เริ่นเสี่ยวซู่ซ่อนตัวและคอยเฝ้าจับตาอยู่แถวประตูทางเข้าของมหาวิทยาลัย
ตลอดทั้งเขตตะวันตกของป้อมปราการ 109 ตกอยู่ในความโกลาหลจากเงื้อมมือของหลี่เสินถาน
หยางเสียวจิ่นที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดเห็นสถานการณ์ทุกอย่าง ช่วงหัวค่ำเธอเห็นคนหนึ่งในห้าของเขตพุ่งไปยังมหาวิทยาลัย คนพวกนั้นประดุจแมงเม่าบินเข้ากองไฟ ทุกคนวิ่งกระโจนไปอย่างบ้าคลั่งเฉกเช่นสัตว์ป่าไร้สติปัญญา
ก่อนหน้านี้เธอบอกกับเริ่นเสี่ยวซู่ว่าพรายกระซิบออกมาแล้ว ชะตากรรมของป้อมปราการยากแน่ชัด ไม่รู้ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือร้ายกันแน่
แต่ตอนนี้ผลออกมาเป็นเรื่องร้ายยิ่งกว่าร้าย ที่จริงหลายคนไม่ทันนึกด้วยซ้ำว่าคนเพียงคนเดียวจะสร้างความโกลาหลได้ขนาดนี้
นี่เป็นยุคสมัยที่ผู้มีพลังพิเศษจะรุ่งเรือง แต่ก็ยังมีหลายองค์กรที่ทำเป็นเมินเฉยต่อสิ่งที่ผู้มีพลังพิเศษจะนำมาสู่ยุคสมัย
หลี่เสินถานอีกด้านหนึ่งถือว่ากำลังทำให้อำนาจใหญ่ฝ่ายต่างๆ ได้รู้ซึ้งว่าพลังทำลายล้างของผู้พลังพิเศษนั้นมันน่าตกใจเพียงไร
หนึ่งบุคคลทรงพลังที่ค่อยๆ มีอำนาจเกินกลุ่มสมาคม
ยิ่งฝูงชนเข้าใกล้มหาวิทยาลัยพวกเขายิ่งเคลื่อนไหวเร็วขึ้น บางคนที่ร่างกายอ่อนแอรับไม่ไหวแล้วก็ล้มลงกับพื้น ไม่อาจเคลื่อนไหวอะไรได้อีก
แต่คนอื่นๆ ก็พุ่งผ่านพวกพวกเขาไปราวกับไม่เห็นว่ามีเพิ่มล้มลงตรงหน้า
ที่มหาวิทยาลัย กองกำลังของสมาคมตระกูลหลี่ที่ทำหน้าที่คุ้มกันสถานที่กำลังตะลึงกับภาพที่เห็นไม่ใช่ว่าพวกเขามีจิตใจบอบบางอะไร แต่พวกเขาไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นภาพไม่ต่างกับนรกภูมิบนโลกแห่งนี้
ผู้บังคับบัญชาการกองกำลังป้องกันเป็นคนแรกที่ได้สติ เขารีบแจ้งเตือนว่าถ้ากลุ่มคนเข้ามาใกล้จะทำการยิงทันที
ในฐานะที่เป็นของสมาคมตระกูลหลี่ สันชาตญาณสั่งให้เขาเลือกเตือนออกไปก่อนจะเปิดยิงสังหารเลย ด้วยเพราะว่าคนที่วิ่งมาอย่างบ้าคลั่งนั้นล้วนเป็นประชาชนในป้อมปราการของสมาคมตระกูลหลี่เอง ถ้าพวกเขายิงออกไปอย่างโหดเหี้ยม เขาอาจจะถูกวิจารณ์และโดนลงโทษเอาได้ พอถึงเวลานั้นสมาคมตระกูลหลี่ต้องเจอความโกรธเกรี้ยวของฝูงชน และสุดท้ายก็เป็นเขาเองที่ต้องออกมาเป็นแพะรับบาปสำหรับการเป็นผู้สั่งยิง!
ที่สำคัญคือเขาคิดว่าถ้าแจ้งเตือนเสียหน่อยก่อนยิง คนพวกนั้นน่าจะชะงักร่างเพราะกลัวอาวุธบ้าง
อนิจจา เขาคำนวณผิดไป!
ชาวป้อมปราการไร้จิตใจไร้ซึ่งความกลัวเกรง พวกเขาสูญเสียความเป็นตัวเองไปแล้ว
เจตจำนงของการสะกดจิตคือการให้ผู้ถูกสะกดจิตนั้นส่งมอบสติออกไปอย่างสิ้นเชิง!
