ตอนที่ 371 ดนตรีบรรเลงไม่ช้าไม่เร็ว คาดว่ามีสิ่งใดแอบแฝง (2)
ลู่ฮูหยินได้ยินคำพูดเช่นนี้จึงรู้สึกตกตะลึง ทว่าก็รู้สึกดีใจจากใจจริง
หลังจากที่องค์หญิงต้าจั่งจากไป ลู่ฮูหยินก็ดูไร้ชีวิตชีวา นางมักจะป่วยอยู่เป็นประจำ และได้เชิญหมอมาดูอาการมาครึ่งปีก็ใช่ว่าจะดีขึ้น ดังนั้นเรื่องที่ตงเหมยตั้งครรภ์ นางก็เพิ่งจะรู้เมื่อคืนนี้
ตอนนั้นนางยังรู้สึกเกรี้ยวโกรธ ไม่ว่าอย่างไร เรื่องนี้ซูอวี้เสียงก็เป็นฝ่ายกระทำผิด การมีอะไรกับบ่าวไพร่ของเรือนมารดาเป็นเรื่องไม่น่ายกย่อง หากเหยาเฟิ่งเกอโมโหกับเรื่องเช่นนี้ขึ้นมา ทุกคนคงเสียหน้า ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ตระกูลเหยายังสร้างผลงานดีๆ ไว้มากมาย ถึงแม้จวนติ้งโหวจะเป็นเชื้อพระวงศ์ ทว่าก็ไม่ควรดูหมิ่นตระกูลเหยา
วันนี้พอได้ยินเหยาเฟิ่งเกอพูดเช่นนี้ ลู่ฮูหยินจะไม่มีความสุขได้อย่างไร ดังนั้นจึงพูดขึ้นยิ้มๆ “เจ้ามีคุณงามความดีเช่นนี้ นับว่าเป็นโชคลาภของเจ้าสามจริงๆ แต่ว่าตอนนี้ยังอยู่ในช่วงไว้อาลัยองค์หญิงต้าจั่ง งานนี้คงจัดอย่างอลังการไม่ได้ และคงมิอาจเชิญแขกมาเฉลิมฉลองได้ ให้ตงเหมยไปอยู่ที่เรือนของเจ้าเถอะ ช่วงนี้ก็เลือกวันให้พวกเขาเข้าเรือนหอ สาวใช้คนนี้รับใช้ในเรือนข้ามาหลายปี วันนี้ถือว่านางมีที่พึ่งพิงเสียที เช่นนี้ข้าก็รู้สึกวางใจแล้ว”
เหยาเฟิ่งเกอค้อมตัวลงต่อหน้าลู่ฮูหยินอีกครั้งด้วยรอยยิ้มจางๆ พร้อมกล่าวขอบคุณที่ฟังดูรื่นหูเป็นอย่างมาก
จากนั้น ตงเหมยจึงถูกลู่ฮูหยินเรียกตัวออกมา หลังจากมอบเครื่องประดับสองชุดและเงินหนึ่งร้อยยี่สิบตำลึงต่อหน้าเหล่าสะใภ้ จากนั้นก็สั่งให้นางติดตามเหยาเฟิ่งเกอไปที่เรือนฉีเสียง
ซุนฮูหยินน้อยจึงพูดจาหยอกล้อตงเหมย จากนั้นก็สั่งให้คนเตรียมปิ่นหนึ่งคู่ ผ้าต่วนสองผืน ทั้งยังมีกำไลหยกอีกหนึ่งคู่ เพื่อแสดงความยินดี
ส่วนเฟิงฮูหยินก็แค่ยิ้มๆ แล้วกล่าวคำยินดีกับตงเหมยสั้นๆ เท่านั้น
ตั้งแต่ออกจากเรือนของลู่ฮูหยิน เฟิงซิ่วอวิ๋นก็เอ่ยถามเฟิงฮูหยินน้อยด้วยความไม่เข้าใจ “พี่สาวทำเช่นนี้ไม่ค่อยเหมาะสมหรือเปล่า อย่างไรตงเหมยก็คือสาวใช้คนสนิทของฮูหยิน”
เฟิงฮูหยินน้อยยิ้มจางๆ แล้วพูดขึ้น “ท่านแม่บอกแล้ว หากยังไม่ผ่านช่วงเวลาไว้อาลัยองค์หญิงต้าจั่ง เรื่องนี้ไม่สะดวกที่จะป่าวประกาศให้ใครรู้”
“ทว่า นี่ก็อยู่ในเรือนของตนเอง พวกเราทำเช่นนี้…” เฟิงซิ่วอวิ๋นรู้สึกว่าเฟิงฮูหยินน้อยทำเช่นนี้ไม่เหมาะสม ไม่เพียงแต่สร้างเรื่องบาดหมางใจต่อฮูหยิน แล้วยังไม่ให้เกียรติสะใภ้สาม อีกอย่างอนาคตก็จะไม่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับตงเหมย
