ตอนที่ 625 เจตนาแรงกล้า
“มิใช่เยี่ยงนั้น…โปรดฟังข้าก่อน ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกว่าความเข้าใจผิดนี้อาจจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ สำหรับตัวเขามิได้เสื่อมเสียแต่อย่างใด แต่หากนางเสื่อมเสียชื่อเสียงแล้วยังจะมีผู้ใดกล้าสู่ขอนางอีกเล่า ?
ซือหม่าจือยิ้มอย่างเปี่ยมความหมายลึกซึ้ง “เรื่องสุรามงคลนั้นเอาไว้ก่อน ตอนนี้ท่านต้องดื่มสุราสามจอกนี้ ! ”
ในเวลานี้ทุกคนเริ่มมึนเมากันมากแล้วจึงเห็นว่าเป็นเรื่องปกติที่ซือหม่าเช่อจะมอบของแทนใจให้กับฟู่เสี่ยวกวน
พวกเขาช่างเหมาะกันราวกับกิ่งทองใบหยก บุรุษมีรูปลักษณ์สง่างามและมีความสามารถ ส่วนสตรีก็มีวิสัยทัศน์ ถึงแม้ว่าติ้งอันป๋อจะมีภรรยาอยู่แล้วถึง 3 คนก็ตาม นี่ถือว่าเป็นเรื่องปกติอย่างยิ่งที่จะแต่งอนุอีกสักสองสามคน
คุณหนูตระกูลใหญ่แห่งหยิงชิวมิถือสาต่อการได้เป็นอนุภรรยาเพราะติ้งอันป๋อมีความฉลาดปราดเปรื่อง ผู้คนส่วนใหญ่ก็มิได้มองข้ามในข้อนี้ของเขา จึงรู้สึกว่าคุณหนูท่านนี้ฉลาดในการเลือกคู่ครองมากยิ่งนัก ! ”
ท่านเจวี๋ยเยผู้นี้คือพญานกที่ขี่พายุหมุนโผทะยานเก้าหมื่นลี้อย่างแท้จริง !
มีสตรีมากมายในใต้หล้าชื่นชมเขามากยิ่งนัก แต่ก็มิสามารถแต่งเข้าจวนตระกูลฟู่ได้ !
เฮ้อซานเตาลูบจมูกพร้อมชำเลืองมองไปรอบ ๆ จากนั้นก็มองไปที่ซือหม่าเช่อ จึงตระหนักขึ้นมาได้ว่าใบหน้าของนางนั้นงดงามดุจดอกเหมยบานสะพรั่งในฤดูหนาว
จากนั้นก็มองไปที่สวี่ซินเหยียนที่กำลังยิ้มสดใสราวกับดอกกล้วยไม้
ไอหยา… สวรรค์ !
เฮ้อซานเตาตบหน้าผากของตนเองไปหนึ่งที พลางครุ่นคิดว่าในจวนของติ้งอันป๋อนั้นมีภรรยาทั้งสามที่งดงามบาดตาบาดใจอยู่แล้ว แต่นอกจวนก็ยังมีสตรีที่งามจนสามารถทำให้บ้านเมืองล่มสลายได้อีกตั้ง 2 คน
นี่คือความสำเร็จสูงสุดของชีวิต…ธงแดงที่บ้านมิตก ธงหลากสีสันนอกบ้านก็พลิ้วไสว !
พวกเราต่างก็เป็นคุณชายเศรษฐีที่ดิน เหตุใดถึงได้แตกต่างกันมากมายถึงนี้ ?
ข้านั้นมีคู่หมั้นเพียงผู้เดียวและคงจะโดนควบคุมไปตลอดทั้งชีวิต !
เฮ้อ…ดื่ม ใช่ ! ดื่มสุรา !
