“หมอเฉิน ผมมาหาหมอเฉินเพราะอยากจะ—” พ่อฉิวฉิวยังไม่ทันจะพูดจบเสี่ยวเชี่ยนก็ทำพฤติกรรมชวนให้ตกใจ เธอวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว เสี่ยวเฉียงเองก็ไม่รอช้า เห็นเธอเผ่นก็เผ่นบ้าง ทั้งสองคนรีบวิ่งไปที่รถแล้วสตาร์ทเครื่องออกทันที
พอพ่อฉิวฉิววิ่งตามมา ประธานเชี่ยนเหลือเพียงควันจากท่อไอเสียรถไว้ให้ดูต่างหน้า
พ่อฉิวฉิวมองตามรถของทั้งสองคนไปด้วยความกลุ้มใจ กว่าเขาจะได้ที่อยู่บ้านของเสี่ยวเชี่ยนมาไม่ใช่เรื่องง่ายๆ หอบหิ้วข้าวของมามากมายเพื่อขอร้อง แต่ปรากฏว่าเธอกลับหนีไปเสียอย่างนั้น
หลังจากเสี่ยวเชี่ยนขึ้นรถไปแล้วก็รีบโทรหาแม่
“แม่ เดี๋ยวถ้ามีคนไปเคาะประตูถามว่าใช่บ้านเฉินเสี่ยวเชี่ยนหรือเปล่า แม่บอกไปเลยนะว่าบ้านนี้ไม่มีคนชื่อนี้ ให้เขาขึ้นไปเคาะบ้านข้างบน”
“เชี่ยนเอ๋อ ใครเหรอ?”
“คนไม่สำคัญ”
“แต่ว่าบ้านข้างบนมีแค่ยายบ้านอาหลิวที่เป็นโรคสมองฝ่ออยู่คนเดียวนะ เขาจะคุยกันรู้เรื่องเหรอ?” เจี่ยซิ่วฟางไม่รู้ว่าลูกสาวตัวเองมีความแค้นอะไรกับคนๆนั้น ทำไมถึงได้ไล่ให้ไปข้างบน?
เพื่อนบ้านที่อยู่ชั้นบนเป็นยายสมองฝ่อ สมองของหญิงชราใช้การได้ไม่ค่อยดีแล้ว แต่เป็นคนชอบบ่น ถ้าใครได้ลองหลงเข้าไปคุยกับแกล่ะก็ ต้องฟังยาว แถมยังพูดซ้ำไปซ้ำมา
“แม่ รู้ใช่ไหมว่าหน้าที่การงานของเสี่ยวเฉียงค่อนข้างพิเศษ?” เสี่ยวเชี่ยนเริ่มขุดหลุมดักแม่ตัวเอง
“รู้สิ จนถึงตอนนี้แกยังไม่เคยบอกเลยด้วยซ้ำว่าตกลงลูกเขยฉันทำงานแบบไหน” นี่ก็ถือเป็นเรื่องที่เจี่ยซิ่วฟางแอบเสียดายอยู่นิดหน่อย ปกติเธอเป็นคนชอบอวดกับคนอื่น แต่ลูกเขยเธอทำงานลักษณะไหนเธอยังไม่รู้เลย รู้แค่ว่าเป็นทหาร ได้ยินว่าตำแหน่งก็ไม่ใช่เล็กๆ แต่ก็พูดไม่ได้ ต้องเก็บไว้เป็นความลับ ถึงเธอจะเป็นคนชอบพูดพล่าม แต่ก็รู้เรื่องไหนควรพูดไม่ควรพูด
“คนทำงานระดับสำคัญๆ ถ้ามีคนหิ้วของมาหาถึงบ้าน แล้วแม่ปล่อยให้เขาเข้าไป ลองนึกถึงอนาคตของลูกเขยแม่ดูนะ จึ๊ๆๆ ไม่แน่อาจส่งผลอยู่นา”
อวี๋หมิงหลางยิ้มพลางขับรถ นั่งฟังเมียตัวเองหลอกแม่ยาย
ตามคาด พอได้ยินว่าเกี่ยวพันถึงอนาคตเจี่ยซิ่วฟางก็ตระหนักถึงความสำคัญ
“ฉันรู้แล้วว่าต้องทำไง พวกแกไม่ต้องกลับมาแล้ว เรื่องนี้ฉันจัดการเอง”
เสี่ยวเชี่ยนแสยะยิ้มพร้อมวางสาย “พ่อเฮงซวยของฉิวฉิวคิดจะสู้กับฉันงั้นเหรอ? หึหึ!”
