เขายิ้มมุมปากอย่างมีนัยยะบางอย่าง ก่อนจะหายเข้าไปในป่าลึกแห่งหนึ่ง
….
….
กลางดึก พระจันทร์ส่องแสงสีเงิน ดวงดาวประดับเต็มนภา
งานเลี้ยงของตระกูลหยานจบไปนานแล้ว
ทันใดนั้นก็มีร่างหนึ่งกระโจนเข้าไปหาตระกูลหยานอย่างพิศวง ราวกับทหารยามเหล่านั้นไม่มีตัวตน
ร่างนี้ไวมากและเขามีเป้าหมายอยู่ เขาหลีกเลี่ยงหน่วยตระเวนของตระกูลหยานได้อย่างแม่นยำ
ครู่เดียวร่างนั้นก็มาถึงสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งตระกูลหยาน หอหยานหลิง
หน้าประตูมีจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 2 เฝ้าอยู่ 2 คน กำลังนั่งสมาธิฝึกฝนวิชากันอยู่
ร่างนั้นเบาเหมือนใบหลิว เข้าใกล้อย่างเงียบเชียบ ก่อนที่ในมือจะมีกระบอกเหล็กสีดำแท่งนึงปรากฏ
โป้ง โป้ง
เกิดเสียงดังขึ้น 2 เสียง จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 2 สลบเหมือดโดยไม่ทันได้ส่งเสียงทั้งคู่ ที่หัวด้านหลังบวมเป่ง
นี่ยังดีนะที่อีกฝ่ายแข็งแกร่งระดับจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิ หากเป็นระดับปรมาจารย์หัวคงระเบิดไปแล้ว
เมื่อเห็นความโนที่หลังหัวทั้ง 2 คน เงาดำก็พึมพำเบาๆ “อย่าโกรธกันเลยนะ ฉันยั้งมือให้แล้วจริง ๆ”
หากมีคนคุ้นเคยอยู่ที่นี่ แค่ได้ยินเสียงก็รู้แล้วว่าไม่ใช่ใครอื่นใดเป็น ฉู่ชวิ๋นนั่นเอง
ประตู 2 บานของหอหยานหลิงทั้งหนักทั้งใหญ่และโบราณ สูง 10 กว่าเมตร หนักเป็นตัน ๆ
ฉู่ชวิ๋นออกแรงผลักหนัก ๆ จนประตูเปิดออกให้เห็นหลืบนึง ก่อนที่เขาจะหายตัวเข้าไปข้างในแล้วปิดประตู
ประตูเพียงบานเดียวแต่เสมือนกั้นโลก 2 ใบเอาไว้ ด้านในหอหยานหลิงเปรียบดั่งตำหนักหรูหรา ที่สำคัญพลังวิญญาณด้านในหนาแน่นถึงขนาดที่ว่าทำให้ตัวเหนียวเหนอะหนะได้เลย
ญาณเทพของฉู่ชวิ๋นคืบคลานออกไป เขาทำให้รู้สถานการณ์ด้านในได้อย่างละเอียด
จากที่ได้ยินจากหยานหวูซวงบอก ในตระกูลหยานมีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์อยู่ ดอกบัวจิตวิญญาณเพาะอยู่ในนั้นแหละ
ใต้บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ย่อมมีชีพจรศักดิ์สิทธิ์ เป็นชีพจรศักดิ์สิทธิ์ที่ตระกูลหยานประทับอยู่ แถมชีพจรศักดิ์สิทธิ์นี้ใหญ่กว่าของฉู่ชวิ๋นที่เขาเฉี่ยนหลงซะอีกไม่อย่างนั้นก็คงไม่มีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ต้องรู้ไว้ด้วยว่าการจะมีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ปรากฏนั้นอย่างน้อย ๆ ต้องใช้เวลาพันปีขึ้นไป
ตระกูลหยานนี่เกิดบนกองเงินกองทองจริงๆ มิน่าล่ะถึงยืนหยัดมาได้เป็นพันปี
ฉู่ชวิ๋นขยายญาณเทพออกไปครอบคลุมทั้งหอหยานหลิงไว้ ที่ทำให้เขาตกตะลึงคือในหอหยานหลิงมีลมปราณอันแข็งกร้าว 10 กว่าคน ทุกคนล้วนอยู่ขั้นจักรพรรดิระดับ 3 ขึ้นไป
