“นังบ้า ขืนเจ้าพูดจาเพ้อเจ้ออีก ข้า…ข้า…” หลี่จิ้งเสียนมองซ้ายมองขวาก่อนจะคว้าแจกันดอกไม้ขึ้นมาแล้วขว้างไปทางนางฮาน
ทุกคนต่างตกตะลึงไปกับคำพูดของนางฮาน แต่ละคนตกตะลึงอ้าปากค้าง ไม่รู้ว่าควรแสดงปฏิกิริยาตอบโต้เช่นไร
“ท่านแม่…” ตามมาด้วยเสียงร้องเรียกหนึ่ง ทันใดนั้นเงาร่างหนึ่งก็กระโจนเข้ามาอย่างรวดเร็ว
เสียงดัง ‘ปึก’ ของแจกันดอกไม้ที่พุ่งออกไปกระทบลงบนแผ่นหลังของใครคนหนึ่ง ทันใดนั้นเสียงร่วงแตกดัง ‘เพล้ง’ ก็ดังขึ้นพร้อมกับแจกันที่แตกละเอียด
ยังไม่ทันที่ทุกคนจะดึงสติกลับคืนมาครบถ้วน นางฮานที่กำลังกอดหมิงจูไว้หันไปทางหลี่จิ้งเสียนแล้วเอ่ยถามด้วยความเดือดดาล “หลี่จิ้งเสียน เจ้ายังมีความเป็นคนอยู่หรือไม่ กระทั่งบุตรสาวแท้ๆ ของตนเองก็ยังไม่ละเว้น เจ้า…เจ้ามันปีศาจชัดๆ…”
ภายในระยะเวลาอันสั้น ความจริงที่หลี่จิ้งเสียนแอบซ่อนไว้อย่างอยากลำบาก ความพยายามอย่างหนักในการปั้นภาพลักษณ์ลูกกตัญญูต่อหน้ามารดา ปั้นภาพลักษณ์บิดาที่เคร่งครัดเอาจริงเอาจังต่อหน้าบรรดาลูกๆ กลับถูกนางฮานทำลายจนราบคาบเป็นหน้ากลอง สายตาที่ทุกคนมองเขาล้วนตกตะลึงปนประหลาดใจด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ มีทั้งคำถาม มีทั้งความสงสัย โดยเฉพาะหมิงอวิน ภายในดวงตาล้ำลึกคู่นั้นเต็มไปด้วยความผิดหวังและเจ็บปวด หลี่จิ้งเสียนรู้สึกเสมือนตนเองกำลังถูกมีดกรีดลงบนผิวหนัง ความเลวร้ายปะทุออกมาเบื้องหน้าของทุกคน ไม่อาจเสแสร้งได้อีกต่อไป ยามนี้หลงเหลือเพียงความละอายแก่ใจและอับอายเท่านั้น ริมฝีปากของเขาสั่นระริก ทว่าเขายังคงพยายามจะกู้สถานการณ์เบื้องหน้า “พวกเจ้า…พวกเจ้าอย่าไปฟังนังสารเลวผู้นี้พูดเพ้อเจ้อ นางบ้าไปแล้ว ที่พูดออกมาทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องบ้าบอทั้งสิ้น นางกำลังยุแยงตะแคงรั่ว…”
ไม่มีผู้ใดส่งเสียงใดๆ ออกมา สิ่งที่ตอบกลับเขามีเพียงดวงตาอันเต็มไปด้วยความเจ็บปวดอย่างสาหัสเท่านั้น ตามมาด้วยเสียงตะโกนทั้งน้ำตาด้วยความเศร้าโศกของหมิงจู “ท่านพ่อ…เหตุใดท่านต้องทำกับท่านแม่ถึงเพียงนี้ด้วย”
