เจ้าหน้าที่พาเด็กผู้หญิงไปส่งกลับบ้านตามบ้านของพวกนาง และคอยอธิบายให้ครอบครัวของพวกนางฟังว่าพ่อบ้านหวังไม่ใช่พ่อบ้านของบ้านนายกาว แต่เป็นพวกต้มตุ๋นหลอกลวง พาตัวเด็กสาว ๆ ไปขายโดยเอาเรื่องเลือกเมียน้อยให้นายกาวมาเป็นข้ออ้าง
ครอบครัวของเด็กผู้หญิงเหล่านี้รู้สึกผิดหวังมาก ยิ่งเมื่อได้ยินว่าต้องคืนเงินสามตำลึงที่ได้รับไปด้วยเพื่อเป็นหลักฐานว่ามีการให้เงินสินบนจริง ทุกคนต่างก็ไม่พอใจอย่างที่สุด
แต่เจ้าหน้าที่เองก็อธิบายอย่างชัดเจนแล้วว่าถ้าหากไม่คืนเงินนี้ อาจถูกมองว่าเป็นพวกเดียวกันกับคนร้าย สุดท้าย ครอบครัวของหญิงสาวและเด็กผู้หญิงส่วนใหญ่กัดฟันยอมคืนเงินสามตำลึงนั้นกลับไปให้เจ้าหน้าที่
ทว่าถึงอย่างไร ยังคงมีครอบครัวบางครอบหัวที่ดื้อรั้นไม่ยอมคืนเงิน ไม่ว่าจะยังไงก็ไม่ยอมคืนเงินสามตำลึงนั้นสักที
แม่เลี้ยงของซิ่วชุ่ยพร่ำบ่นอยู่หน้าบ้าน “เงินนี้พ่อบ้านหวังเป็นคนให้เรา เราต่างก็ประทับลายนิ้วมือและส่งลูกหลานออกไปแล้ว ตอนนี้ที่ส่งเด็กกลับมานั้นเป็นเรื่องของพวกเจ้า เราจะไม่คืนเงินนี้ให้พวกเจ้าหรอก”
ซิ่วชุ่ยยืนอยู่ด้านหลังเจ้าหน้าที่ด้วยสีหน้าราบเรียบ นางมองพ่อตัวเองที่นั่งยอง ๆ ไม่พูดอะไรอยู่ตรงนั้น ส่วนแม่เลี้ยงของนางกำลังอุ้มเด็กเล็กที่ยังดูดนมอยู่ในอ้อมกอด แม่เลี้ยงพูดเสียงดังประมาณว่าต่อให้ไม่ต้องการลูกสาวแล้ว ก็จะไม่ยอมคืนเงินสามตำลึงนี้กลับไปแน่ ๆ
ซิ่วชุ่ยที่เดิมทีเป็นคนกล้าหาญที่จะพูดกลับไม่พูดอะไรแม้แต่นิดเดียว นางยืนอยู่ตรงทางเข้าบ้านด้วยแววตาเลื่อนลอย ไม่รู้ว่ากำลังมองอะไร
ผ่านไปสักพักก็ยังเหมือนเดิม ไม่ว่าเจ้าหน้าที่จะพูดอย่างไร แม่เลี้ยงของซิ่วชุ่ยก็ไม่ยอมคายเงินสามตำลึงนั้นออกมาสักที จนมาถึงช่วงหลัง พ่อของซิ่วชุ่ยทนไม่ไหว เขาผุดลุกยืนขึ้น ถูมือด้วยท่าทางขึงขังและปรึกษากับแม่เลี้ยงของซิ่วชุ่ย “นี่พวกเจ้า เพื่อนบ้านต่างก็มามุงดูกันแล้วนะ… ไม่อายคนอื่นเขารึ ?”