“ทำไมไม่ลองคุยกับเขาดูล่ะ? ครั้งนี้เขาน่าจะมาหาด้วยเรื่องฉิวฉิวหรือเปล่า?” อวี๋หมิงหลางถาม เมียเขาไม่ได้ไปเผชิญหน้าตรงๆ ซึ่งมันเหนือความคาดหมายของเขาไปหน่อย
“คุยอะไร? ไม่มีอะไรต้องคุย! ตอนนี้ต้นรักของฉิวฉิวกับไป๋จิ่นกำลังแตกหน่อ ตาแก่นี่มาไม่มีทางใช่เรื่องดีหรอก!”
กว่าฉิวฉิวจะได้มีช่วงเวลาแห่งความสุขบ้างไม่ใช่เรื่องง่าย เขาต้องอยู่อย่างทุกข์ทรมานมาหลายปี แล้วเสี่ยวเชี่ยนจะปล่อยให้ตาแก่นั่นเข้ามาทำลายได้อย่างไร?
“งั้นเดี๋ยวเราโทรหายามของบ้านหลังนั้นว่าไม่ให้ปล่อยพ่อฉิวฉิวเข้าไป” เสี่ยวเฉียงเข้าใจความรู้สึกของเสี่ยวเชี่ยน
เส้นทางความรักของฉิวฉิวมีอุปสรรคมากมาย คนเป็นเพื่อนย่อมอยากให้ฉิวฉิวได้มีชีวิตที่สงบสุขเสียที
พอเสี่ยวเชี่ยนโทรไปสั่งเสร็จ ทางด้านพ่อฉิวฉิวก็ขึ้นไปเคาะประตูจริงๆ เจี่ยซิ่วฟางเปิดประตู พอเห็นแขกที่มาเยือนหิ้วของพะรุงพะรัง เธอก็รู้เลยว่านี่แหละศัตรูตัวฉกาจ!
นี่ถ้าคนๆนี้ใช้ของมาติดสินบนลูกเขยเธอแล้วพาอนาคตดับวูบจะทำไง?
“ขอโทษนะครับคุณหมอเฉินเสี่ยวเชี่ยนอยู่บ้านนี้หรือเปล่าครับ?”
“ไม่เคยได้ยินชื่อนี้เลยนะคะ แต่ข้างบนมีคนแซ่เฉินอยู่ค่ะ ลองไปเคาะดูสิคะ”
“แต่ที่อยู่ที่ผมได้มาเป็นที่นี่—”
“ฉันอยู่บ้านนี้มาตั้งหลายปีคุณจะมารู้ดีกว่าฉันได้ไง? รีบขึ้นไปเลย!” เจี่ยซิ่วฟางปิดประตูใส่หน้าแล้วลงกลอนเรียบร้อย
ถุย!
คิดจะมาทำลายอนาคตลูกเขยฉันเหรอ คนที่มันจะมาทำให้ลูกเขยฉันตกงานแถมยังต้องขึ้นศาลทหาร มันต้องฝ่าด่านฉันไปให้ได้ก่อน!
“คนสมัยนี้มันยังไงกัน? ทำไมจิตใจเลวร้ายได้ขนาดนี้ เอะอะก็คิดจะติดสินบน? ยืนด้วยลำแข้งของตัวเองไม่ได้หรือไง?” เจี่ยซิ่วฟางขอบ่น
“ติดสินบน…คงไม่น่าใช่บ้านเรานะ?” พ่อเลี่ยวเป็นคนฉลาด แค่ลองคิดดูก็รู้ว่าแขกคนนี้ไม่ได้มาหาอวี๋หมิงหลาง เพราะข้อมูลของอวี๋หมิงหลางถูกปิดเป็นความลับหมด คนนอกสืบยังไงก็ไม่ได้ความ แล้วจะสืบถึงที่อยู่บ้านแม่ยายของอวี๋หมิงหลางได้อย่างไร? ไม่มีทางจะมาถึงที่นี่ได้
ต้องมาหาเสี่ยวเชี่ยนแน่นอน
“คุณว่าไงนะ?” เจี่ยซิ่วฟางไม่เข้าใจ
“เปล่า…ทำตามที่เชี่ยนเอ๋อบอกเถอะ” พ่อเลี่ยวไม่พูดอะไรอีก
ทุกคนในบ้านต่างชินแล้ว เชี่ยนเอ๋อจะพูดหรือจะทำอะไรก็ไม่เคยพลาด เชื่อเสี่ยวเชี่ยนรับรองไม่ผิดหรอก
ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงเจี่ยซิ่วฟางก็ทนความอยากรู้อยากเห็นไม่ไหว ไปแง้มประตูแอบมองขึ้นไปชั้นบน
เธอได้ยินบทสนทนาเดิมๆซ้ำไปซ้ำมา
“ป้าครับ บ้านนี้แซ่เฉินหรือเปล่าครับ?”