แม่จู้แอบถอนหายใจโดยไร้เสียง…ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง แท้จริงแล้วหลายปีมานี้ ความเอ็นดูที่นายหญิงชรามีให้ต่อนางฮานล้วนเปล่าประโยชน์ แท้จริงแล้วนางเยี่ยที่ถูกนายหญิงเกลียดชังมาโดยตลอดเป็นผู้ที่ได้รับความโชคร้ายมากที่สุด แล้วใครจะทนต่อความรู้สึกนี้ได้ล่ะ แม่จู้มองไปยังปฏิกิริยาโต้ตอบของนายหญิงชราด้วยความกังวล เห็นเพียงนายหญิงชรากำลังมองตรงไปลูกเดียว ริมฝีปากซีดเซียว เรือนร่างสั่นสะท้าน คงเป็นเพราะโกรธจนพูดไม่ออกไปเสียแล้ว
“ใช่ ข้ายุแยงตะแคงรั่วเพื่อจะได้ให้ทุกคนเห็นธาตุแท้ของเจ้าอย่างไรล่ะ จะได้เห็นว่าหลี่จิ้งเสียนอย่างเจ้ามีดีแค่ภาพลักษณ์ภายนอก ทว่าจิตใจไร้ยางอายและต่ำช้าเพียงใด” นางฮานด่าทอด้วยเสียงดังลั่น ดวงตาข้างหนึ่งของนางปูดบวมจนลืมไม่ขึ้น ทว่าภายใต้ช่องเล็กๆ ระหว่างเปลือกตาบนและล่างกลับยังคงเผยความเกลียดชังอันแรงกล้าออกมาให้เห็น นั่นทำให้หลี่จิ้งเสียนตื่นตกใจขึ้นมาชั่ววูบ หากคนคนหนึ่งบ้าขึ้นมาถึงขีดสุดจนไม่สนใจใดๆ อีก มันน่ากลัวถึงเพียงนี้นี่เอง
“หมิงอวิน เจ้าดูไว้ให้ชัดเจน นี่ก็คือบิดาที่เจ้าให้ความเคารพมาโดยตลอด แม่ของเจ้าก็ถูกเขาทำให้โกรธจนตายอย่างไรล่ะ ข้าเพียงแค่เสนอแนะให้ขายทรัพย์สินที่แม่เจ้าทิ้งไว้ให้ แล้วสร้างขึ้นมาใหม่ในนามของตระกูลหลี่ เขาก็คล้อยตามและแทบอดใจรอมิไหวด้วยซ้ำ…” นางฮานแสยะยิ้ม “เจ้าดูสิ เขาไร้ยางอายถึงเพียงนี้ อาศัยตระกูลเยี่ยจนได้เป็นขุนนางและร่ำรวยขึ้นมาแต่กลับไม่คิดจะยอมรับความจริง”
เนิ่นนานพอตัว หญิงชราถึงดึงเสียงของตนเองกลับคืนมาอีกครั้ง นางกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาอย่างยิ่ง “นางฮาน เจ้าพูดพอแล้วหรือยัง”
นางฮานแสยะยิ้มขณะจ้องมอง กล่าวด้วยกลิ่นอายแปลกประหลาด “เหล่าไท่ไท ท่านร้อนรนใจขึ้นมากับเขาแล้วหรือ เห็นภาพลักษณ์แท้จริงของบุตรชายตนเองเผยออกมา ท่านคงร้อนรนใจแล้วสินะเจ้าคะ อย่าร้อนรนไปเลย…ท่านเองก็เจ้าเล่ห์เจ้ากลไม่ต่างกันมิใช่หรือ ทำมาเป็นพูดว่าเห็นใจข้า แต่พอได้ยินว่ากิจการข้าล้มไม่เป็นท่า ท่านก็หมดความเห็นใจเสียแล้ว ท่านคงเจ็บปวดใจจนแทบอดรนทนไม่ไหวให้บุตรชายของท่านเลิกรากับเมียที่ทำบ้านนี้ย่อยยับเสียเดียวนี้เลย น่าขันเสียจริง นี่หรือที่เรียกว่าความเห็นใจของท่าน ท่านมิได้จงเกลียดนางเยี่ยมาตลอดหรอกหรือ ดูหมิ่นเงินของตระกูลเยี่ยนักมิใช่หรือ ข้าก็ช่วยทำมันพังแล้วนี่อย่างไร มิได้สมใจปรารถนาท่านหรอกหรือ ห๊ะ? อะไรที่เรียกว่าผู้นำไม่ดี ผู้ตามก็คงจะดีไปมิได้น่ะหรือ ก็ท่านกับลูกชายของท่านนี่อย่างไร ตัวอย่างของคำกล่าวที่ว่านั่น…”