แม่เลี้ยงของซิ่วชุ่ยใช้สายตาทิ่มแทงกลับไปโดยตรง นางเอ่ยขึ้นเสียงดัง “ทำไม ถ้าเจ้ามีเงินเจ้าก็คืนกลับไปสิ ที่ลูกเล็กของเราผอมแห้งแรงน้อยแบบนี้ ต้องโทษคนไม่มีอนาคตอย่างเจ้าที่ทำเงินอะไรไม่ได้ ปกติที่บ้านก็ไม่ค่อยมีกินอยู่แล้ว เอาซะจนข้าเองมีน้ำนมน้อยไปด้วย เงินสามตำลึงนี้มีไว้บำรุงร่างกายไม่ใช่รึ ?! เราจะคืนไปทำไม เจ้าน่ะเป็นเพียงต้นกล้าที่โดดเดี่ยว เพื่อไอ้ตัวสิ้นเปลืองนี้ เจ้าอยากให้ลูกเล็กของเราอดตายงั้นรึ ?”
น้ำเสียงของแม่เลี้ยงซิ่วชุ่ยนั้นเจือความโมโหมาก ตอนที่นางด่า น้ำลายนางกระเด็นไปทั่วทุกทิศทาง นางอ้าปากด่าจนพ่อของซิ่วชุ่ยเงยหน้าไม่ขึ้นเลยทีเดียว เขาทำเพียงยิ้มแห้ง ๆ เท่านั้น
แสงสว่างในแววตาของซิ่วชุ่ยดับลงทันที แต่จู่ ๆ นางก็หัวเราะและพูดกับแม่เลี้ยงของนาง “ไอ้โย! แม่เลี้ยง นี่ท่านโง่หรือไง ? ถ้าหากว่าต้องการแลกข้าเป็นเงินจริง ๆ ข้าไม่ได้มีค่าแค่เงินสามตำลึงหรอกนะ”
แสงสว่างปรากฏขึ้นในดวงตาของแม่เลี้ยงซิ่วชุ่ย ราวกับว่านางถูกใครบางคนพูดอะไรมากระทบใจทำนองนั้น แต่ในท้ายที่สุดนางก็คืนเงินสามตำลึงนั้นไปอย่างไม่เต็มใจนัก
ซิ่วชุ่ยอยู่ที่หมู่บ้านหลิวเจีย ส่วนชีหลี่โวอยู่ด้านหลังหมู่บ้านหลิวเจียอีกที ขณะนี้ บังเอิญว่าเจียงป่าวชิงนั่งรถม้าคันเดียวกับซิ่วชุ่ยพอดี หากอิงตามลำดับ เจียงป่าวชิงจะถูกส่งกลับบ้านเป็นคนต่อไป
ซิ่วชุ่ยเข้าบ้านได้แล้วแต่นางไม่ได้เข้าไป นางเลือกเดินกลับไปที่รถม้าและพูดกับเจียงป่าวชิงด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “เรื่องวันนี้ ข้ายังไม่ได้ขอบคุณเจ้าเลย”
เจียงป่าวชิงส่ายหน้า
นางไม่ได้ทำเพื่อช่วยซิ่วชุ่ย แต่ทำเพื่อให้จับพ่อบ้านหวังได้ก็เท่านั้น
ซิ่วชุ่ยกลับไม่สนใจท่าทางของเจียงป่าวชิง นางโบกมือให้เจียงป่าวชิงยิ้ม ๆ ก่อนจะบอกลาแล้วหันหลังเดินเข้าบ้านไป
อย่างไรก็ตาม เจียงป่าวชิงมองซิ่วชุ่ยที่เรียกพ่อแม่ของนางจากหน้าต่างรถม้า แต่คนที่กลับเข้าบ้านกลับรู้สึกเสียใจในใจโดยไม่มีสาเหตุ
เฮ้อ… เป็นแค่คนที่พบกันโดยบังเอิญ เจียงป่าวชิงจะช่วยอะไรได้อีกล่ะ ?
เจียงป่าวชิงไม่ได้พูดอะไร
ตอนที่เจ้าหน้าที่พานางมาส่งที่ชีหลี่โว ดวงตาของหลีโผจื่อกับโจซื่อที่มองมาเห็นเจียงป่าวชิงฉายแววตกตะลึงทันที “ทำไม เป็นไปไม่ได้ ? นี่เจ้าไม่ได้รับคัดเลือกงั้นรึ ?”
