< < 186 Sec2 > >
ตอนนี้พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน แต่โชคดีที่มาถึงก่อน
มาถึงที่ไหน? ก็มาถึงเมืองชันไมไง พวกผมมาถึงเมือนชันไมแล้ว ด้วยความช่วยเหลือจากหลายๆคนทำให้ใช้เวลาเดินทางเพียงวันเดียวเท่านั้น ผิดกับขามา แม้แต่ฟัฟนิร์ยังแปลกใจเลย เพราะปกติเธอจะต้องเจออุปสรรคจนเดินทางช้ากว่ากำหนดการณ์ราวๆเท่าตัวได้ ทำเอาอยากจะสวนไปเลยว่าก็ดูหล่อนใช้ชีวิตสิ แต่ก็เอาเถอะ ผมเลือกจะไม่พูดออกไป และทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด
พอมาถึงเมืองชันไมแล้วพวกเราก็รีบไปที่โบสถ์เพื่อทักทายคนอื่นๆ และฝากให้วิน น้องสาวของวิน และโทมิเรียอาศัยอยู่ชั่วคราว ก่อนที่จะสร้างโบสถ์ใหม่ให้ และพาเด็กกำพร้าจากอาณาจักรเนลยอนมาอัศอยู่ที่นี่ ทุกอย่างก็ตกลงได้ด้วยดี ทว่ามีบางอย่างแปลกไป
‘ลีน่า’ ภรรยาของผมในนิยายต้นฉบับ ปัจจุบันเป็นเด็กสิบสองขวบ ว่ากันตามตรง รู้สึกกับเธอแค่น้องสาวนั่นแหละ แต่จู่ๆหล่อนก็ทำท่าทีเหมือนจะกลัวๆผมอย่างไรไม่รู้สิ
ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่า แต่ไม่ชอบใจเลยแฮะ
“เป็นอะไรไปนะ ลีน่า”
“เริ่มโตเป็นสาวแล้วน่ะครับ เลยมีหลายๆอย่างเปลี่ยนแปลง”
บาทหลวงให้คำตอบที่ดูสมเหตุสมผลดี
“นั่นสินะครับ วัยกำลังโตนี่นะ ..”
“ว่าแต่ท่านเรเซอร์ พวกเธอคือ?”
หลักๆที่ถามน่าจะเป็นวินกับโทมิเรียนั่นแหละ
“อธิบายยากแฮะ”
“เมียเก็บจ้า!”
“ไม่ใช่โว้ย!!”
ผมรีบแย้งวินอย่างรวดเร็ว และฉับพลัน บาทหลวงเมื่อได้ยินก็เกิดอาการตัวสั่นโดยไม่ทราบสาเหตุ
“ทะ ท่านเรเซอร์ทำตัวสมเป็นขุนนางแล้ว!”
“ท่านเรเซอร์ที่ดูสุภาพบุรุษจนเกินไปคนนั้น!”
ทั้งบาทหลวง และซิสเตอร์ดูตกใจกันยกใหญ่ ไม่ทราบว่าจะดีใจหรือเสียใจกันแน่ แต่ที่แน่ๆไม่ดีต่อหัวใจผมเลยวุ้ย
“จะว่าไปท่านชินเป็นผู้หญิงนี่เองสินะคะ”
“ไม่ตั้งใจจะปิดบังอะไรหรอกนะขอรับ แต่เป็นกฏของอัศวินเวทมนตร์น่ะครับ”
“เอ๊ะ แล้วตอนนี้?”
“ผมออกจากการเป็นอัศวินเวทมนตร์แล้วขอรับ ตอนนี้ทำงานให้ท่านเรเซอร์โดยตรงเลยไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไร”
ถึงจะไม่ชินจนอยากหาผ้ามากดหน้าอกตัวเองอยู่ก็ตาม เห็นว่ามันจะเคลื่อนไหวไม่สะดวกตอนที่ต้องสู้แหน่ะ
“อัศวินมือขวาของขุนนางระดับดยุคเลยหรือครับ ท่านชินเติบโตในหน้าที่การงานสุดๆเลยนะครับเนี่ย วันนี้พวกเราให้ลีน่าไปซื้อวัตถุดิบหลายๆอย่างมาเลยละครับ มากินเลี้ยงฉลองกันเถอะครับ!!”
