หนานกงเยี่ยมองเหลิ่งรั่วปิงเงียบๆ อยู่หลายวินาที “คุณจำเป็นต้องทำร้ายจิตใจกันขนาดนี้เลยเหรอ”
ถึงแม้สีหน้าของหนานกงเยี่ยจะดูเจ็บปวดมาก แต่เหลิ่งรั่วปิงยังคงดิ้นไม่หยุด เธอกระดิกนิ้วกลางข้างซ้ายที่สวมแหวนหมั้นเอาไว้ “คุณหนานกง คุณเองก็รู้ดีนี่หนิคะ ตอนนี้ฉันหมั้นแล้ว ถึงแม้คุณจะมองฉันเป็นตัวแทนของผู้หญิงคนนั้น แต่เราก็ควรรักษาระยะห่าง”
“หึ!” หนานกงเยี่ยหัวเราะในลำคอ พยายามข่มความโมโหของตนเอง “คุณรักไซ่ตี้จวิ้นมากแค่ไหนกัน ถึงได้อยากจะสงวนตัวเพื่อเขา ฮห๊ะ”
“รักหรือไม่รัก ฉันไม่จำเป็นต้องรายงานคุณ แต่การรักนวลสงวนตัวเป็นสิ่งที่ฉันควรทำ”
ภายในใจของหนานกงเยี่ยอัดแน่นด้วยเต็มไปด้วยความหึงหวง ความโมโหของเขาพลุ่งพล่านขึ้นมา เคล้าไปด้วยความหึง เขาอยากจะบีบมือผู้หญิงคนนี้จริงๆ เธอคิดว่าการที่เธอสวมหน้ากากหน้าคนอื่นก็สามารถทำให้เขาเจ็บปวดโดยไม่ต้องกลัว เหยียบย่ำศักดิ์ศรีของเขาอย่างไร้เยื่อใย?!
หึ! ผู้หญิงไม่มีหัวใจ!
หนานกงเยี่ยปล่อยมือ ทิ้งร่างเหลิ่งรั่วปิง
พลักผวัะ!
เหลิ่งรั่วปิงไม่ได้ระวังตัว เธอล้มลงกับพื้นอย่างแรง เจ็บจนกัดฟันกรอด
ตอนที่เธอหล่นลงบนพื้น คิ้วหนาของหนานกงเยี่ยกระตุกเล็กน้อย สัญชาตญาณของเขาบอกให้เขาเข้าไปพยุงเธอ แต่สุดท้ายเขาก็หักห้ามใจตนเองเอาไว้
เหลิ่งรั่วปิงไม่พูดไม่จา เธอลุกขึ้นมาจากพื้น ตวัดสายตามองมาที่เขา จากนั้นเดินสาวเท้าไปด้านหน้า ท่ามกลางความมืด เสื้อขนเป็ดสีขาวดูสว่างเป็นพิเศษ
มองดูแผ่นหลังของหญิงสาวหัวรั้น หนานกงเยี่ยเตะก้อนหินข้างทางด้วยความโมโห เขารีบเดินตามเธอไป กลัวว่าจะทำให้เธอโกรธอีก เขาจึงเดินตามหลังเดินห่างจากเธอหนึ่งก้าว
ก่วนอวี้มองดูจากที่ไกลๆ อดไม่ได้ที่จะร้อนใจแทนคุณชายเยี่ยของตน ทำตัวแบบนี้ตอนไล่ตามผู้หญิงได้อย่างไรยังไง
จนกระทั่งไปถึงหมู่บ้าน หนานกงเยี่ยและเหลิ่งรั่วปิงไม่คุยกันแม้แต่ประโยคเดียว เธอเย็นชาเหมือนน้ำแข็ง เขาอารมณ์ร้อนเหมือนไฟ โดยมีก่วนอวี้เดินตามมาด้วยความร้อนใจ
หมู่บ้านเล็กๆ ในชายแดน เป็นหมู่บ้านที่ทรุดโทรมมาก โรงแรมที่มีแค่โรงแรมเดียวก็มีคนเข้าพักจนเต็ม สุดท้ายภายใต้แรงกดดันและการจ่ายเงินอย่างหนักของก่วนอวี้ เจ้าของจึงยกห้องของตนเองให้พวกเขาเข้าพักแทน นอกจากนี้ก่วนอวี้ยังสั่งให้เจ้าของเปลี่ยนผ้าปูที่นอนใหม่ ถึงแม้ผ้าปูที่นอนนี้เมื่อเทียบกับแบรนด์ดังที่หนานกงเยี่ยใช้ประจำจะแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน แต่นี่เป็นเหตุฉุกเฉิน จู้จี้อะไรมากไม่ได้
