แค่ได้ยินเสียงของอีกฝ่ายเท่านั้น ไม่เห็นตัวคน
หลิวป๋ายคอยสังเกตสถานการณ์โดยรอบสนามรบอยู่ตลอดเวลา ก่อนจะใช้เสียงในใจพูดอย่างรวดเร็ว “เรื่องเกิดขึ้นฉุกละหุก จึงยังไม่มีเซียนกระบี่คนใดให้การช่วยเหลือพวกเราได้ พวกเราต้องรีบรบรีบจบ”
ผู้ฝึกกระบี่หญิงที่มาจากสายบุ๋นของโจวมี่เช่นเดียวกับโซ่วเฉินผู้นี้ ตอนอยู่ในกระโจมเจี่ยเซินคอยทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยของมู่จีที่เป็นผู้นำหลักตลอดเวลา จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่เคยลงมือมาก่อน
เด็กหนุ่มจวินทานเป็นคนแรกที่เรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมาบินแนบติดพื้น วาดแสงกระบี่เส้นหนึ่งคงค้างไว้บนริมขอบของหลุมใหญ่
“ต้องบีบให้อีกฝ่ายปรากฏตัว!”
ตรงเอวของจวินทานพกกระบี่คู่ สองมือแยกกันกดด้ามกระบี่แต่ละด้าม จ้องนิ่งไปที่ก้นหลุมที่ยังอบอวลไปด้วยฝุ่นคลุ้ง เม็ดกรวดเม็ดทรายมิอาจบดบังการมองเห็นของผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งได้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายร่ายเวทอำพรางตาชั้นสูงอะไร ถึงได้ทำให้เขามองหาร่างของอิ่นกวานหนุ่มผู้นั้นไม่เจอ แต่ที่แน่ใจเลยก็คือเฉินผิงอันต้องยังไม่ได้ออกไปจากที่แห่งนี้แน่นอน จวินทานจึงใช้เสียงในใจสื่อสารกับสหาย “ไม่สนแล้ว ในเมื่อตามองไม่เห็น ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะลงไปสืบในหลุมก่อน จะไม่ให้โอกาสเขาได้พักฟื้นรักษาบาดแผลเด็ดขาด จู๋เชี่ย ระวังความเคลื่อนไหวของรากภูเขาใต้ดินเอาไว้ให้ดี หลิวป๋าย คอยออกกระบี่ดักสังหารเฉินผิงอัน”
จวินทานกระโดดผลุงลงไป ใช้กระบี่บินแห่งชะตาชีวิต ‘เจี่ยฉี’ เปิดทาง แสงกระบี่ที่ไหลรินอยู่ตรงพื้นที่ริมขอบรอบหลุมใหญ่สลายหายไป ปรากฏเป็นกองทัพม้าเหล็กที่ติดอาวุธครบครันจำนวนนับพันขึ้นมาแทนที่ แม้ว่าทหารม้าแต่ละตัวจะเล็กแค่ฝ่ามือ ยามที่ยืนเบียดเสียดกันสร้างขบวนรบจึงมองดูน่าขำ แต่แท้จริงแล้วม้าทุกตัวกลับเหมือนกระบี่บินเล่มหนึ่ง ทันใดนั้นกองทัพม้าเหล็กขนาดจิ๋วจำนวนนับไม่ถ้วนก็พากันควบลงเนินจากริมขอบของหลุมใหญ่ บุกตะลุยลงไปด้านล่างราวกับกระแสน้ำขึ้นที่ไหลซัดลงไปในแอ่งแห่งหนึ่ง
กระบี่บิน ‘เจี่ยฉี’ ใช้ท่วงท่าของกองทัพใหญ่ที่บุกรุดหน้าทะลวงสนามรบอย่างฉับพลันเช่นนี้ ถือว่าเหมาะสมสำหรับการสืบเสาะหากับดักหลุมพรางเล็กๆ ของอิ่นกวานหนุ่มมากที่สุด