แต่ก็ไม่ยากเกินไปสำหรับฉู่ชวิ๋น ใช้เพียงญาณเทพเขาก็สามารถหาได้อย่างแม่นยำว่าจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิเหล่านี้แบ่งไปอยู่จุดไหนบ้าง
ยังดีที่จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิพวกนั้นแยกย้ายกันไป ไม่อย่างนั้นคงต้องเปลืองแรงน่าดู
หอหยานหลิงใหญ่เกินไป ภาพรวมเป็นเหมือนกับทางเดินขนาดใหญ่ ทุกพันเมตรจะมีผู้แข็งแกร่งระดับจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิเฝ้าอยู่ 2 คน
ฉู่ชวิ๋นสะกดพลังลมปราณไว้และพุ่งออกไปราวกับวิญญาณ ไปได้ไม่ทันไรร่างของเขาก็หยุดกระทันหัน และเข้าไปใกล้ ๆ เสาหินขนาดใหญ่ข้างกำแพงมันใหญ่จนต้องใช้คนหลายคนถึงจะโอบไว้ได้
ท่ามกลางเงามืดของด้านหลังเสาหิน จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 3 คนหนึ่งกำลังนั่งสมาธิฝึกฝนลมปราณ
โป้ง
เขาหวดกระบองเหล็กลงไป จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 3 คนนั้นก็ล้มหัวทิ่มลงไปทันที
จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 3 ที่อยู่ตรงข้ามได้ยินเสียง จึงกระโจนมาด้วยความสงสัย เมื่อเห็นจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 3 คนนี้ฟุบอยู่ที่พื้นก็รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลได้ทันที เขาจึงอ้าปากตั้งใจจะส่งสัญญาณเตือนภัย
โป้ง
กระบองเหล็กฟาดเขาที่หลังหัวเขาอย่างจัง จากนั้นเขาจึงสลบและล้มลงไปอย่างสวยงาม
“อย่าโกรธกันนะ ๆ….” ฉู่ชวิ๋นพึมพำก่อนจะกระโจนไปหาจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิ 2 คนถัดไป
โป้ง โป้ง
จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 3 อีก 2 คนโดนหวดสลบอย่างไม่เกรงใจ
ถ้าเป็นคนทั่วๆไป ต่อมีของวิเศษก็ใช่ว่าจะฟาดจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิให้สลบได้ แต่ช่วยไม่ได้ที่พวกเขาดันซวยเจอเข้ากับฉู่ชวิ๋น เขาน่ะเป็นปรมาจารย์แห่งการฟาดกระบองเลยนะ สมัยที่ยังอยู่ดินแดนเซียนเขาเคยฟาดปีศาจจนสลบด้วย
ฉู่ชวิ๋นปิดบังพลังลมปราณเอาไว้ ฟาดงวงฟาดงาไปทั่ว เรียกได้ว่าเขาได้แสดงวิชากระบองออกมาจนถึงขีดสุด
เขาผ่านด่านไปเรื่อยๆ ที่ด้านหลังเขามีจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดินอนอยู่นับ 10 คน ในนั้นมีจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 5 จำนวน 2 คน คนพวกนี้ล้วนโดนฟาดจนสลบในกระบองเดียว หลังหัวของทุกคนมีจุดที่โนออกมาเท่าขอบถ้วย
ฉู่ชวิ๋นรู้ว่าบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์อยู่พันเมตรด้านหน้านี่แหละ ที่ขอบของบ่อน้ำทั้ง 4 ทิศมีจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 6 เฝ้าอยู่ทิศละคน
ไม่ง่ายเท่าไหร่ ทั้ง 4 คนอยู่กันใกล้เกินไป ตึงมือนิดหน่อย
จู่ ๆ ฉู่ชวิ๋นก็ตาเป็นประกาย และแกล้งทำเสียงเท้าเดิน
“ตุ๊บ ตุ๊บ ตุ๊บ”
“ใครน่ะ”