“มาหาลูกชายฉันเหรอ?”
“ผมมาหาหมอเฉินเสี่ยวเชี่ยนครับ”
“ลูกชายฉันเป็นหมอใหญ่ เก่งมากเลยนะ…”
บทสนทนาด้านบนวนไปวนมาอยู่หลายรอบ
คุยกับคนแก่สมองฝ่อแถมยังมีความดันทุรัง ให้คุยเป็นวันก็ยังได้ แต่คำพูดแบบเดิมนะ
เจี่ยซิ่วฟางปิดประตูด้วยความพอใจ หึ คิดจะทำเรื่องไม่ดีงั้นเหรอ สมน้ำหน้าไอ้แก่เขาหัวโล้น!
ตกเย็นเสี่ยวเชี่ยนไปนอนบ้านสองชั้นของอวี๋หมิงหลาง ทั้งสองคนไม่ค่อยได้มาอยู่บ้านนี้ มีการตกแต่งไว้ก่อนล่วงหน้าเพื่อไว้ใช้สำหรับแต่งงาน มีประสบการณ์ชอกช้ำจากพื้นเขียวมาแล้ว เสี่ยวเชี่ยนจึงไม่กล้าให้เสี่ยวเฉียงเข้ามายุ่ง เธอเป็นคนออกแบบเองแล้วหาคนมาทำทั้งหมด
บ้านที่ถูกตกแต่งใหม่ ถูกติดด้วยอักษร ‘สี่’[1] พอถึงวันงานก็จะรับเสี่ยวเชี่ยนมาเข้าหอที่นี่ รวมถึงธรรมเนียม ‘ปลุกห้องเจ้าสาว’ ก็จะมาทำกันที่นี่ บรรยากาศที่เต็มไปด้วยความเป็นสิริมงคลนี้เห็นแล้วก็ชวนให้อารมณ์ดี
ผู้ชายบางคนที่หน้าไม่อายมองเตียงเรือนหอที่แดงอร่ามแล้วก็ส่ายหน้าติดๆกัน แถมยังทำเสียงจึ๊ๆในลำคอ
“มีอะไรเหรอ? ไม่ชอบสไตล์นี้?” เสี่ยวเชี่ยนเห็นเขาทำเสียงจึ๊ๆเหมือนแม่ตัวเองก็คิดว่ามีตรงไหนที่เขาไม่พอใจ
“พอถึงคืนวันมะรืน เราสองคนต้องนอนบนนั้นใช่ไหม?”
“ใช่สิ” ก็คู่แต่งงานใหม่นี่
“ผ้าห่มใหม่ ผมก็คนใหม่ ผมล่ะกลัวตัวเองทำหน้าที่ได้ไม่คล่องพอ เห้อ…” แถมยังส่ายหน้าทำท่าทางกลุ้มใจ
เสี่ยวเชี่ยนอึ้งกับท่าทางของเขา
ทำหน้าที่ได้ไม่คล่องพอ คำพูดหน้าไม่อายแบบนี้ เขาคิดอะไรอยู่ถึงได้พูดมันออกมา?
“จริงๆนะเมียจ๋า ผมพูดแบบไม่ปิดบังเลย ผมยังบริสุทธิ์อยู่”
เสี่ยวเชี่ยนอยากกระอักเลือด ทำไมเธอถึงได้หาผู้ชายหน้าด้านแบบนี้ให้ตัวเองนะ?
“นายคิดอะไรเพี้ยนๆกับเตียงต่อไปนะ ฉันไปอาบน้ำละ”
เขาลากเธอกลับมา คนสวยจะหนีไปไหน!
“อวี๋หมิงหลางนายกล้าพูดออกมาได้ไงว่าตัวเองบริสุทธิ์? ฉันต้องปิดหน้าต่างให้ดีแล้วเผื่อฟ้าผ่าแสกกลางหน้านาย!”
“ก็มันจริงนี่…อย่างน้อยๆก็เมื่อหลายปีก่อน…เมียจ๋า มามะ เพื่อเป็นการป้องกันคืนเข้าหอผมไม่คล่องพอ เรารีบมาฝึกกันเถอะ! เตียงใหม่แดงอร่าม ผมนี่แหละคือเจ้าบ่าวคนนั้น~”
เสี่ยวเชี่ยนกุมขมับอย่างจนปัญญา หน้าด้านเหลือเกิน อยากจะแยกแผ่นดินแล้วเอาหมอนี่ยัดลงไป แต่ก็คิดว่าคงยัดไม่เข้า หน้าใหญ่เกิน
[1] อักษร ‘喜’ อ่านว่า สี่ ในภาษาจีน มักติดในงานมงคล หมายถึง ยินดี มีความสุข