“ไม่ใช่อย่างงั้น” หลัวหลานส่ายหัว “พวกเราแค่เดาว่าน่าจะเป็นอย่างนั้นเฉยๆ เมื่อก่อนพวกนาโนแมชชีนทำงานได้แต่แบบง่ายๆ พื้นๆ อย่างเดียว สมาคมตระกูลชิ่งยังใส่โปรแกรมซับซ้อนให้พวกมันไม่ได้ พวกเราเลยไม่ได้ให้ความสนใจอะไรเรื่องนี้น่ะ แต่ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังจะพัฒนาได้ไปอีกขั้นแล้ว”
ตอนแรกเริ่นเสี่ยวซู่นึกว่าจะเป็นงานวิจัยอันน่าเหลือเชื่อเกี่ยวกับการทดลองผู้มีพลังพิเศษเสียอีก แต่กลับกลายมาเป็นพวกนาโนเทคโนโลยีอะไรเทือกนั้นเสียได้ ได้ยินแล้วเขาก็คิดจะจากไปทันที
งานวิจัยวิทยาศาสตร์พวกนี้สำคัญมากสำหรับองค์กรใหญ่ๆ แต่สำหรับคนรากหญ้าอย่างเริ่นเสี่ยวซู่แล้วไม่มีค่าเลย นักเรียนหางแถวแบบเขา คำว่า ‘นาโนแมชชีน’ อะไรนั่นเขาเพิ่งเคยได้ยินครั้งแรก ไม่รู้หรอกว่ามันคือบ้าอะไร!
อันที่จริงเริ่นเสี่ยวซู่ก็มีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์อยู่ แต่เรื่องที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนก็ไม่ต่างกับความเชื่องมงายที่ล้ำสมัย…
อีกอย่างถ้าคนอย่างหลัวหลานยังได้แค่คาดเดา แถมคาดเดาตั้งมากมายก็ยังได้แค่คาดเดาต่อไป เริ่นเสี่ยวซู่ยิ่งไม่อยากเสียเวลาไปกับเรื่องที่ไม่รู้แน่ชัดเช่นนี้
หลัวหลานพูด “เอางี้เป็นไง ถ้านายช่วยฉันขโมยงานวิจัย ฉันจะจ่ายราคางามเลย”
“เดาเก่งขนาดนี้ ไม่เดาหน่อยล่ะว่าฉันจะช่วยนายไหม” เริ่นเสี่ยวซู่หัวเราะหึหึ
“ฉันเดาว่านายช่วยหน่า!” หลัวหลานพูดอย่างตื่นเต้น
“เดาอีกรอบ!”
หลัวหลานเงียบไป แล้วเอ่ย “ฟังนะ ฉันเป็นคนบอกนายว่าตัวทดลองกำลังมา”
“ขอบคุณ” เริ่นเสี่ยวซู่พูดจากใจจริง
“ช่างเหอะ” หลัวหลานโบกมืออย่างไม่สบอารมณ์ “ไม่อยากช่วยก็ไม่ต้องช่วย แต่ฉันขอบอกอะไรนายหน่อยนะ ในหมู่ตัวทดลองเหมือนจะมีตัวที่มีสติปัญญาอยู่ด้วย พวกเราเจอว่ามันกำลังทำการทดลองใส่ตัวเอง นายคิดว่ามันน่ากลัวขนาดไหนล่ะ”
เริ่นเสี่ยวซู่ผงะเล็กน้อย “ถ้าตัวทดลองไม่ทำทดลองใส่ตัวเองแล้วมันควรทำอะไรล่ะ”
ถึงคราวที่หลัวหลานผงะบ้างแล้ว “ก็จริงแฮะ”
เริ่นเสี่ยวซู่เมินหลัวหลาน และคิดจะหันหลังกลับไปบ้านล้อมสวนที่เช่าไว้ทันที ตอนนี้เหยียนลิ่วหยวน หวังฟู่กุ้ย และคนอื่นๆ กำลังรอเขาอยู่ที่นั่น
ตอนที่เดินหนีมาแล้วนั้น เริ่นเสี่ยวซู่ได้หันกลับไปมอง และก็ยังเห็นว่าหยางเสียวจิ่นยังยืนอยู่เหนือตึก เหมือนเธอกำลังคุ้มกันใครอยู่อย่างนั้น
จากนั้นเขาก็เห็นใบหน้าคุ้นเคย โผล่มาแต่ไกล เป็นผู้ปกครองป้อมปราการ 109!