คุณบาทหลวงที่ไม่ได้เจอกันแค่แปปเดียวดูร่าเริงสุดๆ รวมถึงเด็กๆและซิสเตอร์ด้วยละนะ เห็นแล้วก็รู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก คุ้มกันที่หาเงินมาสนับสนุนที่นี่ตลอดหลายปีมานี้
เด็กๆที่คุ้นหน้าคุ้นตาเดินมาล้อมผมบ้าง ล้อมเคียวยะที่คุ้นเคยกันในช่วงที่พวกเราอาศัยอยู่ป่ามหาภูต เด็กหลายคนเข้าไปชวนเมอันคุยเนื่องจากขนาดตัวพอๆกัน (ฮา) อานิม่าวางตัวอย่างดีเยี่ยม ช่วยคนในโบสถ์แบกข้าวของ แปปๆก็กลมกลืนไปกับทุกคน วินเองก็เหมือนกับอานิม่า ส่วนโทมิเรียอาจเกร็งๆบ้างแต่ก็พยายามผูกมิตรด้วย แต่หลายๆคนวางตัวกับเธอไม่ถูกเท่าไหร่ เพราะเธอดูสูงส่งพิลึก?
เห็นว่าวันนี้จะจัดปาร์ตี้มันฝรั่งอีกแล้ว แต่เป็นในเวอร์ชั่นที่หรูกว่าเก่าก็น่าคาดหวังอยู่ ผมและคนอื่นๆเลยช่วยกันจัดเตรียมอาหาร ทว่ามีสิ่งหนึ่งแปลกไป
ลีน่าไม่อยู่ ปกติเธอจะทำงานอย่างขยันขันแข็งแท้ๆ ยากจะได้เห็นเธอโดดงานเช่นนี้ ..
“ท่านเรเซอร์ ท่านฟัฟนิร์ยังไม่กลับมาเลยครับ เกรงว่าจะโดนเหล่าภูตแถวๆป่ามหาภูตลักพาตัวไปอีกแล้วก็เป็นได้”
“ไม่หรอกๆ ฉันคุยเรื่องฟัฟนิร์กับเซเนียแล้วไม่น่ามีปัญหาอะไร คงจะลำลึกอะไรสักอย่างจนเพลินเฉยๆนั่นแหละ ไม่ก็หลงทาง หรือโดนพวกคนแปลกๆไล่ตามเอา ไม่ก็ อาจจะโดนพวกมังกรมีนามที่ผ่านมาแถวนี้ไล่เตะตูด”
“ดูเป็นไปได้หลายกรณีเลยนะขอรับ เช่นนั้นให้ผม ..”