หญิงชรารู้สึกเพียงเลือดลมพลุ่งพล่าน อวัยวะภายในทั้งหมดบิดเบี้ยวรวมกันเป็นก้อนเดียวกัน บิดจนรู้สึกถึงความเจ็บปวด นางยอมรับว่าตนเองทำกับนางฮานไว้ไม่น้อย ในท้ายที่สุดจึงกลายนางฮานมาพูดจาอย่างไม่ไว้หน้าเช่นนี้ นางเป็นม่ายตั้งแต่ยังสาว ลำบากตรากตรำอย่างยิ่งกว่าจะเลี้ยงบุตรชายทั้งสามเติบใหญ่ขึ้นมาได้ บุตรชายคนโตไม่มีความสนใจในด้านการร่ำเรียนหนังสือ จึงไปทำไร่ทำสวนอย่างขยันขันแข็งเพื่อหาเงินมาจุนเจือครอบครัว บุตรชายคนที่สามร่างกายอ่อนแอตั้งแต่เล็ก มีเพียงจิ้งเสียนบุตรชายคนที่สองที่ฉลาดหลักแหลมเกินคนอื่นๆ จึงประสบความสำเร็จในการร่ำเรียน นางพร่ำสอนบุตรชายอยู่ตลอดว่า ก่อนจะสร้างตัวได้ต้องมีคุณธรรมให้ได้เสียก่อน คาดไม่ถึงว่าจิ้งเสียนกับนางฮานจะร่วมมือกันโกหกนาง ทำให้นางมองนางเยี่ยเป็นตัวร้าย ทำให้นางกลายเป็นคนไร้ความยุติธรรม…นางภาคภูมิใจในความซื่อตรงของตนเองมาโดยตลอด ทว่าเมื่อเผชิญความจริงอันโหดร้าย ทั้งหมดกลายเป็นเรื่องชวนขำขันอย่างสิ้นเชิง ช่างน่าตลกเสียจริง…ที่แท้ในสายตาของทุกคน นางเป็นแค่หญิงชราโง่เขลาผู้หนึ่ง เป็นคนที่ไร้ยางอายและเลวทรามผู้หนึ่ง
หลินหลันอยากปรบมือดังๆ ให้แม่มดชราเสียจริง ด่าได้สะใจยิ่งนัก ด่าจนพ่อผู้ไร้ยางอายหัวหด ด่าจนหญิงชราแทบกระอักเลือด ศึกคนชั่วกัดกันเองครานี้ช่างดุเด็ดเผ็ดมันโดยแท้
ติงหลั้วเหยียนรู้สึกเกินกว่าคำว่าตื่นตกใจต่อข้อมูลที่เปิดเผยออกมาเรื่อยๆ นี้ แม้ว่าตระกูลไหนๆ ก็คงต้องมีเรื่องเลวทรามกันบ้างทั้งนั้น โดยเฉพาะครอบครัวใหญ่โตมีเกียรติสูงศักดิ์เหล่านั้น ทว่าเรื่องที่ทำให้คนตื่นตกใจได้มากปานนี้ เป็นอะไรที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนจริงๆ นางมองหลี่หมิงอวินด้วยความเห็นใจ บุรุษที่สง่างามอ่อนโยนและมีน้ำใจกว้างขวางมาโดยตลอด เวลานี้เขากำลังเม้มริมฝีปากแน่น สีหน้าเย็นชาประดุจน้ำแข็ง ดวงตาเคลือบไว้ด้วยความเยือกเย็น สีหน้าอารมณ์ของเขานั้นมันเยียบเย็นอย่างเห็นได้ชัด ทว่านางรู้ดีว่าภายในจิตใจเขากำลังเป็นเสมือนไฟที่ลุกโชนอย่างรุนแรง เขาในเวลานี้ก็คือภูเขาไฟที่กำลังรอเวลาปะทุ ซึ่งไม่รู้เช่นกันว่ามันจะระเบิดขึ้นมาเมื่อใด