เขาเห็นลู่หย่วนเดินมา ผู้ที่คิดจะหยุดเขาล้วนมีเมฆโลหิตระเบิดออกจากร่าง หมายความว่า…ลู่หย่วนเป็นคนของผู้ก่อจลาจลอย่างนั้นเหรอ!
ไม่รู้ทำไม เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกว่าคำถามคาใจหลายอย่างของเขาถูกไขแล้ว
ถึงว่าทำไมหยางเสียวจิ่นกับลั่วซินอวี่ถึงได้รับสถานะพลเมืองของป้อมปราการได้ง่ายนัก ถึงว่าทำไมหยางเสียวจิ่นเข้าโรงเรียนมาได้สะดวกปลอดโปร่ง ถึงว่าทำไมพอเหล่าหวังถูกกองดูแลความสงบเรียบร้อยจับไปแล้ว ลู่หย่วนก็สั่งให้ปล่อยตัวเขาทันที ถึงว่าทำไมหยางเสียวจิ่นอยากกลั่นแกล้งหลัวหลานนัก เป็นเพราะหลัวหลานไปตบหน้าลู่หย่วนน่ะสิ หยางเสียวจิ่นเลยแก้แค้นแทนเพื่อนเสียเลย
พอลู่หย่วนเห็นเริ่นเสี่ยวซู่ เขาก็ยิ้มโบกมือทักทาย ลู่หย่วนดูยิ้มแย้มกว่าปกติ หลังจากสลัดตัวตนปลอมแล้วก็ดูมีความสุขขึ้นมาก
แต่ที่เริ่นเสี่ยวซู่กำลังงงคือ เรื่องการเข้าเรียนของเขาก็เป็นลู่หย่วนจัดการ หยางเสียวจิ่นนั้นเข้าไปเรียนก่อนเขาสองวัน อย่างนี้ก็หมายถึงว่าเธอรู้อยู่แล้วว่าเขาจะหาโรงเรียนเข้า ถึงกับรู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะเข้าไปที่ไหนสิ!
เริ่นเสี่ยวซู่สงสัยเรื่องนี้อยู่ตลอด หยางเสียวจิ่นดูไม่ต้องเข้าโรงเรียนมาเลยก็ได้ ทำไมยังต้องไปโรงเรียนอีก และแล้วคำตอบก็คือเขาเป็นเป้าหมายของเธอมาตลอดอย่างไรล่ะ! เธอคิดจะจับตาดูเขาอย่างใกล้ชิดหรือมีเหตุผลอื่นกันนะ?
เริ่นเสี่ยวซู่พลันสงสัยแล้วว่าคนพวกนี้อาจจะคิดชวนเขาเข้าร่วมผู้ก่อจลาจลด้วย แต่เรื่องนี้ไว้ค่อยคิดทีหลัง เขาสะบัดหน้าหนีทันที
บ้านล้อมสวนที่เหล่าหวังเช่าอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยเท่าไรนัก เหยียนลิ่วหยวนกับคนอื่นๆ จึงได้ยินเสียงปืนเช่นกัน พอเริ่นเสี่ยวซู่เปิดประตูเข้ามาในบ้าน ทุกคนก็ถอนหายใจโล่งอก
ทั้งบ้านมีคนอัดแน่น พวกนักเรียน เจียงอู๋ และจักรยานชุดใหญ่
เสี่ยวอวี้ถาม “เสี่ยวซู่ ทำไมมีเสียงปืนด้วยล่ะ เธอเป็นอะไรไหม”
“ผมไม่เป็นไร” เริ่นเสี่ยวซู่ว่า “ทุกคนขึ้นจักรยานเลย พวกเราจะหนีตอนนี้แหละ!”
ไม่ว่าในป้อมปราการจะเกิดอะไรต่อ สิ่งที่เริ่นเสี่ยวซู่ให้ความสำคัญที่สุดคือนำทุกคนออกไปอย่างปลอดภัย ไม่ใช่ไปได้ของอะไรไม่รู้มา!
มีชีวิตมากมายต้องมาเสี่ยง เริ่นเสี่ยวซู่ไม่อาจเห็นแก่ตัว
เริ่นเสี่ยวซู่พุ่งออกจากประตูไป ทุกคนสะพายกระเป๋าที่พร้อมพรักไปด้วยของจำเป็น
หลังจากทุกคนขึ้นรถจักรยานแล้ว เหยียนลิ่วหยวนก็ชะงักก่อนจะถามว่า “พี่ พี่จะแบกจักรยานทำไมน่ะ”
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่สบอารมณ์ “ฉันกลัวจะทำจักรยานพังเอาน่ะสิ เลิกพูดน่า ทุกคนรีบไปที่ประตูป้อม!”