“เดี่ยวฉันไปเองดีกว่า พอดีว่าฉันกับยูนามีธุระที่ป่ามหาภูต แล้วก็มีที่ที่อยากแวะที่หนึ่งน่ะ”
ชินครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะนึกเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้
“เข้าใจแล้วครับ เช่นนั้นผมจะคอยดูแลทุกคนที่นี่”
“ฝากด้วยนะ”
ผมโบกมือให้ชินอย่างเป็นกันเอง และเดินออกจากโบสถ์ตรงไปที่ป่ามหาภูตทันที
****
ผมเดินไปตามทางตั้งแต่โบสถ์ไปถึงหน้าป่ามหาภูต ภายนอกมันอาจดูเป็นป่าขนาดยักษ์ที่จืดๆไม่มีอะไร แต่วงในต่างรู้กันดีว่ามันคือประตูเชื่อมไปสู่โลกแห่งปวงภูต ซึ่งต้องอาศัยพลังอำนาจ เงื่อนไขบางอย่างในการเข้าไปภายใน หรือไม่ก็ต้องเป็นผู้ที่ได้รับคำเชิญจากปวงภูต
ไม่รู้ด้วยความบังเอิญหรืออะไร เคียวยะก็โผล่มาหน้าป่ามหาภูตพร้อมกับผมโดยมิได้นัดหมาย
เจ้าหมอนี่พอคนอื่นเริ่มเตรียมของกันก็ผละตัวออกมาข้างนอกก่อนใครเลย เรียกได้ว่าโดดงานได้ชั่วมาก
“HOPE เป็นไงบ้างล่ะตอนนี้”
“ก็ซ่อมแซมชุดเกราะเรียบร้อย”
สุดยอดเลยแฮะ ไอ้ก้อนผนึกปริศนาที่ชื่อว่า HOPE นั่น เล่นฟื้นฟูชุดเกราะด้วยตัวเองภายในหนึ่งวันได้เนี่ย
“ถ้าเป็นนายตอนนี้อาจจะชนะฉันก็ได้นะ”
“แปลว่ามองฉันเป็นคู่แข่งแล้ว?”
“ก็ไม่นะ”
แนะนำอย่าเป็นคู่แข่งผมเลยดีกว่า ไม่ใช่ว่าสู้ไปก็ไม่ชนะหรืออะไรหรอก ผมไม่ได้มั่นหน้าขนาดมั่นใจว่าจะเหนือกว่าเคียวยะได้ไปตลอดรอดฝั่ง ก็แค่คนที่ผมนับเป็นคู่แข่งจะมีชะตากรรมต้องโดยผมถุยน้ำลายใส่ตอนแพ้นี่นะ เกิดผมทำอย่างนั้นใส่เคียวยะเข้า เจ้าตัวได้ปรี๊ดแตกจะฆ่าผมให้ได้ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีอะไรแหงๆ
เคียวยะเขม็งใส่ผม
“มาดวลทดสอบฝีมือกันหน่อยเป็นไง ไอ้อวดดี”
“น่าลองอยู่นะ อยากรู้เหมือนกันว่า KY HOPE ที่โค่นเมอันได้มันจะสุดยอดขนาดไหนกันเชียว”
“KY HOPE ไร้ก้นบึ้ง แค่เมอันใช้ยกเครดิตฉันคนนี้ไม่พอหรอก แต่ถ้าใช้นายเป็นแท่นก็น่าจะพอสร้างเครดิตที่ดีพอจะโอ้อวดได้”
โม้เหม็นชะมัดไอ้หมอนี่
แน่นอนผมไม่ได้รังเกียจที่จะต้องสู้กัน กลับกันเลย อยากจะลองของอยู่หน่อยๆ ..ผมกับเคียวยะจ้องหน้ากัน ทำท่าจะใส่กัน เพียงแค่มีใครสักคนเปิดก่อน การต่อสู้ของพวกเราได้เริ่มขึ้นแน่นอน ในเวลานี้ ผมกับเคียวยะคงจะต่างกันไม่มาก เคียวยะพร้อมกับภูต และ KY HOPE แข็งแกร่งพอจะเล่นงานให้เมอันหมดสภาพการต่อสู้ได้ ยังไม่รวมดวงตามหาปราชญ์ที่สามารถพัฒนาเป็น ‘ดวงตาเทพเจ้า’ ได้อีก
บางที เคียวยะในฉบับที่ต่างกับนิยายต้นฉบับ มีความเป็นไปได้ที่จะไปได้ไกลกว่านิยายต้นฉบับซะอีก
เพราะอย่างนั้นถึงน่าสนุกแหละมั้ง?
