ตอนที่ 631 สอบเอินเคอ (2)
การย้อนเล่าเรื่องราวในอดีตของซือหม่าเช่อนั้นคล้ายกำลังจะเกิดขึ้น ณ ตอนนี้ !
นางลืมตัวจึงดึงแขนเสื้อขึ้นเผยให้เห็นแขนเรียวขาวดุจหิมะ นางเพิ่งรู้ตัวจึงรีบดึงแขนเสื้อลงแล้วหนีบแขนเสื้อเอาไว้ทันที “เรื่องก็ประมาณนี้ ส่วนเรื่องที่ติ้งอันป๋อมีอำนาจนั้น ตัวข้า…ข้ามิสามารถบรรยายออกมาเป็นคำเอ่ยได้ แต่ถ้าพวกท่านได้อยู่ในที่นั้นด้วย ย่อมบังเกิดความเลื่อมใสและศรัทธาขึ้นมาอย่างแน่นอน ! ”
คำเอ่ยที่เต็มไปด้วยอารมณ์ กระตุ้นความสนใจของบัณฑิตหลายคนได้ดีมากยิ่งนัก “แล้วหลังจากนั้นเล่า ? ”
“จากนั้น… หลังจากนั้นในมือของติ้งอันป๋อก็ได้ถือจอกสุราแล้วก้าวไปข้างหน้า 1 ก้าว”
“เจ้าหลีกทางหน่อย น้องซือหม่าโปรดเล่าเรื่องเกี่ยวกับติ้งอันป๋อให้ฟังอีกได้หรือไม่ ! ”
ผู้ที่อยู่ตรงหน้าซือหม่าเช่อถูกหยุนซีเหยียนดึงไปด้านหลัง จากนั้นซือหม่าเช่อก็ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้วกล่าวว่า “ติ้งอันป๋อดื่มสุราเข้าไป 1 จอกแล้วกล่าวบทแรกออกมา… วันหนึ่งเมื่อต้าเผิงเริ่มโบยบินตามสายลม ขี่พายุหมุนโผทะยานเก้าหมื่นลี้ ! ”
เสี่ยวซิงเอ๋อร์รู้สึกกังวลขึ้นมา นี่คุณหนูคิดว่าตนเป็นบุรุษจริงเยี่ยงนั้นหรือ ?
นางจึงรีบดึงแขนเสื้อของซือหม่าเช่ออีกครา แต่อีกฝ่ายกลับปัดมือของนางออกแล้วกล่าวต่อว่า “ความสามารถของติ้งอันป๋อ ตัวข้า… ในเวลานั้นข้ารู้สึกตกตะลึงไปชั่วขณะ ราวกับเขาได้กลายร่างเป็นต้าเผิงแล้วโบยบินไปเก้าหมื่นลี้ท่ามกลางเมฆาอย่างแท้จริง ! ”
“ไอหยา… ! ” เมื่อเหล่าบัณฑิตได้ยินเช่นนี้ก็แทบจะกลั้นหายใจ แต่ละคนมีความกระตือรืนร้นอยากรู้เหตุการณ์ต่อจากนั้นอีกเรื่อย ๆ
เช้านี้บทกวีไร้ชื่อถูกเผยแพร่ไปทั่วทั้งเมืองจินหลิงอย่างรวดเร็ว พวกเขาต่างก็ได้ฟังมาบ้างแล้ว แต่ในยามนี้เมื่อได้ฟังซือหม่าเช่อกล่าวอีกครา ก็เหมือนกับตนได้เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย แสดงให้เห็นถึงจิตวิญญาณอันแรงกล้า
“สหายทุกท่าน ติ้งอันป๋อเป็นดั่งต้าเผิง เขามีอุดมการณ์อันสูงส่งแต่ทว่าเขาก็สามารถเข้าถึงได้ง่าย ข้าจะเอ่ยตามตรงกับทุกท่านว่าคืนนั้นติ้งอันป๋อดื่มสุราเสียจนเมามายเพราะว่าข้าได้คารวะเขาไปหลายจอก และเขาก็…มิปฏิเสธอีกด้วย ! ”