หากจวินทานเป็นผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ลำพังเพียงแค่วิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของกระบี่บินที่เหมาะกับการฝ่าขบวนรบมากที่สุดวิชานี้ อย่างน้อยที่สุดก็สามารถถูกสายของอิ่นกวานประเมินให้อยู่ในลำดับรอง อยู่อันดับเดียวกับน้ำพุร้อยจั้ง กระจอกเมฆบนฟ้าของเยว่ชิงและเที่ยวจูของฉีโส่ว หากกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนี้มีความลี้ลับมหัศจรรย์ยิ่งกว่าที่เห็นอยู่ บางทีอาจจะได้อยู่อันดับเดียวกันกับ ‘น้ำค้างหวาน’ ของอู๋เฉิงเพ่ยก็เป็นได้
ในฐานะลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของหลิวชา หากไม่เป็นเพราะในสงครามครั้งนี้หลิวชาได้รับเอาลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อเพิ่มมาอีกกลุ่มหนึ่ง จู๋เชี่ยก็จะเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวของเขา
เพียงแต่ว่านับแต่ที่สงครามใหญ่เปิดฉากมา จู๋เชี่ยก็ไม่เคยลงมือมาก่อน เมื่อเทียบกับหลิวป๋ายผู้ฝึกกระบี่หญิงที่อยู่ในกระโจมเดียวกันแล้วก็ยิ่งมีเมฆหมอกล้อมวนมมากกว่า นอกจากการสืบทอดจากอาจารย์ของจู๋เชี่ยที่คนทั้งใต้หล้ารับรู้กันดีอยู่แล้ว เรื่องอื่นๆ อย่างเช่นว่าเขามีกระบี่บินกี่เล่ม วิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตคืออะไร ฝึกกระบี่ด้วยวิธีแบบไหน ล้วนไม่มีใครรู้ ด้านหลังของเขาแบกชั้นวางกระบี่ขนาดใหญ่ยักษ์ เวลานี้กระบี่ยาวหกเล่มในนั้นพากันแยกย้ายออกไปบินล้อมหลุมใหญ่ สุดท้ายหันปลายกระบี่พลิกกลับ กระบี่ยาวแต่ละเล่มพลันจมหายเข้าไปใต้ดิน แล้วไปสร้างค่ายกลอยู่ในจุดลึกของพื้นดิน ไม่ให้โอกาสอิ่นกวานหนุ่มที่บาดเจ็บผู้นั้นได้หนีออกไปจากวงล้อมได้ ต่อให้มีกำลังเหลือพอจะฝ่าค่ายกลกระบี่ออกไปก็ต้องเปิดเผยร่องรอย ถึงเวลานั้นสิ่งที่รออิ่นกวานหนุ่มอยู่ย่อมต้องเป็นการสกัดขัดขวางจากกระบี่บินที่แหลมคม อีกทั้งยังไม่ใช่แค่เล่มเดียว
อวี่ซื่อสวมชุดตัวยาวสีดำ เพียงแต่ใช้ผ้าแพรสีขาวหิมะผูกมัดมวยผม จึงทำให้มองดูเหมือนคุณชายผู้สูงศักดิ์เจ้าเสน่ห์
จิตของเขาขยับไหวเล็กน้อย เศษซากอาวุธที่หล่นอยู่บนพื้นบริเวณใกล้เคียงก็พากันบินพุ่งไปยังจุดห่างไกลในทิศทางที่แตกต่างกันทันที สุดท้ายร่วงหล่นลงบนพื้น ทุกที่ที่ผ่านไม่มีริ้วคลื่นกระเพื่อมแม้แต่น้อย นี่หมายความว่าไม่มีกับดักค่ายกลอะไร ตามหลักแล้วนับตั้งแต่ที่เฉินผิงอันประมือกับโหวขุยเหมินที่รับหน้าที่เป็นเหยื่อล่อ จนถึงท้ายที่สุดที่โหวขุยเหมินถูกปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ซึ่งเป็นคน ‘ถือคันเบ็ดไว้ในมือ’ สิงร่าง หอบเอาโชคชะตาบู๊มาด้วยกัน ยอมพินาศวอดวายไปพร้อมเฉินผิงอันอย่างไม่เสียดายชีวิต ก็ล้วนถือว่าเฉินผิงอันตกอยู่ในเรื่องไม่คาดฝันครั้งแล้วครั้งเล่า ต่อให้จะสวมชุดคลุมอาคมจินหลี่ที่มีระดับขั้นเป็นอาวุธเซียน เวลานี้หากไม่ตายก็ต้องหนังหลุดไปแล้วหลายชั้น
เพียงแต่อวี่ซื่อก็ยังคงรู้สึกไม่มั่นคง
หลีเจินทรุดตัวลงนั่งยอง ขยุ้มดินขึ้นมากำหนึ่งแล้วขยี้เบาๆ ฝุ่นผงปลิวกระจายไปสี่ทิศ ฝุ่นผงพวกนั้นล้วนมีปณิธานกระบี่แฝงอยู่ หลีเจินกวาดตามองไปรอบด้าน ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ประหลาดจริงๆ ด้วย คือสถานที่ต้องห้ามแห่งหนึ่งที่คล้ายคลึงกับฟ้าดินขนาดเล็ก คราวก่อนที่เข่นฆ่ากับข้าก็ยังไม่ได้เอาความสามารถนี้ออกมาใช้ ดี ดีมาก ในที่สุดข้าก็สามารถยอมแพ้อย่างเต็มใจได้แล้ว”
ที่แท้ตอนที่ดินเหล่านั้นปลิวห่างไปสิบกว่าจั้งก็พลันเป็นเหมือนไส้ตะเกียงที่ถูกจุดไฟ แต่จากนั้นก็สลายกลายเป็นผุยผง
อวี่ซื่อควบคุมเศษชิ้นส่วนอาวุธที่แตกหักซึ่งหล่นเกลื่อนอยู่บนพื้นขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้ยังรวมเอาเศษซากร่างกายของเผ่าปีศาจไว้ด้วย บังคับให้พวกมันพุ่งไปยังทิศไกล
แล้วก็จริงดังคาด พวกมันพากันหล่นร่วงลงพื้นเหมือนกับชนกำแพง
อิ่นกวานหนุ่มผู้นั้นเป็นทั้งผู้ฝึกกระบี่ แล้วยังเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัว คิดจะฆ่าอีกฝ่ายค่อนข้างจะยุ่งยาก ต่อให้อีกฝ่ายจะเผาผลาญลมปราณที่แท้จริงของผู้ฝึกยุทธไปจนหมดสิ้น แต่ก็สามารถเปลี่ยนมาบังคับกระบี่ให้สังหารคน หากต้องการชดเชยปราณวิญญาณก็เปลี่ยนไปเป็นผู้ฝึกยุทธที่ออกหมัด ปราณแท้จริงของผู้ฝึกยุทธกับปราณวิญญาณของผู้ฝึกกระบี่สลับสับเปลี่ยนกันได้อย่างต่อเนื่องไม่มีวันหมด นี่จึงเป็นเหตุให้หลังจากที่ผู้ฝึกกระบี่ออกจากหัวกำแพงเมืองมาลงสนามรบเป็นครั้งที่สองก่อนหน้านี้ ทางกระโจมเจี่ยเซินได้ทำการสรุปรวบรวมผลงานทางการสู้รบของทั้งสองฝ่าย อาศัยการเข้าร่วมสนามรบตั้งแต่ต้นจนจบ สะสมจากน้อยเป็นมาก คุณความชอบทางการทหารของอิ่นกวานหนุ่มก็อยู่สูงเป็นอันดับหนึ่งในกระดานจัดอันดับของผู้ฝึกกระบี่กำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ออกมาจากเมืองมาแล้ว แน่นอนว่านี่เกี่ยวข้องกับข้อที่ว่าเซียนกระบี่ต้องเฝ้าพิทักษ์แม่น้ำสายยาวสีทองด้วย ส่วนเซียนกระบี่ที่เฝ้าอยู่บนหัวกำแพงเมือง หากไม่ต้องพิทักษ์พื้นที่แถบหนึ่งก็ต้องคอยช่วยคุมหลังให้กับผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์ โอกาสที่เซียนกระบี่จะได้ออกกระบี่อย่างแท้จริงจึงมีไม่มาก