เขายืนขึ้นแล้วกล่าวว่า “ติ้งอันป๋อ คุณชายซือหม่ากล่าวได้ถูกต้อง ในเวลาเช่นนี้ยังมิเหมาะที่จะอธิบายเพราะเหมือนเป็นการปกปิดเสียมากกว่า… มาเถิด ข้าน้อยขอคารวะเจวี๋ยเยสามจอก นับถือเจวี๋ยเยเป็นแบบอย่าง ซานเตาจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อไล่ตามรอยเท้าของท่าน ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนเมื่อได้ยินดังนั้นก็ทำให้เกิดความสงสัยขึ้นมาในใจว่า คนเยี่ยงเจ้าน่ะหรือที่จะไล่ตามข้า ?
เฮ้อซานเตาเปิดขวดสุราแล้วรินลงไป 6 จอก เขาหยิบ 3 จอกขึ้นมาแล้วดื่มในคราเดียว “ข้าดื่มคารวะก่อน เจวี๋ยเยเชิญดื่มต่อ ! ”
แล้วข้าจะทำอันใดได้อีกกัน ?
จากนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็เงยหน้ามองไปที่ซือหม่าเช่อแต่มิคาดคิดว่าอีกฝ่ายก็มองมาเช่นกัน นางมองเขาด้วยแววตาอ่อนโยน จากนั้นก็กล่าวออกมาว่า “ในเดือนสี่ ฤดูใบไม้ผลิที่อากาศอบอุ่นนั้น ข้าได้ออกเดินทางท่องเที่ยวเพื่อสัมผัสกับธรรมชาติ พอถึงยามพลบค่ำก็บังเอิญเจอเข้ากับรถม้าของคุณชาย ช่างประจวบเหมาะกับที่ผ้าคาดศีรษะของข้าปลิวติดรถม้าของท่านไป… ข้าได้ยินชื่อเสียงอันโด่งดังของหนังสือความฝันในหอแดงและได้ฟังอีกหลายบทกวีของคุณชาย ข้าจึงชื่นชมมากยิ่งนัก”
น้ำเสียงของนางอ่อนหวานยิ่ง แต่ทว่าสีหน้านั้นดูหนักแน่น
ทุกคนในที่นี่ต่างก็กลั้นหายใจเอาไว้เพื่อรอฟังในสิ่งที่นางจะเอ่ยต่อ
แม้แต่สวี่ซินเหยียนก็มองซือหม่าเช่อด้วยความสนใจเช่นกัน นางมิเพียงแต่มิหึงหวง แต่นางยังรู้สึกว่าหากแม่นางผู้นี้แต่งเข้าจวนฟู่มาอย่างน้อยตนก็ยังพอมีสหายอยู่บ้าง
“ข้ามิกล้าบังคับให้คุณชายมาชอบข้าหรอก แต่ขอกล่าวตามความเป็นจริงว่าข้าชอบคุณชายและมิได้กล่าวเพราะฤทธิ์สุรา แต่ทว่านี่เป็นความจริงจากใจของข้า ! ”
“คุณชายมิต้องตกตะลึงและมิต้องกังวลต่อสิ่งใด เพราะที่ข้าชอบท่านเป็นความในใจของข้าเอง แน่นอนว่าข้าจะพยายามไล่ตามท่านแล้วขี่พายุหมุนโผทะยานเก้าหมื่นลี้ไปกับท่าน ! ”
“ข้าขอคารวะคุณชายหนึ่งจอกสำหรับโอกาสที่จะได้พบกันอีกเมื่อยามแสงสุริยารุ่งโรจน์ ! ”
จากนั้นนางก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้าไปด้านข้างฟู่เสี่ยวกวนอย่างเปิดเผย นางยื่นแขนที่สวมกำไลหยกสีเขียวออกไปรินสุราให้กับฟู่เสี่ยวกวนอีกหนึ่งจอก
นางยิ้มแล้วกล่าวว่า “ข้าจะไปที่ว่อเฟิงเต้าด้วย ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนตื่นตกใจขึ้นมาทันที นี่คือการหนีตามกันเยี่ยงนั้นหรือ ? อยู่ ๆ คำกล่าวนี้ก็ผุดขึ้นมาในหัวของเขา สตรีผู้นี้ช่างใจกล้ามากยิ่งนัก !