“ก่อนหน้านี้ยังเป็นแค่กระสอบทรายแท้ๆเองนะ เคียวยะ ได้ของใหม่มาแล้วห้าวเลยสินะ”
ผมพูดโดยลืมเรลันดาฟบนไหล่ เล่นแซะเคียวยะซะขนาดนั้นย่อมทำให้เจ้าตัวหัวร้อนอยู่แล้ว
“จะทำให้หุบปากเอง”
“ก็ลองดู”
แต่ถึงจะสู้กัน แต่คงไม่เอากันถึงตายหรอกมั้ง? ใช่รึเปล่านะ? ..ไม่เป็นไร ผมมีวิหคอมตะอยู่ เคียวยะมี HOPE ที่พลิกแผลงการใช้งานได้หลากหลาย ในจังหวะสุดท้ายก่อนที่ใครจะตาย แค่รักษาตัวเองให้ทันก็พอ แต่ถ้าพลาดอ่อนแอจนตายเร็วเกินแล้วช่วยไม่ทันก็ทำอะไรไม่ได้นะ ง่ายๆเลย
‘เพื่อนกันจริงรึเปล่าคะ?’
เสียงที่ไม่ได้ยินมานานแสนนานของยูนาดังขึ้นข้างหู แอบดีใจหน่อยๆแฮะ
“โคริน—”
“เข้าอู่ซ่อมอีกสักวันจะเป็นอะไรไป จริงมั้ยเคียวยะ!!”
“เหอะ!! ทำเป็นพูด!”
บนฟ้าส่องแสงสีม่วงขึ้นมา KY HOPE เปล่งประกาย จากโดรนที่ถูกควบคุมโดยโคริน และกำลังจะหลอมร่างของเคียวยะเข้ากับเกราะมนตราสุดทรงพลัง เช่นเดียวกัน ผมปลดผ้าบนคทาเวทย์เรลันดาฟ พร้อมกับรวบรวมมานาจำนวนมหาศาลจนอาการเกิดการสั่นสะเทือน
“ “มาเจอกันสักตั้ง!!!!” ”
เอาเป็นว่า-ลองดูหน่อยก็ไม่เสียหา—-
‘เดี่ยวเถอะๆๆ!!!!!’
เสียงร้องตะโกนสุดชีวิตดังขึ้นภายในป่ามหาภูต ผมกับเคียวยะหยุดมือกระทันหัน ผ้าลอยเข้ามาพันเรลันดาฟของผม แสงจาก KY HOPE ค่อยๆดับลงตามเจตนาของผู้ใช้ พวกเราสองคนหันไปทางเสียงๆนั้น
พริบตาเดียว
พวกเราโดนลากมาที่โลกของปวงภูต หรือ ป่ามหาภูตนั่นเอง
ทิวทัศน์ไม่ต่างกับครั้งที่เคยมาสักเท่าไหร่ มันคือโลกที่เต็มไปด้วยป่าที่มีสีสันต์สวยงามอย่างกับอยู่ในนิทาน สมชื่อ ป่ามหาภูต น่ะนะ
“น่าเสียดายเนอะ”
“ไว้ครั้งหน้า”
ตามนั้น
ไม่นาน ตรงหน้าก็มีคนๆหนึ่งปรากฏขึ้น คนๆนั้นคือ ‘มหาภูต’ ‘เซเนีย’ ผู้ปกครองป่ามหาภูต หัวหน้าใหญ่ของภูตบนโลกใบนี้ เธอโผล่ร่างมาด้วยใบหน้าที่ดูอารมณ์ไม่ดีมาจากเหตุใดก็ไม่ทราบ
เซเนียกอดอก มองพวกผมจากที่สูง
“โทษทีนะ แต่อย่ามาสู้กันหน้าบ้านเราได้เปล่า? เกิดป่าระเบิดขึ้นมาทำยังไง”
“ไม่เป็นไรหรอก เซเนีย แค่สามวิหมอนี่ก็เละแล้ว”
ผมหัวเราะร่าแบบไม่คิดอะไร เคียวยะหัวร้อนขึ้นทันตา
“นี่แก!! อย่ามาอวดดีให้มันมาก!”