การเข่นฆ่าในครั้งนั้นอิ่นกวานหนุ่มอำพรางตัวตน ผลัดเปลี่ยนลมปราณอยู่ตลอดเวลา วิธีการก็มีมากมายจนนับไม่หมด เมื่อเทียบกับการออกจากเมืองมาเข่นฆ่าในครั้งแรกที่มีหนิงเหยาคอยช่วยคุมหลังให้ เพื่อที่เขาจะได้สามารถใช้ตัวตนของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวฝ่าขบวนรบไปอย่างผึ่งผายแล้ว ก็เรียกได้ว่าแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง การลงสนามรบครั้งที่สองเขาเหมือนนักฆ่าที่คอยเก็บตกของดีไปทั่วมากกว่า มีเพียงถึงที่สุดจริงๆ เท่านั้นถึงจะออกหมัดออกกระบี่สังหารศัตรู ดังนั้นกระโจมใหญ่ทั้งหลายของใต้หล้าเปลี่ยวร้างจึงมีคำเรียกขานแบบใหม่ต่อคนต่างถิ่นแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ผู้นี้ว่า ใต้โซ่วเฉิน เหนืออิ่นกวาน
หาตัวเฉินผิงอันจากบนสนามรบ ยากมาก ต่อให้หาเจอ คิดจะทำร้ายเขาให้ได้รับบาดเจ็บกลับยากยิ่งกว่า ต่อให้ยินดีแลกเปลี่ยนบาดแผลกับเฉินผิงอัน ถึงขั้นยอมใช้ความตายไปแลกกับอาการบาดเจ็บของอีกฝ่ายโดยไม่เสียดายชีวิต การถอยร่นหลบหนีของอีกฝ่ายกลับเด็ดเดี่ยวจนน่าแปลกใจเสียยิ่งกว่า ประเด็นสำคัญคือศักยภาพในการสู้รบอย่างต่อเนื่องของเฉินผิงอันนั้นน่าตะลึงเกินไป ดังนั้นเมื่อเทียบกับเซียนกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ออกกระบี่อย่างองอาจ พลังพิฆาตสูงส่งเทียมฟ้าทั้งหลายแล้ว การที่ได้เจอคู่ต่อสู้อย่างอิ่นกวานหนุ่มบนสนามรบจึงทำให้คนสะอิดสะเอียนได้มากที่สุด
“ไอ้ตัวดี เกือบจะหลงกลเสียแล้วไหมล่ะ ทุกท่าน ขอโทษด้วย ก่อนหน้านี้เป็นความผิดพลาดของข้าเอง”
ในใจอวี่ซื่อขุ่นเคืองอย่างหนัก ยื่นมือไปกดกระบี่พก ปณิธานกระบี่รวมตัวกันเป็นสิ่งที่จับต้องได้จริง ปราณกระบี่สีขาวหิมะเป็นกลุ่มเป็นเส้นล้อมวนอยู่รอบมือและรอบด้านของด้ามกระบี่ ปราณกระบี่ที่อึมครึมน่าสะพรึงกลัวนั้นทำให้ตลอดทั้งฝักกระบี่ล้วนถูกปกคลุมไปด้วยน้ำค้างแข็งแผ่นบางๆ “แต่นี่ก็แสดงให้เห็นว่าเขาได้รับบาดเจ็บไม่น้อย ไม่อย่างนั้นการกระทำเช่นนี้ของหลีเจิน ด้วยนิสัยของใต้เท้าอิ่นกวานท่านนี้ต้องหลบซ่อนตัวต่อไปอย่างแน่นอน ไม่มีทางเผยพิรุธเร็วขนาดนี้ เพื่อเป็นการชดใช้ ข้าจะออกกระบี่เป็นคนสุดท้ายก็แล้วกัน!”