ด้วยจำนวนห้องที่มีจำกัด ก่วนอวี้และพวกบอดี้การ์ดทำได้เพียงนอนที่ห้องพักของพนักงาน ให้หนานกงเยี่ยและเหลิ่งรั่วปิงนอนที่ห้องนอนของเจ้าของโรงแรม
เจ้าของโรงแรมได้รับเงินก้อนโตจากก่วนอวี้ เขาทำอาหารด้วยความอารมณ์ดี ทำอาหารสองสามอย่างและเตรียมข้าวสองถ้วย ยกไปเสริฟที่ห้องของหนานกงเยี่ย
อาหารในหมู่บ้านเล็กๆ แบบนี้ไม่สามารถเทียบกับอาหารที่หนานกงเยี่ยกินประจำไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงขมวดคิ้วเป็นปม กลืนอาหารด้วยความลำบาก แต่เหลิ่งรั่วปิงกลับกินเงียบๆ เธอไม่ได้แสดงสีหน้าว่ารสชาติอาหารแย่แต่อย่างใด ชีวิตของเธอเคยขึ้นไปถึงจุดสูงสุดและตกฮวบลงมา เธอเคยเป็นคุณหนูในครอบครัวที่ฐานะร่ำรวย และเคยเป็นเด็กสาวที่ไม่มีแม้แต่ข้าวกิน ดังนั้นเธอสามารถกินอาหารระดับโรงแรมห้าดาวได้ และสามารถกินอาหารธรรมดาๆ ได้ ไม่ว่าเวลาไหน เธอไม่เคยต้องหิวเพราะอาหารไม่ถูกปาก
มองดูเหลิ่งรั่วปิงกินอาหารด้วยความสง่างาม หนานกงเยี่ยจึงหยิบตะเกียบขึ้นมาเงียบๆ ฝืนกินลงไป เขาเคยพูดเอาไว้ เมื่อไรหร่ที่เธอกลับมา ไม่ว่าเธอจะร้องขอให้ทำอะไรเขายินดีที่จะทำทุกอย่าง เขาจะชอบทุกอย่างที่เธอชอบ เกลียดในทุกสิ่งที่เธอเกลียด ในเมื่อเหลิ่งรั่วปิงสามารถกินอาหารพวกนี้ได้ ทำไมเขาจะกินไม่ได้
ดังนั้น ขณะที่กินอยู่นั้น จู่ๆ หนานกงเยี่ยก็รู้สึกว่าอาหารพวกนี้ไม่ได้กินยากขนาดนั้นแล้ว สุดท้ายทั้งสองคนกินอาหารจนหมดจาน เขาไม่เคยรู้สึกว่าอาหารหนึ่งมื้อสามารถทำให้เขาอิ่มเอมใจได้ขนาดนี้
ถึงแม้ว่าสีหน้าของเหลิ่งรั่วปิงที่แสดงออกมาจะนิ่งเฉย แต่ภายในใจของเธอกลับตกใจเป็นอย่างมาก เธอคิดไม่ถึงว่า หนานกงเยี่ยจะเปลี่ยนไปมากขนาดนี้
หลังจากจัดการกับความหิว ก็ถึงเวลาเผชิญกับการนอนพัก ห้องหนึ่งห้อง มีเตียงแค่หนึ่งเตียง อีกทั้งเวลานี้พวกเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกันเหมือนก่อน แล้วจะนอนอย่างไรยังไง
เหลิ่งรั่วปิงอึดอัดใจมาก แต่หนานกงเยี่ยกลับดูสบายใจ หลังจากกินข้าวเสร็จเขาก็เดินไปอาบน้ำ เปลี่ยนเป็นชุดนอนที่ก่วนอวี้ซื้อมาจากร้านค้าในหมู่บ้าน แม้ว่าจะเป็นชุดนอนราคาถูก แต่พอใส่บนตัวหนานกงเยี่ย เขายังคงดูหล่อเหมือนเดิม หนานกงเยี่ยเช็ดผมของตนเองพลางพูดกับเหลิ่งรั่วปิง “ไปอาบน้ำแล้วเข้านอนเถอะครับ”