เมื่อมองไปที่หมิงเจ๋อ มองดูท่าทีอันเจ็บปวดทุกข์ระทมของเขานั้น ติงหลั้วเหยียนแอบรู้สึกปวดใจเล็กๆ ไม่ง่ายเลยกว่าหมิงเจ๋อจะรวบรวมความมั่นใจและความฮึกเหิมขึ้นมาอีกครั้ง จะเรียกว่าเขาสลัดคราบเก่ากลายเป็นคนใหม่ก็ว่าได้ ทว่าวันนี้ดันเผชิญเรื่องย่ำแย่อันหนักหนาเช่นนี้โจมตีอีกครั้ง…ติงหลั้วเหยียนไม่กล้าคิดต่อไปเลยจริงๆ
หลี่จิ้งเสียนไม่อาจทนฟังได้อีกต่อไป ในเมื่อมันพังพินาศถึงขั้นนี้แล้ว เขาจึงไม่จำเป็นต้องสนใจรักษาภาพลักษณ์อันใดอีกต่อไป เขาสาวเท้ายาวมุ่งไปเบื้องหน้า กระชากหมิงจูกับนางฮานที่ปกป้องกันอยู่ออกจากกัน ตามด้วยใช้เท้าหนึ่งข้างเตะแม่เจียงออกไปแล้วคว้าคอเสื้อนางฮานกระชากนางลุกขึ้นมา ออกแรงเขย่านางภายใต้สีหน้าดุดัน เขาโพนทะนาการกระทำอันต่ำทรามของนางฮานด้วยความเคียดแค้น “ใช่ พวกเรามันไร้ยางอายกันทั้งนั้น มีแต่เจ้าที่เป็นผู้บริสุทธิ์ มีแต่เจ้าที่ใสสะอาด ตอนแรกเป็นผู้ใดที่พูดว่า หากทำให้นางเยี่ยตกมาอยู่ในกำมือได้ก็จะได้ร่ำรวยกันแล้ว ผู้ใดกันที่พูดว่าขอเพียงมีเงินทอง ได้ใช้ชีวิตสุขสบาย ต้องน้อยเนื้อต่ำใจสักหน่อยจะเป็นไรไป ข้าเคยบีบบังคับเจ้าหรือ หลายปีมานี้ ข้าเคยทำให้เจ้าขาดทุนหรือ เจ้าและนางเยี่ยคลอดลูกวันเดียวกัน ข้าก็ไปอยู่เป็นเพื่อนเจ้า ขณะที่นางเยี่ยเพราะคลอดลำบากจึงเกือบเอาชีวิตไม่รอด ข้ารับปากเจ้าว่าจะให้เจ้ากลับเข้ามาในบ้านของตระกูลหลี่อีกครั้ง ไม่ง่ายเลยกว่าจะเกลี้ยกล่อมนางเยี่ยให้ใจอ่อนได้ เจ้ากลับเสือกไปพูดจาชักแม่น้ำทั้งห้า ทำให้นางเยี่ยโกรธเคืองจนหนีออกจากบ้านไป ตั้งแต่นั้นมาข้าก็ไม่ต่างจากตายทั้งเป็น…ทว่าเจ้า ในที่สุดก็ได้เป็นฮูหยินของราชเลขาสมใจปรารถนา หากจะต้องเอ่ยขอโทษใครสักคน นางเยี่ยจะเป็นคนเดียวที่ข้าหลี่จิ้งเสียนผู้นี้เอ่ยปากขอโทษ หาใช่เจ้าไม่…ทั้งๆ ที่ข้ารู้ว่าเจ้าแอบทำร้ายหมิงอวิน ทำร้ายหลิวอี๋เหนียง แต่กลับเห็นแก่สัมพันธ์ที่แต่งงานอยู่กินกันมา อดทนต่อเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า ข้าหลี่จิ้งเสียนให้ความเมตตาและรักษาสัจจะต่อเจ้าอย่างสุดความสามารถแล้ว เป็นเจ้าเองที่ไม่รู้จักพอ ล้ำเส้นข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งหมดเป็นความผิดของตัวเจ้าเอง แล้วยังมีหน้ามาโทษผู้อื่นอีกหรือ”
