บริเวณจวนตระกูลฉินตอนนี้มีผู้คนมารวมตัวกันเป็นจำนวนมากแล้ว ทว่าคนส่วนใหญ่ก็มาเพื่อรับชมเรื่องน่าตื่นเต้นและไม่คิดที่จะยื่นมือเข้าไปช่วย
เนื่องจากฝ่ายหนึ่งเป็นตระกูลราชวงศ์ที่เป็นผู้ปกครองจักรวรรดิไป๋อวิ๋นซึ่งพวกเขาไม่มีทางเทียบชั้นได้เลย พวกเขาไม่ต้องการยั่วยุให้ตระกูลราชวงศ์ไม่พอใจเพียงเพื่อช่วยเหลือตระกูลฉินที่ไม่ได้ทรงพลังเหมือนในอดีตอีกต่อไป
“ฉินอวี้โม่ที่ตระกูลฉินของพวกเจ้าเทิดทูนชื่นชมนักหนา เกรงว่าไม่มีอะไรดีจริงหรอก หากนางแข็งแกร่งมากจริง ๆ เหตุใดนางจึงหายตัวไปไม่กลับมาตลอดเวลาหลายร้อยปีและเราไม่เคยได้ยินข่าวคราวเกี่ยวกับนางเลยล่ะ จากที่ข้าได้ยินมา นางก็คงจะตายไปนานแล้ว ทว่าพวกเจ้าไม่ทราบเองก็เท่านั้น”
ฉีเฉิงยังคงถากถางต่อไปและกล่าวอย่างยโสโอหัง “ต่อให้ฉินอวี้โม่จะปรากฏตัวขึ้นมาจริง ตระกูลราชวงศ์ของเราก็มิใช่ตัวตนที่นางจะรับมือได้ หากนางยังมีชีวิตอยู่และกล้ากลับมา ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะจัดการนางและเปิดโปงให้ทุกคนได้รู้ว่าตระกูลฉินของพวกเจ้าเป็นเพียงแค่คนโกหกเท่านั้น !”
เรื่องราวเกี่ยวกับฉินอวี้โม่เป็นสิ่งที่ผู้คนทั่วทั้งจักรวรรดิไป๋อวิ๋นเคยได้ยินมาก่อน อย่างไรก็ตาม มีเพียงน้อยคนเท่านั้นที่อยู่ในเหตุการณ์ตอนนั้น เพราะเหตุนั้นหลายคนจึงคิดว่ามันเป็นเพียงข่าวลือและไม่ปักใจเชื่ออย่างจริงจัง ฉินอวี้โม่มิได้ทรงพลังเหมือนอย่างในข่าวลือ เพียงแต่ได้รับการเทิดทูนสรรเสริญจนเกินจริงเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น ฉินอวี้โม่ก็ไม่เคยปรากฏตัวแม้แต่ครั้งเดียวตลอดเวลาที่ผ่านมาเนิ่นนานซึ่งยิ่งทำให้คนส่วนใหญ่เชื่อในความเป็นไปได้นี้มากกว่า
และก็เป็นเพราะสาเหตุนี้เช่นกันที่ทำให้ตระกูลราชวงศ์กล้ากระทำการเย่อหยิ่งเพื่อกดขี่ข่มเหงทุกตระกูลภายในนครไป๋อวิ๋นและบุกมาหาเรื่องตระกูลฉินอย่างเปิดเผย
“พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์พูดถึงท่านจอมยุทธ์อวี้โม่เช่นนั้น !”
เมื่อฉินเสี่ยวเยี่ยได้ยินวาจาของฉีเฉิง สีหน้าของเขาก็แสดงถึงความโกรธแค้นทันที สมาชิกตระกูลฉินคนอื่น ๆ ก็มองฉีเฉิงด้วยแววตาแดงก่ำเช่นกัน
ฉินอวี้โม่คือความภาคภูมิใจของตระกูลฉินและพวกเขาไม่มีทางยอมให้ผู้ใดกล่าววาจาหยามเกียรตินางได้
“ฉีเฉิง มันชักจะมากเกินไปแล้ว !”