หากไม่ใช่สมาชิกของกระโจมเจี่ยเซิน ต้องรู้สึกว่าประโยคสุดท้ายของอวี่ซื่อพิลึกพิลั่นเกินไปแล้ว
จู๋เชี่ยขมวดคิ้วถาม “หลีเจิน ฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้มาจากไหนกันแน่? ยืมมาจากอริยะหรือ? แต่ฟ้าดินขนาดเล็กสามารถยืมกันได้ด้วยหรือ?”
ในบรรดาทุกคนที่อยู่ตรงนี้ หากพูดถึงคนที่คุ้นเคยกับฟ้าดินขนาดเล็กมากที่สุด หลีเจินย่อมต้องเป็นอันดับหนึ่งอย่างสมเกียรติ
หลีเจินเริ่มสาวเท้าออกเดินเล่นนานแล้ว เหมือนคราแรกที่เขาก้าวเดินอย่างผ่อนคลายขณะจับคู่ต่อสู้กับเฉินผิงอัน ทุกก้าวที่เดินไปก็จะต้องทิ้งสมบัติหนักบนภูเขาไว้ชิ้นหนึ่ง ช่วยไม่ได้ ในฐานะลูกศิษย์คนสุดท้ายของภูเขาทัวเยว่ สมบัติอาคมคือสิ่งที่ไม่ขาดแคลนมากที่สุด
และวิธีการสร้างค่ายกลของหลีเจินก็ต้องใช้พรสวรรค์สูงอย่างถึงที่สุด
หลีเจินไม่เชื่อใจค่ายกลกระบี่ใต้ดินของจู๋เชี่ย ยังต้องสร้างค่ายกลของตัวเองขึ้นมาก่อนถึงจะวางใจ ทั้งสามารถป้องกันไม่ให้เฉินผิงอันฝ่าค่ายกลออกไป ยังช่วยสกัดขวางไม่ให้เซียนกระบี่มาช่วยเหลืออีกฝ่ายได้ด้วย
หลีเจินยิ้มกล่าว “สวรรค์น่ะสิถึงรู้ว่ามาจากไหน ภารกิจเร่งด่วนตอนนี้ก็คือต้องแน่ใจก่อนว่าความลี้ลับของฟ้าดินขนาดเล็กนี่จะสามารถช่วยให้เฉินผิงอันยกระดับขอบเขตให้สูงขึ้นอีกขั้น เป็นสถานที่ไร้กฎเกณฑ์ที่มีไว้เล่นงานผู้ฝึกลมปราณโดยเฉพาะ หรือเป็นเพียงแค่เวทอำพรางตาที่ถ่วงเวลาการสู้รบเพื่อให้เซียนกระบี่มารวมตัวกับเฉินผิงอันได้ทันกันแน่”
อวี่ซื่อกำลังตรวจสอบเรื่องนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว เศษซากชิ้นส่วนของศพที่อยู่รอบด้านล้วนพากันลอยขึ้นกลางอากาศแล้วบินออกไป สุดท้ายพอเข้าไปใกล้กับแพงที่มองไม่เห็นก็พุ่งชนแล้วร่วงลงมา อวี่ซื่อมองไปในหลุมใหญ่แวบหนึ่ง ฝุ่นคละคลุ้งนั่นถูกตนสลายไปหมดแล้ว เพียงแต่ว่าภาพเหตุการณ์ใต้หลุมยังคงพร่าเลือนเหมือนมีเมฆหมอกบดบัง “นอกจากพันธนาการที่สกัดกั้นฟ้าดินแล้ว สถานการณ์ใต้หลุมนั่นก็ยากที่จะยืนยันให้แน่ใจได้ ดูเหมือนว่ารอบกายพวกเราไม่มีอะไรประหลาดสักอย่าง ไม่อย่างนั้นพวกเราก็ออกกระบี่ฝ่าฟ้าดินเล็กนี่ออกไปเลยดีไหม?”