และเพราะการตัดสินใจผิดพลาดของนายทหารผู้นี้ ทำให้กองกำลังของสมาคมตระกูลหลี่เสียโอกาสที่ดีที่สุดไปแล้ว
แต่ที่นายทหารผู้นี้ตัดสินแบบนั้นก็ไม่ผิด เขากำลังเผชิญหน้าคู่ต่อสู้ที่น่าพรั่นพรึงที่สุดซึ่งเขาไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน
กว่าพวกเขาจะรู้ตัวว่าคำเตือนนั้นไร้ค่า และเตรียมจะลั่นไกยิงนั้นใส่ชาวป้อมปราการนั้น เหล่าผู้เสียสติก็ห่างจากประตูทางเข้ามหาวิทยาลัยไม่กี่สิบเมตรแล้ว
“ไม่ดีแล้ว! ยิงได้เลย!”
เสียงปืนดังถี่รัว ทหารจากสมาคมตระกูลหลี่ลั่นไกด้วยความหวาดผวา
ทว่าคลื่นแรกที่มาก็แค่ตัวรับกระสุน คนที่อยู่ข้างหลังเหยียบข้ามผู้ล้มลงและมุ่งต่อไป พวกเขาโถมไปอย่างไร้ซึ่งความหวาดกลัว!
เพียงแค่หนึ่งนาที ป้อมป้องกันอันหนาแน่นที่หน้าประตูทางเข้ามหาวิทยาลัยก็ถูกตีแตก ฝูงชนพุ่งไหลหลากเข้าไปในแนวป้องกันที่เดิมทีดูจะไม่มีทางทะลวงผ่านไปได้
ไม่ใช่แค่นั้น ยังมีชาวป้อมปราการอีกไม่น้อยที่ปีนรั้วไฟฟ้าที่อยู่ตามกำแพง
กำแพงด้านหนึ่งถล่มลงมา!
เริ่นเสี่ยวซู่เห็นเช่นนี้ก็ผวา คนพวกนี้เสียสติไปแล้วเหรอ!
ตอนนี้เองพื้นใต้เท้าเขาก็ขยับ
เริ่นเสี่ยวซู่ก้มดู แล้วก็เห็นว่าตัวเองกำลังยืนอยู่บนปากท่อน้ำ
เขารู้สึกเหมือนกับมีคนผลักฝาท่อจากด้านล่าง แต่คนผู้นั้นทำอย่างไรก็เปิดไม่ออกเสียที จากนั้นเสียงหัวเสียของหลัวหลานก็ดังมาจากข้างล่าง “พวกสมาคมตระกูลหลี่เวรนั้นมันปิดผนึกฝาท่อแล้วเหรอไงวะ แม่*เอ้ย ลองไปที่จุดดู”
เริ่นเสี่ยวซู่ใบหน้าเหยเก เขาเดินไปอีกไม่กี่สิบเมตร จากนั้นก็เดินไปยืนบนฝาท่อที่อยู่ห่างไปไม่กี่สิบเมตร และแล้วเสียงของหลัวหลานก็ดังมาอีกครั้ง “เชี่ยเอ้ย! อันนี้ก็เปิดไม่ได้เหมือนกัน!”
แต่ก่อนที่เริ่นเสี่ยวซู่จะทันได้หัวเราะ เขาก็ได้ยินเจ้าอ้วนหลัวคำรามจากเบื้องล่าง “ช่างหัวแม่* ระเบิดฝาท่อทิ้งเลย!”