ฉินขุยกล่าววาจาเยือกเย็นและแผ่แรงกดดันออกไปเพื่อกดข่มฉีเฉิงทันทีในขณะที่สีหน้าจริงจังยิ่งกว่าเดิม
“เหอะ ข้าเพียงกล่าวความจริงเท่านั้น ต่อให้พวกเจ้าจะไม่ยอมรับก็ไม่เป็นไร เอาล่ะ หยุดพูดเรื่องไร้สาระจะดีกว่า ตระกูลฉินของเจ้ายังยืนกรานที่จะปกป้องเจ้าเด็กนั่นใช่หรือไม่ ?!”
ฉีเฉิงแสยะยิ้มเย้ยหยันและสายตาเลื่อนไปหยุดลงที่ฉินเสี่ยวเยี่ยอีกครั้ง
“เหอะ แน่นอนว่าตระกูลฉินของเราจะปกป้องฉินเสี่ยวเยี่ย !”
ฉินขุยแค่นเสียงเย็นชาก่อนเงยหน้ามองไปในทิศทางหนึ่งด้วยแววตาเคารพ “ฉินขุยผู้นี้ขอเชิญท่านบรรพบุรุษออกจากสภาวะการเก็บตัว !”
ผู้อาวุโสทั้งหมดของตระกูลฉินก็คุกเข่าข้างหนึ่งทันทีและมองไปในทิศทางเดียวกันด้วยแววตาเคารพนอบน้อมอย่างที่สุด
“ฮ่า ๆ ๆ การที่ข้าผู้นี้เก็บตัวฝึกวิชามานานหลายปี ดูเหมือนว่าตระกูลราชวงศ์จะโอหังมากขึ้นทุกวัน !”
เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังขึ้นในหูของทุกคนซึ่งมาพร้อมกับแรงกดดันทรงพลังที่แผ่ไปทั่วบริเวณจนทำให้ผู้คนแทบหายใจติดขัด
ทันใดนั้น บุรุษชราที่ดูเหมือนมีอายุอยู่ในช่วงหกสิบปีก็ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศและพลังของขอบเขตจักรพรรดิทูตสวรรค์ขั้นสูงสุดที่แผ่ออกมาก็ทำให้ทุกคนอดก้มศีรษะอย่างนอบน้อมไม่ได้
นอกเหนือจากขุมกำลังลับขนาดใหญ่ไม่กี่แห่ง จอมยุทธ์ที่บรรลุในขอบเขตจักรพรรดิทูตสวรรค์ก็ถือเป็นจอมยุทธ์อันดับต้น ๆ ของดินแดนหวนหลิงแล้ว
“เป็นเขานั่นเอง”
ฉินอวี้โม่มองไปที่บุรุษชราและจดจำเขาได้ในทันที เขาคือฉินชวน—ผู้อาวุโสใหญ่ของตระกูลฉินซึ่งใช้โอสถที่ฉินอวี้โม่ทิ้งไว้เพื่อทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตจักรพรรดิทูตสวรรค์และยืดอายุขัยได้นานหลายพันปี
เมื่อฉินเฟินและคนอื่น ๆ เดินทางไปที่ดินแดนเทพมายาด้วยกัน ฉินชวนก็ตระหนักดีว่าพรสวรรค์ของตนมาถึงขีดจำกัดแล้วจึงอาศัยอยู่ที่ตระกูลฉินต่อไป ทว่าก่อนที่ฉินอวี้โม่จะจากไปในตอนนั้น นางก็ได้รวบรวมโอสถจำนวนมากและมอบให้กับฉินเฟิน ในภายหลัง ฉินเฟินก็ส่งต่อโอสถเหล่านั้นให้กับฉินชวนซึ่งช่วยให้เขาทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตจักรพรรดิทูตสวรรค์ได้ในที่สุด
ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ หากไม่มีเหตุการณ์สำคัญใดเกิดขึ้น ฉินชวนก็มักจะเก็บตัวบ่มเพาะอยู่ในที่พักของตนและแทบจะไม่ปรากฏตัวให้ผู้ใดพบเห็น หากมิใช่เพราะสัมผัสได้ถึงสถานการณ์วิกฤต ครานี้เขาก็คงจะไม่ปรากฏตัวออกมาเช่นกัน
“ตาเฒ่าฉินชวน เจ้ายังมีชีวิตอยู่อีกงั้นรึ ?!”