เฟิงฮูหยินน้อยไม่รอให้เฟิงซิ่วอวิ๋นพูดจบก็พูดแทรกนางขึ้นก่อน “พอเถอะ ให้เรื่องนี้เป็นไปตามนี้ ไม่ต้องมากความอะไรอีก ท่านพี่ได้รับชัยชนะกลับมาจากการรบ เหล่าแม่ทัพต่างได้เลื่อนขั้นทั้งนั้น ถึงแม้ตอนนี้พวกเราจะอยู่ในช่วงไว้อาลัยจึงไม่สะดวกไปไหนมาไหน ทว่าก็ต้องไปร่วมแสดงความยินดีกับจวนต่างๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง เจ้าต้องใส่ใจทุกรายละเอียดเป็นพิเศษ”
ได้ยินคำพูดนี้ เฟิงซิ่วอวิ๋นก็รู้สึกหม่นหมองใจ
เดิมทีก็นึกว่าเว่ยจางไม่ตายก็คงจะพิการ กลับนึกไม่ถึงว่าคนคนนี้ไม่เพียงแต่กลับมาอย่างปลอดภัยได้ แล้วยังได้เป็นถึงเจวี๋ย อีกอย่างเหยาเยี่ยนอวี่ก็พลอยได้รับประโยชน์จากครั้งนี้ จนได้รับการแต่งตั้งให้กลายเป็นหมอหลวงขั้นที่สาม เฟิงซิ่วอวิ๋นลอบกัดฟัน เหตุใดสวรรค์ถึงได้ลำเอียงเช่นนี้!
พูดถึงการร่วมแสดงความยินดีในครั้งนี้ จวนเจิ้นกั๋วกง จวนเฉิงอ๋อง จวนแม่ทัพเว่ย และจวนราชครูเซียวที่ฮ่องเต้เพิ่งพระราชทานจวนแห่งใหม่ที่อยู่ในเมืองหลวง ล้วนเป็นจวนที่ทุกจวนอยากไปสานความสัมพันธ์ที่ดีด้วย
ในจวนเว่ยจางไม่เพียงแต่มีแม่ทัพเว่ยที่อาศัยอยู่ แล้วยังมีถังเซียวอี้ จ้าวต้าเฟิง และเก๋อไห่ ทั้งสามคนอาศัยอยู่ด้วยกัน แม้กระทั่งจวนเฮ่อซียังอยู่ด้านข้างของแม่ทัพเว่ย กล่าวได้ว่าถนนทั้งสายนี้มีแต่เหล่าแม่ทัพอาศัยอยู่ น่าจะเป็นสถานที่ที่คึกคักที่สุด
เพียงตอนเว่ยจางกลับมาถึงก็แจ้งไว้ก่อน ใครที่มาร่วมแสดงความยินดี มาดื่มสุราแสดงความยินดีได้ตามที่ต้องการ แต่จะไม่รับของขวัญแสดงความยินดีของใครทั้งนั้น ส่วนแม่ทัพเว่ยเองก็ไม่ได้อยู่ในงาน แม้กระทั่งพวกถังเซียวอี้ยังไม่โผล่หน้าไปให้เห็น จึงมีแขกเหรื่อที่มาร่วมแสดงความยินดีถามถึง ฉังเหมาแค่บอกว่าเหล่าแม่ทัพมีธุระทางการทหารที่สำคัญจึงไม่อยู่จวน
ดังนั้นหลายวันมานี้ ประตูจวนที่เงียบสงบที่สุด ก็คงเป็นจวนแม่ทัพเว่ย
ในความเป็นจริง เว่ยจางไม่ได้คิดจะหลีกเลี่ยง แค่เขาไม่ได้อยู่ในจวนจริงๆ
หลังจากวันนั้นที่ได้รับบำเหน็จและร่วมงานเฉลิมฉลองกับเหล่าขุนนางในราชวังเสร็จตอนบ่าย ทุกคนก็แยกย้ายกันกลับจวน เว่ยจางถูกไหวเอิน ขันทีเอกของฮ่องเต้เชิญไปเข้าเฝ้า ฮ่องเต้จึงเอ่ยถามถึงเรื่องที่เหยาเยี่ยนอวี่เจอผู้ร้ายทำร้ายเสร็จ ก็เอ่ยถามถึงเรื่องกองทัพนกอินทรี