เหลิ่งรั่วปิงลังเลอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายเธอก็เดินเข้าไปในห้องน้ำ เพราะเธออยากจะอาบน้ำเพื่อผ่อนคลายความเมื่อยล้า แต่ตอนที่เดินออกมาจากห้องน้ำ เหลิ่งรั่วปิงกลับไม่ได้ใส่ชุดนอนที่ก่วนอวี้เตรียมเอาไว้ให้ เธอใส่เสื้อกันหนาวขนเป็ดและกางเกงตัวเดิม เหลิ่งรั่วปิงเช็ดผมจนแห้งจากนั้นนั่งเงียบๆ บนเก้าอี้ หมู่บ้านนี้ถือเป็นหมู่บ้านที่ไม่ร่ำรวย ภายในห้องนอนของเจ้าของโรงแรมไม่มีแม้แต่โซฟา มีแค่เก้าอี้สองตัวเท่านั้น เฮ้อ เธออยากจะนอนบนโซฟาก็ไม่มีแม้แต่โซฟาให้นอน
ทางด้านหนานกงเยี่ยนอนขดตัวอยู่ในผ้าห่มแล้ว
ก่วนอวี้เป็นผู้ช่วยที่ดีมากจริงๆ เขารู้ว่าความสัมพันธ์ของหนานกงเยี่ยและเหลิ่งรั่วปิงยังไม่กลับมาเหมือนเดิม ดังนั้นจึงเตรียมผ้าห่มมาให้สองผืน
หนานกงเยี่ยตบที่ว่างบนเตียงข้างๆ เขา “มานอน”
เหลิ่งรั่วปิงชำเลืองมองไปที่เขา เธอนั่งตัวแข็งทื่อ หนานกงเยี่ยรู้ดีว่าเธอคงรู้สึกอึดอัด เขาจึงพูดจากวนประสาทเธอเล็กน้อย “ไม่อยากนอนกับผม หรือว่าคุณอยากไปนอนกับพวกก่วนอวี้ที่ห้องพักคนงาน?”
เหลิ่งรั่วปิงนั่งนิ่ง เธอมองไปที่หนานกงเยี่ย กระชับเสื้อกันหนาวขนเป็ดของตนเอง แล้วเดินไปด้านนอก “ฉันไปนอนตรงทางเดินข้างนอกได้ค่ะ”
เธอรังเกียจเขามากขนาดนี้เลยหรือ ยอมที่จะไปนอนทนอากาศหนาวตรงทางเดิน แต่ไม่ยอมมานอนบนเตียงเดียวกับเขา เขาไม่ได้ทำอะไรเธอสักหน่อย อีกทั้งผ้าห่มก็คนละผืนด้วย!
หนานกงเยี่ยโมโหขบกรามแน่น โยนผ้าห่ม ตะโกนตามหลังเหลิ่งรั่วปิงไป “คุณฉู่หนิงซยา อย่าชวนทะเลาะกลางดึกแบบนี้ กลับมานอน!”
เหลิ่งรั่วปิงทำเหมือนไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูด เธอยื่นมือไปเปิดประตู ทว่าตอนที่เธอเปิดประตู กลับถูกหนานกงเยี่ยคว้าตัวเอาไว้ ประตูที่เพิ่งเปิดออกถูกปิดอย่างแรง เขาโยนเธอขึ้นไปบนเตียง “คุณฉู่หนิงซยา ผมพูดอีกหนึ่งรอบ ขึ้นไปนอนบนเตียง ผมไม่ได้ทำอะไรคุณสักหน่อย ถ้าคุณยังดื้ออีก ผมไม่รับปากว่าผมจะไม่ทำอะไรคุณ หื้ม!”
เหลิ่งรั่วปิงลุกขึ้นยืนด้วยความโมโห เธอจ้องหน้าหนานกงเยี่ย “ฉันรู้สึกว่าเรานอนบนเตียงเดียวกันแบบนี้มันไม่เหมาะสม ถึงแม้ตอนนี้ฉันจะเป็นพนักงานของคุณ แต่การจะนอนที่ไหนฉันคิดว่ามันเป็นสิทธิและเสรีภาพของฉัน!”