จะทำเยี่ยงไรดี ?
ในเมื่อนางเปิดเผยเช่นนี้ บุรุษเยี่ยงข้าก็มิจำเป็นต้องกระดากอายแล้ว
“ได้ ! มาดื่มกัน ! ”
เขามิได้เอ่ยถามซือหม่าเช่อว่านางจะไปที่ว่อเฟิงเต้าด้วยเหตุอันใดและมิได้เอ่ยถึงคำสารภาพความในใจของนางอีก เขามิอธิบายแล้วว่าเหตุใดจึงมีผ้าคาดศีรษะของนางเอาไว้ในครอบครอง เขาสอดผ้านั้นกลับเข้าในแขนเสื้อดังเดิม จากนั้นก็ยกจอกสุราขึ้นดื่มจนหมดจอก
“หมดจอกเจ้าค่ะ… ! ”
เฮ้อซานเตารู้สึกว่านี่เป็นสถานการณ์ของการแสดงเจตนารมณ์อันแรงกล้า !
เขารู้สึกยินดีจนต้องปรบมือเสียงดังอย่างบ้าคลั่ง คนในที่นี้ก็ร่วมยินดีด้วยเช่นกัน มีเพียงหวางซุนอู๋หยาเท่านั้นที่รู้สึกหดหู่ใจ…
ผู้ที่มิมีแม้แต่เรี่ยวแรงจะฆ่าไก่เยี่ยงข้าน่ะหรือ จะมีคุณสมบัติไปแย่งสตรีคนเดียวกับติ้งอันป๋อได้ ช่างน่าเวทนาเสียจริง
ซือหม่าอันมองซือหม่าเช่ออย่างมีความหมายลึกซึ้ง เขารู้ดีว่าบิดาและน้องชายมิเคยสั่งสอนให้ซือหม่าเช่อทำเช่นนี้
คำเอ่ยของนางในมิช้าก็เร็วย่อมถูกเผยแพร่ออกไปเป็นแน่
หากนางมิสามารถแต่งเข้าจวนฟู่ได้แล้วล่ะก็…ชื่อเสียงของนางก็จะพลอยเสื่อมเสียไปด้วย
แล้วผู้ใดจะกล้าแต่งนางเข้าจวนอีกเล่า ?
ถ้าหากว่าติ้งอันป๋อชอบพอนางเช่นกัน ก็จะมิมีผู้ใดกล้ายุ่งเกี่ยวกับนางอีก ย่อมมิมีผู้ใดอยากรนหาที่ตาย !
ดังนั้นวาจาที่ซือหม่าเช่อได้เอ่ยออกมานั้น ถือเป็นการปิดกั้นเส้นทางให้ถอยหลังกลับ เหลือเพียงเส้นทางเดียวเท่านั้นคือนางต้องแต่งกับติ้งอันป๋อ มิเช่นนั้นนางจะต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวไปชั่วชีวิต
นี่เรียกว่าสุขหรือทุกข์กันแน่ ?