ทั้ง 4 คนลืมตาขึ้นมาพร้อมกัน นัยน์ตาเปล่งประกายความเย็นยะเยือก
2 คนในนั้นพุ่งพรึ่บมาทางนี้
เสาหินขนาดใหญ่มากจริงๆ ขนาดที่ว่าผู้ใหญ่ 4-5 คนยังไม่สามารถโอบจนครบรอบได้ 1 ในนั้นพุ่งไปที่ข้างหลังเสาหินก็เห็นคนของตัวเองล้มฟุบอยู่ ไม่ทันที่เขาจะส่งสัญญาณเตือนให้อีกคนก็มีแรงลมพัดมาเหนือหัว
โป้ง
เร็วมาก เร็วจนเขาตั้งตัวไม่ทัน กระบองเหล็กฟาดไปที่หลังหัวของเขา จนเขามองเห็นดาวเต็มหัวเขาไปหมด แต่ก็ไม่สลบ
ฉู่ชวิ๋นแอบถอนหายใจ เขาเก็บกระบองเหล็กนี่ได้จากโบราณสถานที่เขาผ่านทางมา พึ่งพาอะไรไม่ได้เลยจริงๆ
ครั้งเดียวไม่ไหว งั้นก็ 2 ครั้ง
โป้ง
จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 6 โชคร้ายมากเขาหลังหัวโนไปแล้ว 2 จุด สุดท้ายก็ต้องสลบเหมือดไปอย่างสวยงาม
ฉู่ชวิ๋นแอบแขวะในใจ สลบไปตั้งแต่ครั้งแรกก็ดีแล้ว จะต้องโดน 2 ทีให้ได้ อะไรขึ้นมาแค่เห็นเขาก็รู้สึกเจ็บแทนแล้ว ถ้ามีครั้งที่ 3 หัวของอีกฝ่ายน่าจะระเบิดเป็นหมอกเลือดแน่ ๆ
ถ้าจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิคนนี้รู้ว่าฉู่ชวิ๋นคิดอะไรอยู่ในใจ ไม่รู้ว่าจะโกรธจนฟื้นขึ้นเลยมารึเปล่า
คนที่มาด้วยกันมีจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิ 2 คน เมื่ออีกคนได้ยินเสียงที่หลังเสาก็รีบไล่ตามมา มองปุ๊บก็เห็นว่าคนที่มากับตัวเองฟุบอยู่ที่พื้น
ฉู่ชวิ๋นกระโจนตัวอ้อมเสา 1 รอบมาอยู่ที่ด้านหลังคน ๆ นี้พร้อมยกกระบอกเหล็กในมือขึ้น
จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิคนนี้ยังอยู่ในความตะลึง เมื่อได้ยินเสียงอากาศด้านหลังจึงพุ่งตัวไปด้านหน้า แต่สุดท้ายก็ช้าไปก้าวนึง
แถมวรยุทธของฉู่ชวิ๋นเหนือกว่าเขาอยู่แล้ว แถมเรื่องวิชากระบองนี่ฉู่ชวิ๋นก็มากประสบการณ์ ถ้าไม่ใช่เพราะอุปกรณ์ไม่เหมาะมือ จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 6 ต้องล้มลงไปในทีเดียวแน่ ๆ ไม่มีทีที่ 2 อย่างแน่นอน
โป้ง
ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงปรากฏที่หลังหัว เขาเจ็บจนหน้ามืดตามัวไปหมด เขาหันหัวกลับอย่างยากลำบาก แต่หันไปได้แค่ครึ่งทางก็โดนเข้าให้อีกที
ตู้ม
หัวเขาปูดขึ้นมาจนล้มลงฟุบไปบนตัวเพื่อน
ฉู่ชวิ๋นนึกขอบคุณเสาหินใหญ่นี่มากที่ทำให้เขาได้เล่นซ่อนแอบกับอีกฝ่าย
ยังมีอีก 2 คนที่เฝ้าอยู่ขอบบ่อน้ำด้วยท่าทีระวังกว่าปกติ
“หยานหนัน หยานเป่ย เกิดอะไรขึ้น” 1 ในนั้นถาม
หยานหนันนั่นเป่ย? ชื่อทั้ง 4 ทิศ? หรือนี่จะเป็น 4 พี่น้อง
ฉู่ชวิ๋นเกิดแผนในใจ
ครู่หนึ่งหลังจากนั้น ไม่รู้ว่าหยานหนันหรือหยานเป่ยเดินออกจากหลังเสา เขาก้มหน้าและเอ่ยขึ้นมา “พี่ใหญ่ พี่รอง ไม่มีอะไร”
“หยานหนันล่ะ” 1 ในนั้นถาม
“อ๋อ พี่สามกำลังอธิบายปัญหาเกี่ยวกับการฝึกฝนอยู่” หยานเป๋ยบอกคลุมเครือ