ไม่ใช่แค่เซเนียที่โผล่มา ภูตหลายตน รวมถึงร่างเนื้อโฮโลแกรมของยูนาก็ปรากฏข้างๆผม โครินของเคียวยะเองก็ด้วย
“สามวิของพวกนาย ..คือสามวิที่จัดเต็มกะเอาตายไม่ใช่รึไง อีแบบนั้นป่ามหาภูตของเราก็เละไปด้วยสิ เจ้าพวกบ้องตื้น”
“เห็นด้วยค่ะ มาสเตอร์ แล้วก็เคียวยะ พวกคุณไม่ควรสร้างความเดือดร้อนให้เซเนียที่วันๆไม่ทำอะไร ไม่ดูแลอะไรเลย แค่นอนรอเอาของถวายจากช้าวบ้านตาดำๆมากินเล่น พลางชมวิวไม่ได้นะคะ เห็นแบบนี้แต่เธอก็คือมหาภูตที่มีงานล้นมือ แต่ดันไม่ทำ”
“ยะ ยูนา กล่าวหากันชัดๆนะนั่น”
“กล่าวหา?”
อีแบบนี้ไม่ใช่มาช่วยเซเนียห้ามผมกับเคียวยะทะเลาะกันแล้ว ยูนาเล่นเปิดศึกกับเพื่อนตัวเองต่อทันทีเลย สมกับเป็นยูนา เข้าขากับผมได้ดีจริงๆ ต้องแบบนี้สิ ใส่ได้ใส่ น่าชื่นชมจริงๆ
“เกรงว่าถ้าพูดมากกว่านี้จะมีผลต่อหน้าที่การงานของเซเนีย ถึงจะยากที่มีใครมาชิงตำแหน่งเธอได้ เพราะอีภูตสวรรค์สองตนที่เหลือดันไปติดเทมเมอร์ตนหนึ่งเข้า แต่ก็ควรระวังอันตรายไว้เผื่อร้อยหรือสองร้อยปีข้างหน้า ไม่นั้นจะโดนโหวตปลดออกเอา”
“มะ มาคุยกันที่ลับตาคนดีกว่าเนอะ ยะ ยูนา แล้วก็พวกเธอสองคน โครินด้วยนะ”
ผมยิ้มเจื่อนๆพยักหน้าตอบ เคียวยะถอนหายใจ ยูนาหัวเราะขึ้นจมูก ส่วนโครินลอยตัวสั่นไม่หยุด สำหรับเธอการกลั่นแกล้งมหาภูตคือเรื่องที่เลวร้ายที่สุดสำหรับที่นี่กระมัง
****
กระพริบตารอบเดียว พวกเราก็ถูกส่งมาที่มิติของเซเนียซึ่งสร้างด้วยพลัง ‘การสร้างมิติ’ ที่เคยร่วมต่อสู้เป็นดาบให้ยูนาเมื่อสองพันปีก่อน
พวกเรานั่งอยู่ในห้องขนาดเล็กที่มีดีไซน์เหมือนห้องนั่งเล่นญี่ปุ่นโบราณ
ผม ยูนา เคียวยะ และโคริน นั่งอยู่ในฝั่งเดียวกัน ส่วนเซเนียที่เป็นเจ้าบ้านนั่งอยู่อีกฝั่ง โดยที่ทั้งสองฝั่งต่างหันหน้าให้กัน
“ก่อนอื่นนะ เรเซอร์ ช่วยสั่งให้ยูนาหุบปากทีเนอะ อย่างที่ยัยนี่บอกนั่นแหละ มันอันตรายต่อหน้าที่การงานของเรามากจริงๆ ไอ้พวกข่าวลือเสียๆหายๆนั่นน่ะค่ะ”
เหวอ ยึดตำแหน่งมหาภูตเป็นอาชีพซะจริงจังเลยแฮะ ภูตตรงนี้ ดูตกต่ำอย่างไรไม่รู้สิ นี่น่ะเหรอ ภูตสวรรค์ …ไม่สิ
พอนึกๆดู ภูตสวรรค์ของเบ็นจิโร่ก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ ตนหนึ่งติดสิ่งเสพติด อีกตนติดเบ็นจิโร่อาการน่าจะหนัก ส่วนท่านมหาภูตเซเนียผู้นี้ก็เหมือนผู้ใหญ่สายเล่นเส้นในประเทศไทย แหม่ เสียชื่อ สวรรค์ หมดเลยนะนั่น
ไม่มีเลยหรือไงนะ ภูตสวรรค์ที่ดูสง่างามในด้านจิตใจต่างเหมือนดั่งชื่อที่ไพเราะน่ะ
“แล้วก็เรี่องที่สอง อย่ามาทะเลาะกันแถวๆป่ามหาภูตเชียว ถ้าพวกเจ้าเป็นพวกกระจอกๆก็พอปล่อยผ่านไปได้ แต่รู้สถานะตัวเองตอนนี้หน่อยก็ดีว่ามันไม่ใช่แบบนั้นอีกต่อไปแล้ว ..แล้วก็”
เซเนียหันมามองโครินที่ลอยอยู่บนตักของเคียวยะ
“โครินตัวน้อย ..เธอจะเลื่อนขึ้นเป็นภูตผู้ปกปักษ์(ขั้นกลาง)เลยมั้ย?”