มิมีผู้ใดสามารถคาดเดาได้
ปล่อยให้เป็นเรื่องของโชคชะตาเถิด
ในบรรยากาศที่ครื้นเครงเช่นนี้ ฟู่เสี่ยวกวนดื่มสุราเสียจนมึนเมา
เขายืนขึ้นอย่างมึนงง จากนั้นก็เอ่ยว่า “ค่ำคืนนี้…พอแค่นี้เถิด จินหลิงนั้นมีสถานที่ที่งดงามตั้งมากมาย หากพวกท่านว่างก็สามารถไปเยี่ยมชมได้ ข้าเมามากแล้วขอตัวลา”
“ทุกท่าน…ก่อนจากลา ข้ามีเรื่องจะกล่าวกับพวกท่านว่าเมื่อมีโอกาสอยู่ตรงหน้า…จงกล้าที่จะไขว่คว้าเอาไว้และเปลี่ยนแปลงมันเสีย ทั้งว่อเฟิงเต้า…และราชวงศ์หยู ข้าจะทำให้มันเจริญรุ่งเรืองยิ่งกว่าเดิม ! ”
“ซานเตา…แบกข้า ! ”
พอกล่าวจบก็กระโดดขึ้นหลังของเฮ้อซานเตาแล้วกลับออกไปในทันที
หนิงหยู่ชุนหัวเราะเสียงดังแล้วยืนขึ้น “ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัวก่อน แล้วพบกันใหม่ที่ว่อเฟิงเต้า ! ”
……
……
ฟู่เสี่ยวกวนและผู้ติดตามจากไปแล้ว ผู้คนที่เหลือจึงแยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง
มีเพียงซือหม่าอันเท่านั้นที่พาซือหม่าจือและซือหม่าเช่อขึ้นไปบนชั้นสี่แล้วเปิดห้องน้ำชา เพื่อชงชาสักกา
“เช่อเอ๋อร์…”
“ท่านลุงสอง…” ใบหน้าของซือหม่าเช่อยังคงแดงระเรื่ออยู่ นางรู้ดีว่าสิ่งที่ได้เอ่ยออกไปนั้นย่อมมีผลตามมาอย่างแน่นอน และนางก็รู้ว่าตนเองต้องเจอกับอันใดบ้าง
“ท่านลุง หลานมิได้เสียใจกับสิ่งที่ตนเองตัดสินใจทำลงไปเลยเจ้าค่ะ”
ซือหม่าจือรู้สึกมึนงงเล็กน้อย เขามองไปรอบ ๆ แล้วเอ่ยว่า “เหตุใดต้องเสียใจด้วยเล่า ? คนเยี่ยงติ้งอันป๋อ แม้แต่บุรุษก็ยังชื่นชมและศรัทธา แล้วจะนับประสาอันใดกับสตรีเล่า ! ”
“ใช่ ! มิว่าเยี่ยงไรโอกาสก็อยู่ตรงหน้าแล้ว… แท้ที่จริงแล้วความรักของติ้งอันป๋อเปรียบดั่งความรักของมังกรและหงส์ตามตำนาน ฮูหยินทั้งสามมีทั้งเชื้อพระวงศ์และบุตรีจากตระกูลขุนนางอันสูงส่ง มิว่าจะเป็นด้านรูปร่างหน้าตาหรือความสามารถของเจ้านั้นมิได้เป็นรองภรรยาทั้งสามของเขาเลย แต่ที่น่ากังวลก็คือ… ตระกูลของเราเป็นพ่อค้า ! ”
ซือหม่าเช่อเงยหน้าขึ้นแล้วกล่าวว่า “มิใช่ว่าเขากำลังส่งเสริมสถานะของพ่อค้าหรอกหรือ ? หลานได้ยินมาว่าตระกูลโจ่งและตระกูลหยูแห่งหลินจื๋อได้ช่วยหนุนการทำสงครามกับกบฏเซวี๋ยจนได้รับชัยชนะอันยิ่งใหญ่ ฝ่าบาทจึงพระราชทานโล่ทองคำให้กับพวกเขา”
ซือหม่าจือมิได้เอ่ยสิ่งใดออกมาเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ทว่าเขาได้เปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปเลย
“เจ้าเอ่ยว่าจะไปที่ว่อเฟิงเต้าเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ใช่ ! ข้าจะไปที่นั่น”
ซือหม่าจือขมวดคิ้วงุนงง “แต่เจ้ามิมีตำแหน่ง ! ”
“ข้ารู้ดี… ดังนั้นข้าจึงตั้งใจจะเข้าร่วมสอบเอินเคอในครานี้ด้วย ! ”