เริ่นเสี่ยวซู่รีบพูดทันที “ขึ้นมาๆ ไม่ต้องระเบิดๆ…”
เริ่นเสี่ยวซู่หลบไปด้านข้าง ฝาท่อระบายน้ำก็เลื่อนเปิดขึ้นมานิดหน่อยอย่างรวดเร็ว หลัวหลานสบตากับเริ่นเสี่ยวซู่ผ่านช่องน้อยๆ ที่เปิดออกนั่น
“เป็นแกหรอกเหรอไอ้หนู” หลัวหลานเหวี่ยง ยกตัวปืนออกจากท่อ ร่างอวบของเขาคงติดอยู่คารูนั่นแล้วถ้าไม่ได้คนข้างล่างดันขึ้นมา
เริ่นเสี่ยวซู่ถาม “เกิดปีหนูหรือยังไง ทำไมชอบโผล่ออกมาตามท่อนัก”
“นายจะไปรู้อะไร” หลัวหลานปรามาส “พวกเรามองการณ์ไกล ตอนที่ป้อมนี้กำลังจะสร้าง พวกเราก็ส่งคนมาแทรกซึมในทีมออกแบบสถาปัตยกรรมแล้ว ไม่มีอะไรในสมาคมตระกูลหลี่ที่เราไม่รู้ นายไม่คิดเหรอว่าเดินทางไปทั่วโดยไม่มีเห็นมันโคตรเจ๋งนะ”
“เจ๋งแหละ เจ๋งมาก” เริ่นเสี่ยวซู่พยักหน้า “แต่ว่ามันเหม็นไปหน่อย”
จากนั้นเขาก็เห็นทหารของสมาคมตระกูลชิ่งออกจากท่อน้ำมาทีละคนๆ จนกระทั่งทหารร้อยกว่านายออกมาครบ พวกเขาติดอาวุธครบมือ มีทหารคนหนึ่งแบกอาร์พีจีมาด้วยซ้ำ!
เริ่นเสี่ยวซู่นิ่งไป “พวกนายก็จะโจมตีมหาวิทยาลัยเหมือนกันงั้นเหรอ”
“แหงสิ สมาคมตระกูลหลี่เห็นเป็นของรักของหวงแบบนี้ พวกเราต้องรู้ให้ได้ว่ามันคืออะไร” หลัวหลานเอ่ย
“ก็คือกระเหี้ยนกระหือแม้แต่กับของที่ยังไม่รู้ว่าคืออะไรเลยอะนะ?” เริ่นเสี่ยวซู่สงสัย
“พวกเราพอเดาออกว่าคืออะไร” หลัวหลานว่า “น่าจะเป็นพวกนาโนแมชชีนมั้ง”
เริ่นเสี่ยวซู่หน้าอึมครึม “ขอเสียงแบบมั่นใจกว่านี้หน่อยได้มะ”
หลัวหลานไม่พอใจ “สมาคมตระกูลหลี่เก็บความลับดีจะตาย ทุกคนก็ได้แต่เดาสุ่มไปเรื่อยกันทั้งนั้นแหละ แต่เรื่องนาโนโบโรติกส์[1]นี่สมาคมตระกูลหลี่อยู่แถวหน้าของวงการ พวกเราจะอยู่ในขั้นทดลองอยู่เลย แต่พวกเขาสามารถใช้นาโนแมชชีนในทางการแพทย์ได้แล้ว”
เจ้าอ้วนหลัวพูดต่อ “ช่วงแรกๆ นาโนแมชชีนที่พวกเขาสร้างจากสายพันธุกรรมสามารถใช้ทำลายลิ่มเลือดหรืออะไรพวกนั้นได้ ตอนนั้นผู้บริหารหลายคนขององค์กรต่างๆ พอแก่หน่อย ก็ต้องยอมไปโรงพยาบาลสมาคมตระกูลหลี่เพื่อรักษาโรค สมาคมตระกูลหลี่ถึงกับมีนาโนไซม์[2]ที่ใช้รักษาโรคตับอักเสบซีด้วยซ้ำ เรื่องพวกนี้เป็นงานวิจัยหลักที่สมาคมตระกูลหลี่นำหน้าอยู่”
พูดถึงเรื่องไวรัสตับอักเสบแล้วเริ่นเสี่ยวซู่ก็โพล่ง “ฮะ นี่สมาคมตระกูลชิ่งคิดจะบุกเข้าอุตสาหกรรมยางั้นเหรอ”
[1] นาโนโบโรติกส์ (Nanoborotics) ศาสตร์ว่าด้วยการออกแบบและสร้างเครื่องจักรหรือหุ่นยนต์ที่เล็กมากในระดับนาโนเมตร (nanomachine/nanobot)
[2] นาโนไซม์ (Nanozyme) หมายถึงเอนไซม์เทียมระดับนาโนที่สังเคราะห์เลียนแบบเอนไซม์ธรรมชาติ
ส่วนเอนไซม์ หรือ enzyme คือ กลุ่มของโปรตีนที่มีหน้าที่พิเศษแตกต่างจากโปรตีนทั่วไป คือ มีความสามารถในการเร่งปฏิกิริยาทางชีวเคมีที่เกิดขึ้นภายในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง เพื่อใช้ในการสังเคราะห์องค์ประกอบภายในเซลล์ ระบบการย่อยอาหาร ฯลฯ (MedThai, 2017)