หลีเจินส่ายหน้า ทรุดตัวลงนั่งยอง สุดท้ายใช้สมบัติอาคมชิ้นหนึ่งสยบไว้ใต้ดิน ขณะเดียวกันก็ใช้เสียงในใจตอบกลับไปว่า “ความหมายมีไม่มาก เฉินผิงอันไม่ถือสาหากพวกเราจะจากไปทั้งอย่างนี้ แต่อย่าลืมล่ะว่าเป้าหมายของพวกเราคืออะไร คือล้อมสังหารเฉินผิงอัน ก่อนหน้านี้ข้าลองใช้ทรายบินหยั่งเชิงก็ได้คำตอบมาแล้ว เป็นอย่างที่เจ้าคาดการณ์ เฉินผิงอันบาดเจ็บไม่เบา ใช้ฟ้าดินขนาดเล็กมาตบตา สืบสาวราวเรื่องกันแล้วก็เพราะเขาหวังว่าจะมีโอกาสพักหายใจหายคอ พวกเรามาลองดูกันก่อนเถอะว่าผลลัพธ์จากการออกกระบี่ของจวินทานจะเป็นอย่างไร”
อวี่ซื่อรู้สึกจนใจไม่น้อย
สถานการณ์ล้อมดักตัวคนเกิดขึ้นสำเร็จก็จริง แต่ดันหาตัวคนไม่เจอ นี่ชวนให้อึดอัดขัดใจอยู่มาก
กองทัพใหญ่ม้าเหล็กที่อยู่ในหลุม บนหอกทวนของทหารม้าล้วนมีธงเล็กๆ หลากหลายสีสันติดอยู่
ธงสีและพู่สีทั้งหลายที่ติดอยู่บนหอกและทวนก็คือวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตอย่างที่สองของกระบี่บินจวินทาน
การหลอมกระบี่จำเป็นต้องหลอมวัตถุดิบวิเศษแห่งฟ้าดินยิบย่อยมากมาย วัตถุที่เป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุดก็คือดินรากภูเขาที่มาจากห้าขุนเขาใหญ่แต่ละแห่งของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ไม่ได้เรียบง่ายเพียงแค่ว่า ‘กองทัพใหญ่ม้าเหล็ก’ ที่จำแลงมาจากกระบี่บินแค่แสร้งทำท่าให้น่าเกรงขามเท่านั้น
ดวงจิตของจวินทานพลันไม่มั่นคง พอเพ่งสายตามองไปอีกครั้งก็พบว่าตัวเองลอยตัวอยู่เหนือทะเลเมฆผืนหนึ่ง พอจะมองเห็นยอดเขาหลายลูกที่สูงทะลุชั้นเมฆคล้ายเกาะกลางทะเลได้รำไร
ฟ้าดินกว้างใหญ่อย่างถึงที่สุด
จวินทานหยุดการทะยานลมทันที เขาลอยตัวอยู่กลางอากาศ ก้มหน้าลงมอง บนสนามรบคล้ายกับเป็นสนามรบแห่งหนึ่งที่กองทัพม้าเหล็กแต่ละกองกำลังบุกโจมตี ทว่ามองดูคล้ายกับฝูงแมลงวันที่ไร้หัวเสียมากกว่า สภาพภูมิศาสตร์ไม่ได้สมเหตุสมผลเลยแม้แต่น้อย กองทัพม้าเหล็กจำนวนมากที่เดิมทีอยู่ห่างกันไกลมาก สุดท้ายกลับพุ่งเข้าชนกันเองในชั่วพริบตา
จุดที่สายตามองไปเห็นคือกองทัพใหญ่ม้าเหล็กสีเขียวมรกตกองหนึ่งที่กำลังบดขยี้เหยียบทัพกองทัพใหญ่ที่ธงเป็นสีแดงสดพอดี