หยานตงและหยานซีไม่ได้คิดอะไรมาก มีคนมาขอให้พวกเขาสอนเกี่ยวกับปัญหาการฝึกฝนอยู่บ่อยๆ
ทั้ง 2 คนนั่งขัดสมาธิลงอีกครั้งเข้าสู่สภาวะฝึกฝน พวกเขาอยู่ติดกับบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ พลังวิญญาณที่นี่หนาแน่นจนน่ากลัว เสียไปแม้เพียงนาทีเดียวก็เหมือนก่ออาชญากรร มันน่าเสียดายมากขนาดนั้นเลย
หยานเป่ยเดินไปที่อีกทิศนึงและนั่งขัดสมาธิลงเช่นเดียวกัน
โป้ง
เกิดเสียงดังขึ้นก่อนจะมีเสียงตุ้บตามมา หยานตงล้มหัวทิ่มพื้น
หยานซีหันไปมองทันที เขารีบโครจรพลังลมปราณในตัว
โป้ง
แต่เขาก็ช้าไปก้าวนึง เขาเจ็บที่หลังหัวอย่างหนักจนหน้ามืดตามัว โชคดีที่เขาเริ่มใช้พลังแล้วเลยไม่เจ็บมาก
โป้งๆ
แต่ฉู่ชวิ๋นเหนือยิ่งกว่านั้นเขาฟาดกระบองเหล็กไปชุดใหญ่จนกระบองงอ
หยานซีถึงล้มฟุบลงไปจริงๆ
“ทำไมนะ ยอมโดนฉันฟาดสลบซะดี ๆ ก็จบแล้ว” ฉู่ชวิ๋นส่ายหัวอย่างเหนื่อยหน่าย
“หยานหวูซวง ตระกูลหยานของพวกนายรุ่งเรืองมานานเกินไปแล้ว
คนพวกนี้กลายเป็นคนเนือยๆ ไร้ความระแวง หวังว่าที่โดนไปครั้งนี้จะเป็นบทเรียนให้ระวังตัวกันขึ้นนะ ฉันหวังดีกับพวกนาย นะเนี้ยถ้ามีคนไม่ดีลอบเข้ามาจะทำยังไง เพราะฉะนั้นฉันขอค่าตอบแทนนิดหน่อยก็สมควรแล้วใช่ไหมล่ะ”
ฉู่ชวิ๋นพึมพำกับตัวเอง แต่พอเขาเห็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์เขาก็ไม่พูดอะไรออกมาอีกเลย
ที่จริงบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์นี่เรียกบ่อน้ำไม่ได้หรอก อย่างมากก็แค่หลุมน้ำเล็กๆ น้ำด้านในก็แค่ราวๆครึ่งถัง การก่อเกิดของน้ำศักดิ์สิทธิ์นั้นช้ามาก ๆ น้ำศักดิ์สิทธิ์ปริมาณเท่านี้ดูแล้วก็น่าจะสั่งสมมานับพันปี
ส่วนขนาดของบ่อน้ำนี้ก็แค่ประมาณ 1 ลูกบาศก์ น้ำในบ่อเปล่งปลั่งและมีความเหนียวแน่นพร้อมไอขาว ๆ ล้อมรอบ พอสูดเข้าลึก ๆ จะรู้สึกสดชื่นและปลอดโปร่งไปทั้งตัว
ท่ามกลางบ่อน้ำ มีดอกบัวจิตวิญญาณเขียวขจีทั้งต้นสูงราวครึ่งเมตรกำลังพลิ้วไหวเบา ๆ พื้นผิวมีแสงสว่างส่องประกาย เจิดจริสและงดงาม
“หยานหวูซวง ขอโทษจริง ๆ บ้านนายมีอำนาจใหญ่โตคงมีของดี ๆ อยู่ไม่น้อย ฉันขอยืมดอกบัวจิตวิญญาณนี่ไปก่อน มีโอกาสจะคืนให้แน่นอน”
ฉู่ชวิ๋นรำพึงรำพันเพื่อความสบายใจ ประเด็นคือเขาคิดว่าหยานหวูซวงเป็นคนไม่เลวเลย เขาขอโทษไว้ก่อนจะได้ลดความรู้สึกผิดลงได้นิดหน่อย
ฉู่ชวิ๋นประสานอินอย่างรวดเร็ว สะกดดอกบัวจิตวิญญาณด้วยวิธีพิเศษ จากนั้นจึงถอนมาทั้งรากมาเก็บเอาไว้
ตอนแรกเขาตั้งใจจะรีบไป แต่คิดไปคิดมาก็ชะงักฝีเท้าไว้ก่อน
“หยานหวูซวง นายจะเป็นคนดีก็ดีให้สุดๆ แล้วฉันจะส่งคนมาคืนให้ถึงบ้านเลย ฮ่าฮ่าฮ่า” พูดจบเขาก็หยิบกล่องหยกออกมา 10 กว่ากล่องและเริ่มตักน้ำศักดิ์สิทธิ์
เพียงครู่เดียวก็เริ่มเห็นก้นบ่อ กล่องหยกทั้ง 10 กว่าอันเต็มไปด้วยน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ตระกูลหยานสะสมมาก่อนพันปี!!!