…
หลี่เสินถานเดินทอดน่องไปตามเขตตะวันตก คนที่เขตอื่นดูจะไม่รู้เลยว่าในป้อมปราการเกิดอะไรขึ้น เด็กหญิงนามซือหลีเหรินกำลังลอยอยู่ข้างหลังเขา สองเท้าไม่ติดพื้น
“ฉันกลัวว่าระฆังมันจะดังไม่พอ เลยเคาะเสียหลายทีเลย” เด็กหญิงยิ้ม
“ทำดีแล้ว” หลี่เสินถานเผยรอยยิ้มอบอุ่น “แค่นี้น่าจะทำให้คนของสมาคมตระกูลหลี่ทำตัวไม่ถูกแล้ว”
“พวกเราทำแบบนี้ไปทำไมเหรอ” ซือหลีเหรินเอียงคอถาม
หลี่เสินถานยืนนิ่งแล้วหันมองสองข้างถนน ทุกภาพดูคุ้นตาสำหรับเขา “แม่ฉันแต่งเข้าตระกูลหลี่สะเดาะเคราะห์ให้กับสุขภาพที่ไม่ค่อยดีของพ่อฉัน ตอนแรกอาการป่วยก็ดีขึ้นอยู่หรอก แต่ไม่กี่ปีต่อมาเขาก็จากโลกนี้ไป”
“แม่เลี้ยงฉันในตระกูลหลี่นั่นแหละ ให้หลังเธอตกหลุมรักกับครูหนึ่งคนหนึ่งจนอยากแต่งงานกับเขา…” หลี่เสินถานถอนหายใจ “ซึ่งก็เป็นปกติของมนุษย์แหละนะ แต่ว่าสมาคมตระกูลหลี่เชื่อว่าหญิงที่แต่งเข้าตระกูลไปแล้ว ก็ต้องผูกติดอยู่กับตระกูลไปตลอดกาล ถ้าแม่ฉันแต่งกับคนอื่น ก็เหมือนกับทำให้เกียรติยศของตระกูลหลี่เสื่อมเสีย”
ซือหลีเหรินฟังอย่างเงียบๆ “หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น”
“หลังจากนั้น?” ซือหลีเหรินคิดพักหนึ่งก่อนจะกล่าว “หลังจากนั้นสมาคมตระกูลหลี่ก็ลากเธอจากบนถนนที่เรากำลังยืนอยู่นี่ออกนอกป้อมไป จากนั้นพวกมันก็ฝังเธอทั้งเป็น ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแม่ถูกฝังตรงไหน”
ทันใดนั้นประตูเงาก็ก่อตัวไม่ไกลอยู่หลังหลี่เสินถาน ลั่วซินอวี่ถามจากหลังประตูเงาว่า “แล้วคนอื่นๆ ในป้อมปราการผิดอะไร”
หลี่เสินถานหันไปที่ประตูเงา หัวเราะ “ซ่อนอยู่หลังประตูทำไม ไม่ออกมาทักทายเพื่อนหน่อยเหรอ”
ลั่วซินอวี่ตัดบท “ฉันรู้น่าว่านายมองแปปเดียวก็สะกดจิตคนได้แล้ว ใช้กับฉันไม่ได้ผลหรอก แล้วก็นะ นายยังไม่ได้ตอบคำถามฉันเลย”
หลี่เสินถานหัวเราะ “วันนั้นฉันได้แต่ซ่อนตัวอยู่ริมถนนมองพวกมาพาแม่ขึ้นรถไป วันนั้นทุกคนในเขตตะวันตกออกมากันหมด มีคนล้อเลียนเธอ เหยียดหยามเธอ ไม่มีสักคนออกมาร้องขอชีวิตแทนเธอ ดังนั้นพวกเขาทุกคนจึงมีความผิด ”
หลังจากนั้นหลี่เสินถานก็สติวิปลาสและถูกส่งเข้าโรงพยาบาลจิตเวช
ตอนอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวชนั้น เขาสูญเสียจิตใจของตัวเองและได้กลายเป็นพรายกระซิบในตำนาน มันราวกับเขาได้กลายเป็นตัวแทนจากยมโลกไปแล้ว
ถึงว่าทำไมไม่มีใครรู้ตัวตนของหลี่เสินถาน ทางสมาคมตระกูลหลี่ก็คงมองเขาเป็นความอัปยศของตระกูลและชะล้างร่องรอยของแม่ลูกคู่นี้ไปจนหมด