โฮ?
“ผะ ผะ ผู้ปกปักษ์!!?”
โครินที่เป็นประกายแสงสีขี้เถ้าส่งเสียงร้องดังลั่น
ภูตมีทั้งหมดสามขั้นได้แก่ ภูตป่า(ขั้นต่ำ) ภูตผู้ปกปักษ์(ขั้นกลาง) สุดท้าย ภูตสวรรค์(ขั้นสูง) แม้จะถูกแยกเพียงสามระดับ แต่ความต่างในแต่ละขั้นก็มีมากมายมหาศาล
ให้สมมุติก็ ภูตป่าอาจจะเป็นเวทมนตร์ขั้นเริ่มต้นถึงกลาง ส่วนขั้นผู้ปกปักษ์คือเวทมนตร์ขั้นสูงถึงบรรลุ ภูตสวรรค์คืออะไรสักอย่างที่มันสุดยอดยิ่งกว่าเวทมนตร์ขั้นบรรลุ ราวๆนี้ ความต่างไม่ใช่ขั้นเดียว แต่เป็นสองขั้นใหญ่ๆ ว่ากันว่า การที่ภูตจะเลื่อนขึ้นตัวเองได้นั้น อาจต้องใช้เวลาเป็นร้อยหรือพันปีทีเดียว
แน่นอนว่ามีกรณียกเว้น ดังเช่น มหาภูตเซเนียตนนี้ ที่ใช้เวลาเพียงยี่สิบปีในการขึ้นเป็นภูตสวรรค์ ..แล้วก็โครินนี่อยู่มากี่ปีแล้วกันนะ
“แต่ว่าท่านเซเนีย ฉันพึ่งถือกำเนิดได้ไม่กี่ปีเองนะคะ!”