ครั้งนี้ทหารนกอินทรีสี่สิบนายเสียชีวิตไปสี่นายในศึกสงคราม เหยาเยี่ยนอวี่เจอผู้ร้ายทำร้ายในครั้งนั้น ทหารสามนายได้รับบาดเจ็บ มีเพียงหนึ่งนายที่รอดชีวิต รวมหนึ่งคนที่เสียชีวิตเมื่อครั้งที่แล้ว จึงเสียชีวิตไปทั้งหมดสี่นาย
ฮ่องเต้ได้ยินเช่นนี้จึงรู้สึกเสียดายยิ่งนัก แต่นอกจากเสียใจแล้วยังคงรู้สึกว่ากองทัพนกอินทรีมีความสำคัญในการทำศึกครั้งนี้อย่างมาก ด้วยเหตุนี้จึงบัญชาเว่ยจางว่าต้องฝึกฝนกองทัพนกอินทรีให้หนักหน่วงกว่านี้ อย่าคิดว่าสงครามครั้งนี้ผ่านไปแล้วก็ประมาทเลินเล่อ
ด้วยเหตุนี้ เหล่าแม่ทัพคนอื่นๆ มีเวลาพักผ่อนครึ่งเดือน ทว่าแม่ทัพเว่ยกลับไม่มีเวลาพักผ่อนแม้แต่ครึ่งวัน หลังจากได้รับคำสั่ง วันถัดไปเขาก็มุ่งหน้าไปที่ค่ายทหาร แล้วสั่งให้จ้าวต้าเฟิงและเก๋อไห่คัดเลือกทหารยอดฝีมือใหม่อีกชุด หลังจากรอให้มอบหมายงานทุกอย่างในค่ายทหารเสร็จ ก็ผ่านไปห้าวันแล้ว
ระหว่างทางที่กลับมา ถังเซียวอี้พึมพำว่าชีวิตช่างแสนลำบาก จากนั้นก็ใช้คำพูดที่หมอหลวงเหยาพูดก่อนหน้านี้ ‘พวกเราตื่นเช้ากว่าไก่ กินน้อยกว่าแมว เหนื่อยยิ่งกว่าสุนัขจริงๆ!’
เว่ยจางแค่ยิ้มกับคำพร่ำบ่นของเขา ตอนนี้ภายในใจของเขาเฝ้าคะนึงถึงแต่เหยาเยี่ยนอวี่ ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าตนเป็นหนี้บุญคุณของสหายคนนี้ ที่ลากเขามาลำบากด้วย
หันหมิงชั่นจึงใช้เวลาสองสามวันนี้ชวนซูอวี้เหิงไปร่วมแสดงความยินดีกับเหยาเยี่ยนอวี่ที่จวนเหยา และรับเหยาเยี่ยนอวี่ไปค้างคืนที่จวนขององค์หญิงใหญ่ หลังจากแม่ทัพเว่ยกลับเมืองหลวงก็ไปหาเหยาเหยียนอี้ที่จวนเหยาเพื่อปรึกษาหารือวันเวลาที่จะจัดงานแต่ง ภายในใจก็รู้สึกว่างเปล่าอย่างน่าแปลก
สำหรับเรื่องกำหนดการงานสมรส เดิมทีเว่ยจางรู้สึกยิ่งเร็วยิ่งดี นี่ก็กลางเดือนห้าแล้ว หากเลื่อนไปตอนช่วงเดือนหกเดือนเจ็ด อากาศต้องร้อนระอุมากแน่นอน แม่ทัพเว่ยกลัวว่าสภาพร่างกายของคุณหนูเหยาจะรับไม่ไหว จึงคิดว่าจะกำหนดวันสมรสในช่วงเดือนแปด ดังนั้นเลยเชิญขุนนางสำนักโหราศาสตร์มาเสวนาฤกษ์วิวาห์กับเหยาเหยียนอี้ ขุนนางท่านนี้บอกว่าวันที่สิบหกเดือนเก้าของปีนี้เป็นฤกษ์งามยามดี
เหยาเหยียนอี้พูดขึ้น เดิมทีได้กำหนดไว้เป็นวันที่สิบหกเดือนเก้าของปีที่แล้ว วันนี้เหตุเพราะศึกสงคราม ถึงจะล้าช้าไปหนึ่งปี รวมไปถึงเหยาเยี่ยนอวี่ได้รับบาดเจ็บ เลยไม่อยากให้นางเหน็ดเหนื่อยเกินไป จึงได้เลือกวันเวลาที่ขุนนางท่านนี้เสนอ
กลับกล่าวถึงเหยาเยี่ยนอวี่ที่ถูกหันหมิงชั่นรับไปที่จวนองค์หญิงใหญ่ ในวันนี้องค์หญิงใหญ่หนิงหวาเป็นคนสั่งให้จัดงานเลี้ยงรับขวัญเหยาเยี่ยนอวี่