“ไอหยา… ! ”
ฝูงชนเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา น้ำเสียงที่เปล่งออกมาอย่างหนักแน่นของซือหม่าเช่อได้ดึงดูดความสนใจของบัณฑิตมากมาย
“ตัวข้า… เหตุใดข้าจึงเข้าร่วมในการสอบเอินเคอครานี้น่ะหรือ ? ย่อมเป็นเพราะบุคลิกน่านับถือของติ้งอันป๋อเยี่ยงไรเล่า ! เขาอยู่ในตำแหน่งที่สูงส่งแต่มิถือตัว หากพวกท่านมีวาสนาได้รับคัดเลือกก็จะรู้ว่าสิ่งที่ข้ากล่าวออกไปนั้นเป็นจริงหรือไม่”
“เขาก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ถ้าเขามายืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนในตอนนี้ พวกท่านจะมิอยากเอ่ยชื่อติ้งอันป๋อเลย เพราะเขาดูเรียบง่ายมากยิ่งนัก”
“กล่าวกันว่าเนื้อแท้ของเขาเป็นเศรษฐีที่ดิน ข้าเองก็คิดเช่นนั้น ! ”
หยุนซีเหยียนไม่ได้ซาบซึ้งกับสิ่งที่ได้ยินจึงเอ่ยอย่างไม่เห็นด้วยว่า “นี่คือการข่มกลั้นการแสดงออก ! ติ้งอันป๋ออายุเพียง 18 ปี แต่กลับมีอำนาจมากยิ่งนัก นี่คงเป็นวิธีการสะสมอำนาจรูปแบบหนึ่ง ! ” เมื่อเขากล่าวจบก็เคารพให้ซือหม่าเช่อไปหนึ่งที “น้องซือหม่าช่างมีวาสนาเสียจริงที่ได้ร่วมโต๊ะกับผู้มีท่วงท่าสง่างามเยี่ยงติ้งอันป๋อ ! ”
“การสอบครานี้ข้าต้องผ่านการคัดเลือกให้ได้ จะได้ออกเดินทางท่องเที่ยวและได้ทำหน้าที่ดูแลว่อเฟิงเต้า ได้ติดตามรับใช้ติ้งอันป๋อและอยู่ใต้บัญชาเขา ! ”
ในเวลานั้นซือหม่าเช่อเพิ่งรู้ตัวว่ารอบกายนั้นเต็มไปด้วยบุรุษ !
นางตื่นตกใจเสียจนสดุ้งตัวโยน แล้วเคารพฝูงชนไปหนึ่งที “สหายทุกท่าน ข้าขอตัว…”
“น้องซือหม่าโปรดหยุดก่อน ! ท่านจะรีบไปที่ใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ข้ามีเรื่องอยากจะถาม…” เขากระซิบว่า “รู้เรื่องที่ติ้งอันป๋อจะรับอนุหรือไม่ ? ”
ซือหม่าเช่อตื่นตกใจเป็นอย่างมาก “พี่หยุนหมายความว่าเยี่ยงไร ? ”
“ที่จวนของข้า มีน้องสาวอายุ 16 ปี นางมีวิสัยทัศน์กว้างไกลแต่มิถือสาการเป็นอนุของติ้งอันป๋อ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้จึงทำให้ใบหน้าของนางซีดเผือดลงทันที นางมองหยุนซีเหยียนแล้วเอ่ยว่า “ติ้งอันป๋อกล่าวว่า…”
“เขากล่าวว่าเยี่ยงไร ? ”
เขาควรจะกล่าวว่าเยี่ยงไร ?