“ใครจะรู้เล่า ก็มันเลื่อนขั้นได้แล้วเลยถามก็แค่นั้น ไม่ช้าก็เร็วหล่อนก็เลื่อนขั้นเองตามธรรมชาตินั่นแหละ ทางนี้แค่เห็นว่าลงมือช่วยนิดหน่อยก็เลื่อนได้แล้วเลยถามเฉยๆ ..เอาจริงไม่เอาก็ได้นะคะ ฉันก็ไม่ได้อยากให้มีภูตคนไหนมาทำลายสถิติสุดล้ำค่าของฉันด้วย มันจะเสียเครดิตเอาได้”
พูดแบบนี้ แปลว่าตอนมีอายุขัยเท่าๆกัน โครินเติบโตเร็วกว่าเซเนียอีกรึเนี่ย
โครินหันไปมองเคียวยะ แม้จะไม่มีหน้าแต่ก็สัมผัสได้ว่าอย่างนั้น
“ตอบตกลงซะสิ เธอคงไม่คิดจะหยุดอยู่กับที่ในขณะที่ฉันก้าวไปข้างหน้าหรอกนะ โคริน”
“..ตั้งใจอย่างนั้นอยู่แล้วค่ะ เพื่อเคียวยะแล้ว”
โครินตอบรับคำชวนของเซเนีย เซเนียจึงดีดนิ้ว จากนั้นแสงของเซเนียก็ขยายใหญ่ขึ้น และค่อยๆหลอมรวม ก่อนปรากฏร่างเป็น ..ภูตตัวจิ๋วที่มีรูปร่าง
ขนาดตัวเท่าฝ่ามือของผู้ชาย เธอในร่างภูตผู้ปกปักษ์นั้นมีใบหน้าคล้ายกับเคียวยะในเวอร์ชั่นผู้หญิง แต่ไม่ได้ทำตาขวาง ทำให้รู้ได้เลยว่าถ้าหากเคียวยะทำหน้าตาดีๆก็ดูน่าคบหาอยู่หรอก
นอกจากรูปลักษณ์ที่น่าสงสัยก็คือปริมาณพลังที่สัมผัสได้เลยว่ามากกว่าเดิมนับสิบเท่า สมฐานะภูตผู้ปกปักษ์ที่มีอยู่ไม่มากบนโลกใบนี้ ด้วยการพัฒนาของโครินคงจะช่วยยกระดับเคียวยะขึ้นไปได้อีกขั้นเลยละ
ว่าแต่ ทำไมรูปร่างถึงคล้ายเคียวยะกัน?
“รูปร่างของภูตจะเปลี่ยนไปตามแรงปารถนาของตนเอง หากปารถนาในความงดงามก็จะงดงาม หากปารถนาในความป่าเถื่อนก็จะป่าเถื่อน บ้างก็ปรากฏในรูปของสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่คน บ้างก็เปลี่ยนไปเป็นดาบ แต่ไอ้ที่เปลี่ยนไปมีรูปร่างเหมือนคนใช้งานนี่มันก็พิลึกดี ..หลงใหลในเคียวยะขนาดนั้นเลยสินะ โครินตัวน้อย”
ภูตจิ๋วโครินมีอาการเขอะๆเขินๆ เธอบินไปมา พลางเกาหัวตัวเองไปด้วย
“เอ๊ะ อ๊ะ ..ค่ะ ..ก็เคียวยะเป็นคนเดียวที่ไม่มองว่าฉันเป็นภูตไร้ค่า”
เดิมทีในป่ามหาภูต โครินมักถูกคนอื่นๆมองว่าเป็นภูตไร้ความสามารถ เพราะพลังที่มีดูไร้ประโยชน์ แต่มันกลับใช้ได้ดีเมื่อร่วมมือกับเคียวยะ
“บนโลกนี้ไม่มีอะไรที่มันไร้ค่าหรอก โครินตัวน้อย ถึงจะน่าเสียดายที่สถิติของฉันจะโดนทำลายซะแล้ว แต่ขออย่างเดียว ..ถ้าขึ้นเป็นภูตสวรรค์เมื่อไหร่ อย่ามาแย่งตำแหน่งมหาภูตฉันเชียวละ”
คำพูดที่แฝงด้วยจิตสังหารของเซเนียทำให้ภูตขั้นต่ำกว่าอย่างโครินสะดุ้งแรง พร้อมบินหนีมาหลบหลังของเคียวยะทันที
“ทำได้ดีมาก โคริน”
“ขะ ขอบใจนะ”
เคียวยะเผลอยิ้มออกมา แน่นอนเห็นแค่ครู่เดียวเจ้าตัวก็ทำเก็กเก็บยิ้มแล้ว ผมกับยูนายิ้มกรุ่มกริ่มใส่เจ้าตัว
“จบการตักเตือน แล้วเรื่องของโครินตัวน้อยแล้วก็ ..เรเซอร์กับยูนา พวกเจ้ามีธุระอะไรกับเรากัน?”