ในที่สุดหลินหลันก็ได้พบเห็นคำที่ว่า ไม่มีคำว่าไร้ยางอายที่สุด มีแต่ไร้ยางอายยิ่งกว่า คำโพนทะนาของพ่อผู้ไร้ยางอายเรียกได้ว่าเป็นการบอกเล่าความเจ็บปวดที่เผชิญมาทั้งหมด พูดความไร้ยางอายของตนเองตรงไปตรงมาได้อย่างไม่สะทกสะท้านเช่นนี้ ทำให้ความไร้ยางอายเป็นความรักอันลึกซึ้ง ทำให้ความไร้ยางอายเป็นการรักษาสัจจะ ทำให้ความไร้ยางอายเป็นความเมตตา เขานี่มันคงเป็นจอหงวนที่ไร้ยางอายและเลวทรามมากที่สุด
นางฮานถูกเขาเขย่าประหนึ่งใบไม้ร่วงหล่นท่ามกลางสายลมฤดูใบไม้ร่วง นางเผยรอยยิ้มเย็นชาพร้อมแววตาเหยียดหยาม เอ่ยปากขึ้นอย่างยากลำบาก “หลี่จิ้งเสียน ข้าไม่มีหน้ากล่าวโทษเจ้า แล้วเจ้ามีหน้ามากล่าวโทษข้าเช่นนั้นหรือ หากไม่มีหน้ามันก็ไม่มีหน้ากันทั้งหมดนี่แหละ นอกเสียจากเจ้าจะฆ่าข้าไปเสีย? ถึงอย่างไรข้าก็เบื่อจะมีชีวิตอยู่ต่อแล้วเช่นกัน…”
หมิงเจ๋อมองดูบิดามารดากล่าวโทษกันไปมาด้วยความทุกข์ระทม เขาทำอะไรไม่ได้ แก้ไขสถานการณ์ในตอนนี้ไม่ได้ หากทำได้ เขาอยากจะทะยานออกไปเสียตอนนี้ ออกไปจากบ้านหลังนี้เสียและไม่กลับมาอีก ทว่า เข้าทำใจไม่ได้ ก้าวหลีกหนีไปไม่ได้ ทำไมกัน ในตอนที่เขากำลังรู้สึกว่าทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีงาม ในตอนที่ชีวิตของเขายังถือว่าเต็มไปด้วยความหวัง พวกเขา บิดามารดาที่เขาเคารพรักมากที่สุดถึงใช้วิธีการอันเยือกเย็นและโหดร้ายเช่นนี้ ทำลายความหวังของเขาทั้งเป็น ทำให้เขาตกสู่ขุมนรก ทำไมกัน หมิงเจ๋อพร่ำถามตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่กลับไม่ได้คำตอบใดๆ
“เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าฆ่าเจ้าหรือ เจ้านังสารเลวนี่ วันนี้ข้าได้เข้าใจเสียทีว่าเจ้ามันเป็นคนสารเลว…” หลี่จิ้งเสียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคียดแค้น มือข้างหนึ่งบีบคอนางฮาน นัยน์ตาราวกับโลหิตจะปะทุออกมา เขาไม่เคยเสียใจภายหลังได้มากเท่านี้มาก่อน หากเขาทำจิตใจให้โหดเหี้ยมได้เร็วกว่านี้หน่อย เข้าใจนังสารเลวผู้นี้ได้เร็วหน่อย ตนเองก็คงไม่ตกมาอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้
“ฮูหยิน…”
“ท่านแม่…”
แม่เจียงและหมิงจูรวมถึงหมิงเจ๋อรีบพุ่งตัวเข้าไป พยายามช่วยชีวิตนางฮานออกจากมือหลี่จิ้งเสียน
คนสามสี่คนมะรุมมะตุ้มกันยกใหญ่ ทำให้สถานการณ์เบื้องหน้าอลหม่านหนักขึ้นไปกว่าเดิม