ซือหม่าเช่อมิรู้จะกล่าวสิ่งใดออกไป
ในเวลานี้ประตูของสำนักศึกษาก็ได้เปิดออก
มีผู้คุมสอบยืนอยู่หน้าประตูแล้วตะโกนว่า “ถึงเวลาอันสมควรแล้ว เชิญบัณฑิตทุกท่านเข้ามาข้างในทีละคน ! ”
ฝูงชนรีบเดินเข้าไปที่ประตูอย่างเสียดายเพราะยังฟังไม่จบ ทันใดนั้นซือหม่าเช่อที่กำลังจะเดินเข้าไปก็ถูกหยุนซีเหยียนเรียกเอาไว้ก่อน “น้องซือหม่า ติ้งอันป๋อกล่าวว่าเยี่ยงไรหรือ ? ”
ซือหม่าเช่อหันไปมอง “เขากล่าวว่า…อย่าฟุ้งซ่าน ! ”
“อืม…น้องเล็กของข้าช่างน่าสงสารมากยิ่งนัก นางมิมีความหวังเสียแล้ว”
……
……
ศูนย์กลางการศึกษา ณ สำนักศึกษาจี้เซี่ย
ฟู่เสี่ยวกวน ซ่างกวนเหวินซิ่ว และหลี่ชุนเฟิงกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะน้ำชา
“ติ้งอันป๋อวางใจเถิด สถานที่สอบและผู้คุมสอบได้เตรียมการเอาไว้แล้ว… เพียงแต่ว่าข้อสอบนี้ ข้าเองก็ได้อ่านแล้วเห็นว่าข้อสอบง่ายเกินไปหรือไม่ ? ”
หลี่ชุนเฟิงขมวดคิ้วมุ่นแล้วกล่าวอีกว่า “มันเป็นทฤษฎีของนโยบาย คงแสดงให้เห็นได้เพียงแค่ทักษะพื้นฐานของบัณฑิตเท่านั้น เฮ้อ ! ตอนนี้ก็สายเกินกว่าจะแก้ไขแล้ว”
ฟู่เสี่ยวหัวเราะฮ่าฮ่า “นี่มิใช่เพราะข้าขี้เกียจหรอกแต่เป็นเพราะการสอบเอินเคอในครานี้มีจุดประสงค์ที่ค่อนข้างชัดเจน นั่นก็คือการคัดเลือกผู้ที่มีความสามารถไปรับตำแหน่งที่ว่อเฟิงเต้า บุคคลมีความสามารถพิเศษที่ข้าต้องการคือคนที่สามารถยืนหยัดได้ด้วยตนเองและมีความตั้งใจ มิใช่ผู้ที่เขียนบทความด้วยลายมือสวยอย่างเดียวเท่านั้น”
ซ่างกวนเหวินซิ่วลูบเครายาวแล้วมองไปยังหัวข้อนี้อีกครา “ปัดกวาดใต้หล้า…อืม ! หัวข้อนี้มิเลวเลย ! ” เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเงยหน้ามองฟู่เสี่ยวกวน “จะตรวจให้คะแนนเยี่ยงไร ? ”
นี่…ฟู่เสี่ยวกวนเกาศีรษะแล้วตอบว่า “มิมีคำตอบที่ชัดเจนแต่จำไว้ว่ามิมีสิ่งใดผิด”
“ประการแรกคือ ประเด็นที่จับต้องได้จริง มิจำเป็นต้องสูงส่งและมิต้องสวยหรู”
“ประการที่สองคือ สามารถทำให้เกิดความสนใจในประเด็นขึ้นมาได้ อธิบายประเด็นได้อย่างชัดเจนเพื่อแสดงให้เห็นว่ามันเป็นไปได้”
“ประการที่สามคือ นี่เป็นการทดสอบความสามารถในการปกครองของบัณฑิตแต่ละคน กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เป็นสิ่งที่พวกเขาได้เรียนรู้มาแล้ว ให้พวกเขาแสดงแนวคิดที่เป็นประโยชน์แก่ราษฎร แนวคิดดังกล่าวมิจำเป็นต้องเดินไปตามนโยบายของแคว้นในปัจจุบัน พวกเขาสามารถคิดนอกเหนือจากนั้นได้ ตราบใดที่ยังตระหนักถึงประโยชน์ของราษฎรเมื่อนั้นจึงจะเป็นบทความที่ดี”