หนานกงเยี่ยแสยะยิ้ม เริ่มปลดกระดุมเม็ดแรก พูดด้วยน้ำเสียงอันตราย “ดูเหมือนคุณอยากให้ผมทำอะไรสักหน่อยสินะ”
“คุณ!” เหลิ่งรั่วปิงโมโหจนคิ้วขมวดคิ้วเป็นปม มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่น “หนานกงเยี่ย คุณมันสารเลว!”
“ฮ่าๆๆ…” คำด่านี้ทำให้หนานกงเยี่ยหัวเราะ เขารู้สึกเหมือนความรู้สึกเดิมๆ ได้กลับมาอีกครั้ง “ครับ รีบเข้านอนเถอะ ผมไม่ทำอะไรคุณหรอก”
พูดจบ หนานกงเยี่ยปิดไฟในห้อง ขึ้นไปบนเตียง จากนั้นยื่นมือไปคว้าตัวเหลิ่งรั่วปิงมานอนบนเตียง ห่มผ้าให้กับเธอ ยิ้มด้วยความอ่อนโยน “นอนหลับเถอะครับ”
เหลิ่งรั่วปิงรู้ดีว่าเธอไม่สามารถเอาชนะเขาไม่ได้ เธอจึงพลิกตัวหันไปนอนอีกด้าน นอนหันหลังให้เขา ตอนแรกเหลิ่งรั่วปิงยังคงไม่ยอมนอน แต่เพราะวันนี้เหนื่อยมากจนเกินไป ทำให้สุดท้ายเธอก็เผล็อยหลับไป
ตอนที่ได้ยินเสียงหายใจเบาๆ จากข้างกาย หนานกงเยี่ยพลิกตัวเบาๆ อาศัยแสงสว่างจากพระจันทร์จ้องมองไปที่แผ่นหลังของเหลิ่งรั่วปิง เขาโอบกอดเธออย่างแผ่วเบา เขารู้ เธอที่หลับสนิทไปแล้วยังคงต้องการอ้อมกอดจากเขา เพราะคืนนี้อากาศหนาวมาก
นอนขดตัวในอ้อมกอดที่อบอุ่น ทำให้เหลิ่งรั่วปิงนอนหลับสนิท กว่าจะตื่นนอนท้องฟ้าก็สว่างแล้ว ตอนที่ตื่นขึ้นมา เธอเห็นหนานกงเยี่ยนั่งอยู่ข้างเตียง เขานั่งทำงานจดจ่อกับแล็ปท็อป เมื่อเห็นเหลิ่งรั่วปิงตื่น หนานกงเยี่ยเงยหน้าขึ้นแล้วคลี่ยิ้มบางๆ “ตื่นแล้วเหรอครับ”
เหลิ่งรั่วปิงรู้สึกราวกับผ่านไปนานมาก เธอมองไปรอบๆ ห้อง จู่ๆ ก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ เด้งตัวขึ้นมานั่ง เมื่อเห็นว่าเสื้อผ้าบนตัวยังคงเรียบร้อยดี เธอจึงโล่งออก
หนานกงเยี่ยหัวเราะ “ถ้าผมทำอะไรคุณขึ้นมาจริงๆ คุณยังจะนอนหลับสบายจนถึงตอนนี้?”