ติงหลั้วเหยียนไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรดี นางหันไปขอความช่วยเหลือจากหลินหลันและหมิงอวิน ทว่าพวกเขาสองคนเอาแต่ยืนมองดูเงียบๆ ติงหลั้วเหยียนจึงไม่อาจเอ่ยปากขึ้นได้ ตามจริง เรื่องราวทั้งหมดแม่ลูกหมิงอวินเป็นผู้ที่ได้รับความทุกข์มากที่สุด นางเยี่ยลาจากโลกนี้ไปแล้ว ความแค้นทั้งหมดจึงถูกฝังลงไปดินกับนาง ทว่าหมิงอวินยังคงต้องแบกรับทั้งหมดนี้ไว้…
“เหล่าไท่ไท…” ทางด้านแม่จู้ส่งเสียงร้องเรียกด้วยความตื่นตกใจ
ทุกคนจึงพร้อมใจกันหยุดฉุดกระชากลากถูแล้วหันไปมองตามเสียง เห็นเพียงหญิงชรากระอักโลหิตสีแดงสดออกมาแล้วหมดสติล้มพับไป
หลี่ติ้งเสียนตระหนกตกใจสุดขีด เลิกสนใจคิดบัญชีกับนางฮาน เข้ากระโจนไปอยู่ข้างกายผู้เป็นมารดาอย่างรวดเร็ว และตะโกนเรียกเสียงดังลั่นด้วยความร้อนรนใจ “ท่านแม่…ท่านแม่…”
แม่จู้เขย่าเรือนร่างของนายหญิงชรา “เหล่าไท่ไท…ฟื้นสิเจ้าคะ…”
ทว่าหญิงชรากลับมีสีหน้าซีดเผือด กัดฟันแน่น ปากบิดเบี้ยว ไม่รู้สึกตัวเสียแล้ว
หลินหลันและหลี่หมิงอวินสบตาแลกเปลี่ยนกันชั่วครู่ก่อนก้าวขึ้นไปเบื้องหน้าและกล่าว “รีบยกคนขึ้นไปบนเตียงและให้นางนอนราบเจ้าค่ะ”
หลี่จิ้งเสียนรีบอุ้มหญิงชราขึ้นไปไว้บนเตียงนอน
จากการคาดเดาของหลินหลัน หญิงชราคงมีอาการหลอดเลือดอุดตันเฉียบพลันซึ่งมีสาเหตุมาจากความโกรธเกรี้ยวอย่างรุนแรง ไม่รู้ว่าจะช่วยชีวิตได้หรือไม่ และต่อให้ช่วยชีวิตจนได้สติขึ้นมา เกรงว่าก็คงต้องเป็นอัมพาตไปเสียแล้ว
“หลินหลัน เจ้าช่วยตรวจดูท่านย่าเร็วเข้า” หลี่จิ้งเสียนรีบร้อนดึงหลินหลันเข้ามาเบื้องหน้าหญิงชรา
หลินหลันกล่าวด้วยท่าทีสงบนิ่ง “แม่จู้ รบกวนท่านรีบไปบอกคนที่เรือนหลั้วเซี๋ยจายให้นำกล่องยามาส่งให้ข้าที”
แม่จู้ขานรับแล้วลุกลี้ลุกลนออกไปทันที
หลินหลันนั่งลงบนเตียง เปิดเปลือกตาของหญิงชราขึ้น เห็นเพียงดวงตาสองข้างเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยสีแดง ต่อจากนั้นจึงตรวจวัดชีพจรนาง ซึ่งปรากฏว่าชีพจรอ่อนอย่างยิ่ง บ่งบอกถึงสถานการณ์ที่ไม่สู้ดีนัก
“เป็นอย่างไรบ้าง เหล่าไท่ไทเป็นอย่างไรบ้างหรือ” น้ำเสียงอันเต็มไปด้วยความกังวลของหลี่จิ้งเสียนสั่นเครือ
หลินหลันไม่แม้แต่จะมองไปที่พ่อผู้ไร้ยางอาย นางทำเพียงกล่าวออกไปด้วยเสียงเย็นชา “ทุกคนออกไปให้หมดเถอะ เรียกข้ารับใช้สักสองสามคนเข้ามาคอยช่วยเหลือก็พอ”