“นั่นคือสิ่งที่ข้าคิด ดังนั้นจึงเชิญพวกท่านทั้งสองมาช่วยตรวจสอบ”
ซ่างกวนเหวินซิ่วพยักหน้า และครุ่นคิดไปด้วย “ข้าเข้าใจความหมายของเจ้าแล้ว เห็นการสอบเอินเคอมาหลายปี… นี่เป็นรูปแบบใหม่อย่างแท้จริง”
หลี่ชุนเฟิงรู้สึกงุนงงจึงเอ่ยถามว่า “ท่านเข้าใจว่าเยี่ยงไร ? ”
“การนำสิ่งที่เรียนรู้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ ข้าเดาว่าบัณฑิตจากลัทธิขงจื้อจะถูกคัดออก เหลือเพียงบัณฑิตที่สนใจเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของราษฎรเท่านั้นจึงจะสามารถเขียนแนวทางการปัดกวาดใต้หล้าออกมาได้ดี”
ฟู่เสี่ยวกวนตบต้นขาของตนเองอย่างถูกใจไปหนึ่งที “ถูกต้อง ! สมแล้วที่สั่งสมประสบการณ์มามากมาย ! เป็นเยี่ยงที่ท่านขุนนางระดับสูงซ่างกวนกล่าวมิมีผิดเลย ! ”
ซ่างกวนเหวินซิ่วหัวเราะชอบใจ “ติ้งอันป๋อ การประจบของเจ้าทำให้ข้าพอใจมากยิ่งนัก หากว่างก็เชิญไปดื่มชาที่จวนของข้าสักหน่อยได้หรือไม่ ? ผู้อาวุโสฉินก็มาช่วยเจ้าสอนแล้ว ตำราหลี่เสวียนั้นข้าได้เขียนเพิ่มไว้อีกหนึ่งเล่มแต่ยังมีอีกหลายจุดที่มิเข้าใจ จึงอยากเชิญติ้งอันป๋อมาช่วยชี้แนะ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนยกยิ้มขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ตำรานั้นมิสามารถใช้ในราชวงศ์หยูได้อีก”
ซ่างกวนเหวินซิ่วพยักหน้าเข้าใจ “ผู้อาวุโสฉินก็เคยกล่าวเช่นนี้ และเขายังกล่าวออกมาอีกหนึ่งประโยค”
“เขากล่าวว่าเยี่ยงไรหรือ ? ”
“เขากล่าวว่า…หนทางหมื่นลี้ เริ่มต้นที่ก้าวแรก ! ”
ทันใดนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็เกิดความรู้สึกนับถือฉินปิ่งจงขึ้นมาทันที !
ผู้อาวุโสท่านนี้มิเพียงแต่ยอมรับตำราหลี่เสวียเท่านั้น แต่ทว่ายังมองออกเรื่องของอนาคตอีกด้วย !
ซ่างกวนเหวินซิ่วถอนหายใจยาวออกมา “ดังนั้นผู้อาวุโสฉินจึงล้มเลิกเรื่องของลัทธิขงจื้อ…มาได้ครึ่งทางแล้ว เขาได้ปล่อยวางลงและได้ไปสอนยังสำนักศึกษาซีซานอย่างสบายใจ ! ”
“พวกท่านกำลังกล่าวถึงเรื่องใดอยู่กัน ? ” หลี่ชุนเฟิงมองมาอย่างไม่เข้าใจ
ซ่างกวนเหวินซิ่วหัวเราะแล้วกล่าวว่า “เหวินสิงโจว นักปราชญ์แห่งราชวงศ์อู๋ ผู้อาวุโสผู้นั้น… ได้นำหน้าพวกเราไปแล้ว ! ”