ในงานพูดถึงยาทาลดรอยแผลเป็นที่เหยาเยี่ยนอวี่คิดค้นขึ้นมา องค์หญิงใหญ่จึงแย้มพระสรวลพลางตรัส “เปิ่นกงได้ข่าวว่ายาทาลบรอยแผลนี้ขายดิบขายดียิ่งนัก ทั้งยังโด่งดังจากเหนือไปถึงใต้แล้ว งานวิวาห์ครั้งนี้ของคุณหนูเหยา ต้องมีสินเดิมเจ้าสาวที่อลังการแน่นอน เว่ยเสี่ยนจวินช่างมีบุญวาสนายิ่งนัก”
เหยาเยี่ยนอวี่หน้าแดงระเรื่อขึ้นมาทันที จากนั้นก็เหยียดกายลุกขึ้น “ขอบพระทัยในพระกรุณาธิคุณขององค์หญิงใหญ่เพคะ”
องค์หญิงใหญ่หนิงหวาพูดขึ้นยิ้มๆ “ไม่ต้องขอบพระทัยหรอก นี่ก็แค่ใช้นามของเปิ่นกงไปอ้างอิงเท่านั้น ประเด็นคือยาทาของเจ้ามีประสิทธิภาพจริงๆ แล้วยังมีวิธีการจำหน่ายอันยอดเยี่ยมของพี่ชายเจ้า พวกเจ้าสองพี่น้อง เป็นผู้มากความสามารถของที่หายากจริงๆ”
เหยาเยี่ยนอวี่ไม่กล้ายกความดีความชอบของตัวเอง แค่พูดอย่างถ่อมตนเท่านั้น
องค์หญิงใหญ่หนิงหวาผายมือและพูดขึ้นยิ้มๆ “ยัยหนูคนนี้อยู่ต่อหน้าเปิ่นกงยังคงระมัดระวังคำพูดและการกระทำมากเกินไปจริงๆ”
เหยาเยี่ยนอวี่พลันตอบกลับ องค์หญิงใหญ่หนิงหวาเอ่ยถามว่าแผลของเหยาเยี่ยนอวี่เป็นอย่างไรบ้างแล้ว และฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นตอนทำศึกสงคราม เหยาเยี่ยนอวี่กลัวว่าองค์หญิงใหญ่จะกังวลพระทัยเรื่องบุตรชายสองคนของตัวเอง จึงเลี่ยงการเล่าเหตุการณ์ที่อันตราย แค่เล่าเฉพาะเรื่องที่น่าสนใจเท่านั้น
หันหมิงชั่นได้ยินมาว่ามีทะเลสาบเซียนหนู่จึงรู้สึกดีใจยิ่งนัก และยังบอกว่าอนาคตหากมีโอกาสนางต้องไปเที่ยวแน่นอน
คืนนั้น เหยาเยี่ยนอวี่ค้างคืนในจวนองค์หญิงใหญ่ หันหมิงชั่นนอนลงบนเตียงกับนาง พูดด้วยรอยยิ้มเบิกบาน “ตอนกลางวัน เสด็จแม่บอกว่าสินเดิมเจ้าสาวของเจ้าต้องอลังการแน่นอน อย่าลืมเอายาทาที่เจ้าคิดค้นไปเป็นสินเดิมด้วยล่ะ ตอนนี้โรงงานหลอมกระจกของเจ้ากำลังไปได้ดี ไม่ว่าจะเป็นคันฉ่องโต๊ะเครื่องแป้ง กาชา ถ้วยชา และแจกันก็ผลิตออกมาอย่างครบครัน อีกอย่างปีที่แล้วฮองเฮาเหนียงเหนียงก็เชิญองค์หญิงใหญ่ หวังเฟย เหล่าองค์หญิงจวิ้นจู่เข้าวังไปชมหิมะ ทุกคนล้วนบอกว่าหน้าต่างกระจกบานนั้นนับว่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ต่างก็บอกว่ากลับจวนไปจะเอาไปทำเป็นแบบอย่าง ในสวนพฤกษาของทุกจวนจึงสร้างเรือนกระจกที่เอาไว้ชมหิมะ เจ้าว่าแค่ทุกจวนสั่งทำเรือนกระจกกับเจ้า เจ้าจะได้รับเงินเท่าใดกันเชียว ว่าไปแล้ว ข้าน่ะช่างอิจฉาแม่ทัพเว่ยยิ่งนัก”