“เข้าเรื่องเลยนะ เซเนีย”
ผมโพล่งออกมาตรงๆโดยไม่ปิดบัง
“ฉันอยากจะฝากคนให้เธอช่วยดูแลหน่อย แล้วก็อยากจะถามเรื่องสภาพวิญญาณของยูนา”
….
เซเนียได้ยินอย่างนั้นพักเดียวก็หัวเราะออกมา
“ความแตกแล้วเหรอคะ ยูนา”
“มีอะไรน่าตลกกันคะ?”
“วางมาดซะใหญ่โต สุดท้ายมาความแตกเอาดื้อๆ จะไม่ให้ฉันขำได้อย่างไรคะ? แต่ก็เอาเถอะ ทางนี้ก็พอทราบสถานการณ์ทางฝั่งทวีปเนลยอนระดับหนึ่ง” เซเนียนั่งเท้าคาง และพูด “เรนตายแล้ว ตัวปัญหาอันดับหนึ่งโดนลบไปจากสงครามแล้ว ช่างน่ายินดี แม้จะต้องแลกกับชีวิตของผู้คนมากมายก็ตาม”
เซเนียใช้สายตาที่แหลมคมมองมาที่ผม ความงามนั่นสะกดผมได้ชั่วขณะหนึ่งก่อนผมจะสลัดออกได้ไม่ยาก
“แต่ว่าสงครามก็ยังไม่จบ และที่บอกว่าจะยืมพลังนี่คงไม่ใช่ว่าจะลากพวกเราปวงภูตเข้าสู่สงครามหรอกนะ ถ้าใช่ ก็ขอปฏิเสธ พวกเราเหล่าภูตที่อาศัยอยู่ภายในป่ามหาภูตไม่คิดจะยุ่งเกี่ยวกับสงครามระหว่างมนุษย์”
“ไม่หรอก ฉันแค่อยากฝากให้เธอช่วยดูแลสอดส่องคนของฉัน แล้วก็อยากจะฝากให้เก็บรักษาร่างของคนๆหนึ่งที่อยู่ในสภาวะเจ้าหญิงนิทราน่ะ”
“แล้วทางเราจะได้อะไรเป็นสิ่งตอบแทน?”
ผมตอบกลับอย่างไม่ลังเล
“ถ้าป่ามหาภูตถูกมุ่งร้าย ฉันจะเป็นคนเข้าไปช่วยเอง ฟัฟนิร์ กับชินเองก็จะช่วยด้วยเหมือนกัน อาจจะมีคนอื่นๆอีกก็ไม่ทราบ สัญญาด้วยชีวิตเลยว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรก็จะช่วยให้ได้”
เซเนียดูตกใจหน่อยๆ เธอดูงงกับข้อเสนอของผม
“ไม่ดีไปหน่อยรึ? แค่ให้เก็บรักษาคนๆหนึ่ง กับช่วยดูแลเล็กๆน้อยๆ แค่ให้สิ่งอื่นเป็นสิ่งตอบแทนก็พร้อมจะรับอยู่แล้ว เหตุใดถึงยอมยื่นข้อเสนอที่ไม่เท่าเทียมนั่นให้เรากัน”
“ถ้าสงสัยนั้นเพิ่มอีกข้อก็ได้ อยากให้พิจารณาที่จะเข้าร่วมสงคราม เพราะนี่ไม่ใช่สงครามแค่กับมนุษย์กันเอง แต่เป็นสงครามของจอมมารและทวยเทพ”
“..ว่าไงนะ”
เซเนียเบิกตากว้าง เธอเดินเข้ามาและกระซากคอเสื้อผมหน้าตาเฉย
“หมายความว่ายังไงกัน?”
“ใจเย็นๆก่อนท่านมหาภูต เดี่ยวจะค่อยๆเล่าให้ฟังเอง”
จากนั้นผมก็เล่าสถานการณ์โดยย่อให้เซเนียฟัง จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่ แต่ถ้าทำให้เซเนียฉุกคิดได้บ้างก็คุ้มพอแล้ว