แต่จวินทานไม่ได้เก็บเอา ‘เจี่ยฉี’ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตกลับมา ขอแค่กองทัพม้าเหล็กเหยียบอยู่บนพื้นดิน ต่อให้จะอยู่ในฟ้าดินขนาดเล็กที่เป็นภาพมายา กองทัพใหญ่ติดอาวุธที่ติดธงบนปลายทวนและหอกก็จะไม่มีความเสียหายใดๆ และบนสนามรบจริงก็เป็นเช่นนี้ กองทัพม้าเหล็กแหลกสลายอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ถือกำเนิดขึ้นใหม่อย่างไม่หยุดยั้ง ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย บุกรุดหน้าเปิดการโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่า เพียงไม่นานจวินทานก็ค้นพบความลี้ลับของสนามรบทางจุดนั้น มันเหมือนกระดาษหน้าหนังสือสีขาวบางเบาแต่ละแผ่นที่ถูกคนเบื้องหลังพับทบอย่างประณีติครั้งแล้วครั้งเล่าซึ่งมิอาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เป็นเหตุให้เส้นทางการเคลื่อนทัพของกองทัพม้าเหล็กแต่ละกองล้วนอยู่ในการควบคุมของศัตรู
จวินทานพบว่าเสียงในใจของตนมิอาจสื่อสารกับพวกจู๋เชี่ยได้ ร่างตกอยู่ในกับดัก ทว่าจิตแห่งกระบี่ของเด็กหนุ่มกลับยังใสกระจ่าง ชักกระบี่คู่ออกมา กระบี่เปล่งแสงวูบแล้วหายไป
กระบี่เล่มหนึ่งที่พอหายไปแล้วก็มีสายฟ้าถักทอเป็นตาข่ายอยู่ที่ม่านฟ้า ประกายแสงเปล่งวูบวาบสร้างภาพบรรยากาศอันน่าตื่นตะลึงไม่หยุด
กระบี่เล่มหนึ่งกลายร่างเป็นรุ้งเส้นยาวที่พุ่งไปยังจุดที่ห่างไกลที่สุดอย่างรีบร้อน พยายามจะสำรวจอาณาเขตความกว้างของฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ให้ได้
จวินทานยื่นฝ่ามือออกไปคว้า กระบี่บินเล่มที่สองที่เดิมทีควรอยู่ห่างไปพันจั้งกลับพุ่งเข้ามาแทงตนจากด้านหลัง แต่เด็กหนุ่มก็คว้าเอามาไว้ในมือได้สำเร็จ
จวินทานหัวเราะเสียงหยัน “ทำตัวลับๆ ล่อๆ คิดจะอาศัยลูกไม้พวกนี้มาผลาญพลังข้าไปเรื่อยๆ งั้นรึ?”
บนยอดเขาแห่งหนึ่ง เงาร่างที่เล็กเท่าเมล็ดงาพลันขยายใหญ่เท่าขุนเขาตระหง่าน คนชุดเขียวที่เรือนกายใหญ่โตมโหฬารดุจภูผาสะพายกล่องกระบี่ไว้ด้านหลัง
กายธรรมยืนตระหง่านอยู่บนยอดเขา
ราวกับคนผู้หนึ่งที่ยืนอยู่บนก้อนหินริมทาง
เฉินผิงอันยิ้มพลางก้มหน้าหลุบตาลงต่ำมองเด็กหนุ่มถือกระบี่ ยกมือข้างหนึ่งขึ้นก็มีพัดพับไม้ไผ่หยกที่ลูกศิษย์มอบให้ปรากฏขึ้นมา เงื้อขึ้นแล้วตบลงไปอย่างรวดเร็ว ทะเลเมฆรอบด้านถูกภาพบรรยากาศอันยิ่งใหญ่นั้นชักนำจึงซัดกระเพื่อมราวกับน้ำเดือดพล่าน เสียงฟ้าร้องดังแว่วมาเลือนๆ