หนึ่งในคนที่อยู่ด้านหลังฉีเฉิงมองตรงไปที่ฉินชวนและกล่าวเสียงดัง
“เหอะ เรียกให้ฉีเซิ่งมาที่นี่ด้วยตัวเองเถอะ พวกเจ้าไม่มีคุณสมบัติพอที่จะพูดกับข้าได้ !”
ฉินชวนแค่นเสียงเย้ยหยันก่อนโบกมือเล็กน้อยเพื่อฟาดฉีเฉิงและคณะจนกระเด็นออกไป
ภายในพระราชวัง ทันทีที่ฉินชวนปรากฏตัว ฉีเซิ่งก็รับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของอีกฝ่ายเช่นกัน
“เหอะ ตระกูลฉินช่างเจ้าเล่ห์จริง ๆ !”
เขาแค่นเสียงดังและพยักศีรษะให้กับใครคนหนึ่งก่อนทั้งสองเหาะตรงไปที่จวนตระกูลฉินด้วยกัน
“ฉินชวน คิดจะทำร้ายคนของตระกูลราชวงศ์งั้นรึ ริอาจยิ่งนัก !”
เดิมทีฉีเซิ่งเป็นทายาทจากตระกูลสาขาของตระกูลราชวงศ์เท่านั้น เมื่อฉีเยวี่ยนเวยสละบัลลังก์ ทายาทตระกูลฉีส่วนใหญ่ก็เลือกเดินทางไปที่ดินแดนระดับสูงกว่า ทว่าคนที่เหลือที่อยู่ที่นี่ก็มีเพียงทายาทห่าง ๆ เท่านั้น
ในเวลานั้น ฉีเซิ่งก็เพียงแค่เสแสร้งทำตัวสุภาพและอ่อนน้อมจนได้รับความดีความชอบจากจักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยและได้รับช่วงต่อครองบัลลังก์ในที่สุด
อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้น เขาก็เริ่มเผยเขี้ยวเล็บออกมา บรรดาคนเก่าแก่ของตระกูลราชวงศ์ต่างก็ถูกกดดันให้ต้องถอนตัวออกไปทีละคน คนที่เหลือในตอนนี้ก็มีเพียงลิ่วล้อของฉีเซิ่งและบุคคลที่ยอมจำนนต่อเขาเท่านั้น
วิธีการปกครองของฉีเซิ่งก็โหดเหี้ยมอย่างมากและทำร้ายผู้อาวุโสจำนวนมากของตระกูลไปเช่นกัน ทว่าเนื่องจากเขามีความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดาและมีหลายคนที่ช่วยเสือฆ่าคน คนอื่น ๆ จึงไม่สามารถทำอะไรเขาได้
* 为虎作伥 ช่วยเสือฆ่าคน หรือช่วยเสือทำสิ่งชั่วร้าย ซึ่งความหมายแฝงก็คือ การทำงานรับใช้คนชั่ว ทั้งที่คนชั่วคนนั้นเคยทำร้ายตนเอง
“เหอะ ฉีเซิ่ง เจ้าคนชั่วช้า ! เมื่อท่านฉีเยวี่ยนเวยไปจากที่นี่ในตอนแรก เจ้ายืนกรานอย่างหนักแน่นว่าจะปกป้องดินแดนหวนหลิงให้ดีที่สุดและจะไม่ยอมให้ผู้อาวุโสของตระกูลราชวงศ์ต้องเผชิญเรื่องร้ายใด ทว่าภายในเวลาไม่กี่ร้อยปี เจ้ากลับลืมคำสัญญาเหล่านั้นไปจนหมดสิ้น หากท่านฉีเยวี่ยนเวยได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ เกรงว่าเขาคงกลับมาเก็บกวาดเจ้าด้วยตัวเอง !”
ฉินชวนมองตรงไปที่ฉีเซิ่งและกล่าวอย่างไม่ไว้หน้า
“เจ้าอยากตายงั้นรึ ?!”