พวกนางรู้สึกเสียใจอย่างยิ่งกับเงินห้าสิบตำลึงที่บินหนีไป
แต่เมื่อเจ้าหน้าที่อธิบายให้พวกนางฟังว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงอุบายของ “พ่อบ้านหวัง” คนนั้น หลีโผจื่อกับโจซื่อรู้สึกเสียดายในใจเล็กน้อย
ทำไมนักต้มตุ๋นคนนั้นถึงไม่ลงแรงขายเจียงป่าวชิงไปซะเลยนะ
จนมาถึงตอนที่เจ้าหน้าที่บอกว่าต้องคืนเงินสามตำลึงที่เป็นเงินสินบนด้วย คำพูดนี้ราวกับฟันใจของหลีโผจื่อกับโจซื่อจนขาดอย่างไรอย่างนั้น
หลีโผจื่อกระโดดทันที “อะไรนะ ยังต้องคืนเงินด้วยรึ ? ไม่คืน พวกข้าไม่คืน!”
โจซื่อเอ่ยขึ้นเช่นกัน “พี่เจ้าหน้าที่ ที่บ้านใช้เงินนี้ไปแล้วจ้ะ ไม่สามารถคืนให้ได้แล้วล่ะ”
ในความเป็นจริงคือเมื่อหลีโผจื่อกับโจซื่อได้รับเงินมาไม่นาน เจียงอีหนิวก็มาถามเอาจากพวกนางทันที พอพวกนางถามว่าจะเอาไปทำอะไร เจียงอีหนิวกลับไม่พูด เพียงแค่บอกด้วยความรำคาญว่า “ถึงตอนนั้นถ้ามีคนต้องตายจะรอดูว่าพวกเจ้าจะจบเรื่องราวยังไง”
เขาขู่ขวัญจนหลีโผจื่อกับโจซื่อตกใจอย่างมาก
เจ้าหน้าที่รู้ว่าเจียงป่าวชิงเป็นคนที่ทำคุณงามความดีในครั้งนี้ การจับคนทำผิดในครั้งนี้จะสำเร็จไม่ได้ถ้าไม่มีนาง เขาจึงต้องยืนอยู่ฝ่ายเจียงป่าวชิงเป็นธรรมดา เขาตีสีหน้าขรึมเข้มและพูดข่มขู่ “ถ้าพวกเจ้าไม่คืนเงิน งั้นเราจะคิดว่าพวกเจ้าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดในการค้ามนุษย์อย่างผิดกฎบ้านเมือง! และจะจับตัวไปสอบสวนยังที่ว่าการ”
ตั้งแต่สมัยโบราณ ผู้คนต่างเกรงกลัวเหล่าเจ้าหน้าที่ที่ทำงานให้กับบุคคลมีตำแหน่งสูง เมื่อเจ้าหน้าที่พูดข่มขู่มาเช่นนี้ หลีโผจื่อกับโจซื่อก็ตกใจจนขาสั่นพั่บ ๆ
โจซื่อไม่มีทางเลือก นางทรุดนั่งลงบนพื้นและตบเข่าร้องไห้ “ฮือ ๆ ๆ พี่เจ้าหน้าที่ ดูพี่พูดเข้าสิ ก็เห็นอยู่ว่าหลานสาวของพวกข้าสมัครใจขายตัวเอง ที่เรารับเงินนี้ก็เพราะรับปากกับนางว่าจะดูแลพี่ชายของนางแทนนาง ทำไมถึงกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดไปได้ล่ะ ถ้าหากว่าเงินนี้เป็นเงินสินบน งั้นพวกพี่ก็ต้องไปเอาจากหลานสาวของข้าสิ นี่คือค่าตอบแทนที่นางให้กับพวกเรานะ เป็นนางที่ใช้เงินนี้ด้วยตัวเอง พี่เจ้าหน้าที่ต้องทวงเอาเงินคืนให้ถูกคนสิ”