จวินทานกลับยืนนิ่งไม่ขยับ ปล่อยให้พัดใหญ่ตบลงมาแสกหน้า สุดท้ายก็ทะลุผ่านร่างของเขาไป
จวินทานหัวเราะเสียงเย็น “ร่างจริงของเจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัสจริงๆ ด้วย ก็เลยได้แต่อาศัยภาพลวงตาพวกนี้มาถ่วงเวลาต่อไป”
เฉินผิงอันยกฝ่ามือขึ้นอีกครั้ง กลางฝ่ามือถือประคองตราประทับชิ้นหนึ่ง เขาพลิกฝ่ามือ ตราประทับก็เหมือนภูเขาที่ร่วงลงใส่จวินทาน
จวินทานโบกกระบี่ฟันตราประทับอักษรภูเขาให้ขาดออกเป็นสองท่อน ไม่มีริ้วลมปราณกระเพื่อมแม้แต่น้อย มีเพียงแสงกระบี่เท่านั้น
เป็นภาพลวงตาที่จำแลงมาจากความคิดอีกครั้ง
จวินทานสะบัดกระบี่ยาว กระดิกนิ้วเรียกอิ่นกวานหนุ่มที่แสร้งทำเล่นผีหลอกเจ้า
‘เฉินผิงอัน’ ผู้นั้นคลี่ยิ้มบางๆ คีบยันต์สีทองอีกแผ่นหนึ่งออกมา เพราะเป็นยันต์ที่ถืออยู่ในมือของกายธรรม ในสายตาของเด็กหนุ่มจวินทานจึงใหญ่โตมโหฬารอย่างถึงที่สุด แก่นของยันต์มองคล้ายกับบ่อสายฟ้าสีทอง ยันต์สีทองพลังอำนาจน่ายำเกรงที่ซุกซ่อนบ่อสายฟ้าเอาไว้ลอยล่องเข้าหาเด็กหนุ่มผู้ฝึกกระบี่
ขณะเดียวกันนั้นมือซ้ายร่างกายธรรมของเฉินผิงอันก็ยกขึ้นเบาๆ รากภูเขาเส้นหนึ่งบนพื้นดินถูกดึงจนขาดออก บวกกับยันต์สีทองที่ลอยมาปกคลุมเหนือหัวของจวินทาน ทั้งล่างและบนจึงพุ่งขยับเข้ากระแทกใส่ร่างของฝ่ายหลัง
นิ้วข้างหนึ่งของจวินทานปาดไปบนตัวกระบี่ยาว ปลายนิ้วยันไว้ที่ปลายกระบี่ ปลายแหลมของกระบี่ปลดปล่อยกลุ่มแสงพร่างพราว สุดท้ายก็เกิดวงกลมแสงกระบี่ขนาดใหญ่ที่มีเด็กหนุ่มผู้ฝึกกระบี่เป็นจุดศูนย์กลางขึ้นมาต้านรับการกระแทกชนจากยันต์และรากภูเขา
ครั้งนี้การลงมือของอิ่นกวานหนุ่มกลับเป็นของจริงทั้งหมด!
จวินทานที่ความโชคดีมาเยือนสติปัญญาจึงบังเกิดพลันทิ้งตัวไปด้านหลัง สองนิ้วทำมุทรา ชุดคลุมอาคมที่อยู่บนร่างปล่อยแสงเจ็ดสีที่สะดุดตาอย่างถึงที่สุด ก่อนที่นักสังคีตแห่งสรวงสวรรค์ที่สวมชุดยาวพลิ้วไสวสีสันงดงามจะพากันลอยออกมา เรือนกายของพวกนางเล็กจิ๋วน่าเอ็นดู รีบพากันปกป้องช่องโพรงลมปราณแห่งชะตาชีวิตทั้งหมดของเด็กหนุ่มเอาไว้ทันที
จวินทานขี่กระบี่ขยับออกห่างจุดเดิม นาทีถัดมาที่เขาหยุดลอยตัวนิ่ง ด้านหลังของเด็กหนุ่มก็มีกายธรรมร่างทองปรากฏขึ้นมาอีก เป็นร่างของเทพธิดาที่รูปโฉมงดงามอย่างถึงที่สุด นางค้อมเอวโน้มตัวมาด้านหน้าเล็กน้อย สองมือจึงประคองจับเรือนกายของเด็กหนุ่มเอาไว้ได้พอดี