เหลิ่งรั่วปิงก้มหน้าลงด้วยความเขินอาย
หนานกงเยี่ยหัวเราะ ชี้ไปที่ปิ่นโตเก็บความร้อนข้างเตียง “กินอาหารเช้าก่อนเถอะครับ กินเสร็จเราจะออกเดินทางทันที รถจอดรอรถด้านนอกแล้ว”
เหลิ่งรั่วปิงไม่ได้เขินอายอีก เธอเปิดปิ่นโตเก็บความร้อน ด้านในมีขนมปังและนม เธอกินจนหมดเกลี้ยง จากนั้นลุกไปล้างหน้าแปรงฟันเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อย หลังจากแต่งตัวเสร็จ ตอนที่เหลิ่งรั่วปิงเดินออกมาจากห้องน้ำ หนานกงเยี่ยเก็บของเรียบร้อยแล้ว เขากำลังรอเธอ
“ไปกันเถอะ” หนานกงเยี่ยพูดสั้นๆ สามคำ แล้วเดินออกไป
รถที่จอดรอด้านนอกเป็นรถยนต์หรูระดับท็อป คนในหมู่บ้านพากันมามุงดู พวกเขามองจากที่ไกลๆ แล้วชี้นู้นชี้นี่ เหลิ่งรั่วปิงอดไม่ได้ที่จะก่นด่าหนานกงเยี่ยในใจ ผู้ชายคนนี้ชอบทำตัวเด่นตลอด เอารถหรูระดับนี้มารับคนในหมู่บ้านเล็กๆ เป็นการสร้างจุดสนใจไม่ใช่หรือไง
เดิมทีเหลิ่งรั่วปิงคิดว่า พวกเธอจะนั่งรถคันนี้กลับเมืองหลง ทว่าคิดไม่ถึงว่า หนานกงเยี่ยเพียงแค่นั่งรถนี้ไปที่นอกหมู่บ้าน เพราะก่วนอวี้เอาเฮลิคอปเตอร์มาจอดรอที่นั่น
เหลิ่งรั่วปิงบ่นในใจอีกครั้ง ในเมื่อนั่งรถมาถึงแค่นอกหมู่บ้าน ทำไมต้องใช้รถหรูขนาดนี้ด้วย ต้องการแสดงให้คนในหมู่บ้านเห็นว่าเขารวยมากหรือไง
หนานกงเยี่ยมองหญิงสาวที่มีสีหน้าหลากหลายในเวลาเดียวกัน อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เธอกำลังทำหน้าอะไรอยู่ เขาทำอะไรให้เธอรู้สึกรังเกียจ? เหลิ่งรั่วปิงกลรอกตามองบนอย่างไม่ไว้หน้า เปิดประตูลงจากรถด้วยตนเอง เดินตรงไปที่เฮลิคอปเตอร์ ทางด้านหนานกงเยี่ยเม้มปากแน่น รีบลงจากรถ เดินตามเหลิ่งรั่วปิงไปที่เฮลิคอปเตอร์
พื้นที่บริเวณนี้เป็นทางตอนเหนือสุดของประเทศต้าย่า ถ้าจะไปเมืองหลง เดินทางโดยรถยนต์ต้องใช้เวลาสิบกว่าชั่วโมงกว่า แน่นอนว่าหนานกงเยี่ยไม่มีวันยอมเสียเวลาเดินทางนานขนาดนั้น ดังนั้นเขาจึงสั่งให้คนเอาเฮลิคอปเตอร์มารับ
เดินทางโดยเฮลิคอปเตอร์ ใช้เวลาประมาณสี่ชั่วโมงก็ถึงเมืองหลง
กลับมาเมืองหลงอีกครั้ง เหลิ่งรั่วปิงมีความรู้สึกมากมาย เธอมองไปยังตึกสูง รถที่แล่นบนท้องถนน ทุกอย่างทั้งแปลกตาและคุ้นเคยไปหมด เธอคิดถึงเวินอี๋ ถ้าตอนนั้นไม่เกิดเรื่องที่ทำให้เธอเสียใจ เธออยากจะอยู่ที่เมืองหลงกับเวินอี๋ในระยะยาว เพราะเวินอี๋เป็นญาติเพียงคนเดียวของเธอ
เฮลิคอปเตอร์ของหนานกงเยี่ยลงจอดที่วิลล่าหย่าเก๋อ
กลับมาวิลล่าหย่าเก๋ออีกครั้ง หัวใจของเหลิ่งรั่วปิงเต้นแรง หลังจากลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ตัวของเธอแข็งทื่อ ไม่ยอมเดินเข้าไปในวิลล่า เธอตัดสินใจว่าจะตัดขาดทุกอย่างจากที่นี่ ดังนั้น เธอไม่มีวันพาตัวเองเข้าไปในวิลล่าหย่าเก๋อแม้แต่ก้าวเดียว “คุณหนานกง ขอบคุณที่พาฉันมาถึงเมืองหลง ฉันขอตัวไปโรงแรมก่อนนะคะ ให้เริ่มงานวันไหนรบกวนคุณโทรมาแจ้งฉันที”
พูดจบ เหลิ่งรั่วปิงหมุนตัวหันหลังกำลังจะเดินไป หนานกงเยี่ยรีบคว้าแขนของเธอ “คุณฉู่หนิงซยา อย่าเพิ่งคิดมากนะครับ ผมแค่มาเอาเอกสารที่นี่เท่านั้น เดี๋ยวเอาเอกสารเสร็จผมจะไปส่งคุณไป ทางบริษัทได้เตรียมคอนโดมิเนียมเอาไว้ให้คุณแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องพักที่โรงแรม”