สีหน้าของฉีเซิ่งเหยเกทันที ในฐานะผู้ปกครองสูงสุดของจักรวรรดิไป๋อวิ๋น ไม่เคยมีผู้ใดกล้ากล่าววาจาหยามหน้าเขาเช่นนี้มาก่อน ครานี้ฉินชวนกระตุกหนวดเสือของเขาอย่างแท้จริง
ในเวลานี้เขาไม่ได้กังวลแม้แต่น้อยว่าอดีตจักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยจะกลับมาที่นี่ รวมถึงฉินอวี้โม่และสหายเช่นกัน เพราะถึงอย่างไรดินแดนแต่ละแห่งก็มีขีดกำจัดขวางกั้นระหว่างกันและไม่มีทางที่จะเดินทางเข้าออกได้ตามต้องการ
และนั่นก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขากล้าทำตัวบ้าบิ่นมากขึ้นเรื่อย ๆ ตลอดเวลาที่ผ่านมา
ในปัจจุบันนี้ แม้ว่าจะตระกูลฉินจะไม่ได้ทรงพลังเหมือนในอดีต ทว่าตระกูลฉินก็ถือเป็นภัยคุกคามสำหรับเขาไม่น้อย เขาพยายามหาทางเล่นงานตระกูลฉินมาตลอดเพียงเพื่อหลอกล่อฉินชวนออกมาและหาโอกาสกำจัดเขาเสีย และในที่สุดวันนี้โอกาสที่รอคอยก็มาถึงเสียที
ฉีเซิ่งโบกมือส่งสัญญาณและสองคนก็เข้าไปประกบข้างฉินชวนทันที ความแข็งแกร่งของคนทั้งสองอยู่ในระดับที่ไล่เลี่ยกับเขาและหนึ่งในนั้นทรงพลังยิ่งกว่าฉินชวนเสียอีก
“ข้าอดทนอดกลั้นต่อตระกูลฉินของเจ้ามานานแล้ว ตระกูลของเจ้าละเมิดคำสั่งของตระกูลราชวงศ์ซ้ำแล้วซ้ำแล้ว วันนี้ข้าจะไม่ปล่อยพวกเจ้าไปอีก !”
เขาตะโกนเสียงดังด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงจิตสังหารอย่างไม่ปิดบัง
“ฮ่า ๆ ๆ หากต้องการจะกำจัดตระกูลของเราก็กล่าวมาตรง ๆ เถอะ จะหาข้ออ้างไปเพื่ออะไรกัน หากต้องการจะต่อสู้ เราก็ไม่กลัวพวกเจ้าหรอก !”
ฉินขุยระเบิดหัวเราะและจ้องหน้าตรงไปที่ฉีเซิ่งอย่างไม่ไว้หน้าเช่นกัน
“เหอะ !”
ฉีเซิ่งไม่กล่าวสิ่งใดอีกต่อไปและเพียงแค่นเสียงดังก่อนส่งสัญญาณให้จอมยุทธ์สองคนนั้นโจมตีฉินชวน
“ฉินขุย พาทุกคนออกไปก่อน !”
ฉินชวนกล่าวกับฉินขุยด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม อย่างไรก็ตาม ในหัวใจลึก ๆ ของเขาก็แอบรู้สึกว่าวันนี้อาจเป็นวันที่ตระกูลฉินจะต้องถึงคราวจบสิ้น
“เหอะ อย่าแม้แต่จะคิดหนี !”
ฉีเซิ่งคาดเดาความคิดของฉินชวนได้ก่อนแล้วและโบกมือส่งสัญญาณให้คนกลุ่มใหญ่เข้าล้อมรอบคนเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว
“ฉีเซิ่ง !”
สีหน้าของทุกคนในตระกูลฉินเปลี่ยนไปทันที ทว่ามิใช่เป็นสีหน้าของความหวาดกลัว หากแต่เป็นสีหน้ามุ่งมั่นที่พร้อมจะต่อสู้
“ฮ่า ๆ ๆ ตระกูลราชวงศ์วางมาดใหญ่โตจริงเชียว !”
ทันใดนั้น เสียงหัวเราะก็ดังขึ้นในหูของทุกคนก่อนที่ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือจะก้าวออกจากมาฝูงชน