หลีโผจื่อพูดในใจว่าลูกสะใภ้คนนี้ช่างมีเล่ห์เหลี่ยมหัวไวดีจริง ๆ ช่วงเวลาสำคัญแบบนี้แต่นางกลับยังคงคิดได้เร็วมาก
เจียงป่าวชิงหัวเราะเยาะ “อ้อ ข้าสมัครใจขายตัวเองอย่างนั้นสินะเจ้าคะ ? แต่ลายนิ้วมือบนกระดาษลงชื่อนั่นคือลายนิ้วมือของย่าสองนะ นอกจากนี้ ข้าสามารถบอกได้เลยว่าย่าสองนั่นแหละที่บังคับให้ข้าไปขายตัวให้กับพ่อค้ามนุษย์ เพื่อคิดที่จะขายข้าไปยังซ่องนางโลม”
เจ้าหน้าที่ชักมีดที่เอวอย่างให้ความร่วมมือพร้อมเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอันดัง “ใครประทับลายนิ้วมือ ?! หากว่าคืนเงินไม่ได้ คนที่ประทับลายนิ้วมือจะต้องไปที่ศาลาว่าการกับข้า และต้องถูกกักขังตัวสักสองสามวันไปก่อน”
พูดถึงขนาดนี้ ก็ได้เวลาที่เจ้าหน้าที่จะใส่กุญแจมือแล้ว ต่อให้หลีโผจื่อกับโจซื่อจะไร้ความละอายแค่ไหน พวกนางก็ต้องชั่งน้ำหนักด้วยว่ามันคุ้มหรือไม่ที่จะส่งตัวเองเข้าคุกเพื่อแลกกับเงินแค่สามตำลึง
หลีโผจื่อถลึงตาใส่โจซื่อ “โจซื่อ สามีเจ้าเป็นคนใช้เงิน เจ้ายังไม่รีบไปหยิบเงินมาคืนอีก! ไปสิอย่าชักช้า ทำไม ? หรือว่าอยากให้ข้าถูกใส่กุญแจมือไปที่ที่ว่าการหา!”
โจซื่อรู้สึกอึดอัดใจมาก แต่ก็ทำได้แค่คิดในใจอย่างแค้น ๆ ‘หึ! พูดเหมือนสามีของข้าไม่ใช่ลูกชายเจ้าอย่างนั้นแหละ’
โจซื่อกลับไปที่ห้องอย่างเจ็บใจ นางเปิดกล่องเงินบนตู้ด้วยมืออันสั่นเทา ข้างในกล่องนี้มีเงินไม่เท่าไหร่ สุดท้าย แม้แต่มุมกล่องก็ถูกกวาดจนสะอาดถึงจะสามารถรวบรวมเป็นเงินสามตำลึงได้
หลังจากที่เงินสามตำลึงที่กว่าจะรวบรวมมาได้นั้นถูกคืนกลับไป โจซื่อรู้สึกปวดใจจนใกล้จะหมดสติเต็มที
เจ้าหน้าที่ได้รับเงินคืนแล้ว เขาก็ทำความเคารพเจียงป่าวชิงอย่างสุภาพ และพาเด็กผู้หญิงคนต่อไปไปส่งที่บ้าน
……
เจียงป่าวชิงกลับมาถึงบ้านแล้วแต่เจียงหยุนชานยังไม่รู้เรื่องนี้ เขาคิดว่าวันนี้เจียงป่าวชิงไปเดินเล่นที่ในอำเภอ
เจียงป่าวชิงกลัวว่าเจียงหยุนชานจะได้ยินเรื่องนี้จากปากคนอื่นทำให้เขาตกใจ ตอนนี้เรื่องราวคลี่คลายลง มันคงเป็นการดีกว่าถ้าหากนางเป็นคนบอกเจียงหยุนชานเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยตัวเอง นางคิดว่าพี่ชายคงเข้าใจ
แต่มันกลับเกินความคาดหมายของนาง เพราะเจียงหยุนชานโกรธ แถมยังโกรธมากอีกด้วย
.
.