ตอนที่ 344 การประชุมใหญ่ของผู้ทรงอิทธิพล
เช้าวันรุ่งขึ้นเย่เชียนก็ตื่นแต่เช้าและออกไปวิ่งวอร์มร่างกายข้างนอก ซึ่งทุกวันนี้เย่เชียนนั้นก็รู้สึกว่าตัวเองขี้เกียจมากขึ้นกว่าเดิมและถ้าหากยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไปเขาก็เกรงว่าหลังจากผ่านไปหนึ่งปีหรือสองปีเขาอาจจะสูญเสียทักษะทั้งหมดไปก็เป็นได้
แต่สิ่งที่เย่เชียนไม่คาดคิดก็คือหูวเค่อนั้นเธอตื่นก่อนตั้งนานแล้วและเธอก็เปลี่ยนเป็นชุดวอร์มเรียบร้อยแล้วด้วย “ทำไมคุณตื่นเร็วจัง..จะออกไปวิ่งหรอ?” เย่เชียนถามด้วยรอยยิ้ม
“ใช่ค่ะ..เช้าๆ อากาศดีและสดชื่นถ้าเราไปรับลมและแสงแดดในตอนเช้าตรู่แบบนี้มันจะเป็นผลดีต่อร่างกายของเรามาก” หูวเค่อพูด
“รอผมก่อนนะ..เดี๋ยวผมขอไปอาบน้ำล้างหน้าแปรงฟันก่อน” เย่เชียนพูดขณะที่เขารีบเดินเข้าไปในห้องน้ำ และหลังจากนั้นไม่นานนักเขาก็อาบน้ำล้างตัวและเปลี่ยนเป็นวอร์มแล้วจากนั้นเขาก็พูดว่า “ไปกันเถอะ!”
ทั้งสองก็วิ่งเหยาะๆ ไปตามท้องถนนและคุยกันเป็นระยะๆ และเมื่อพวกเขาทั้งสองมาถึงชานเมืองนั้นอากาศในเขตชานเมืองตอนเช้าตรู่ก็ดีกว่าในตัวเมืองอย่างเห็นได้ชัด “คุณอยากพักสักหน่อยมั้ย?” เย่เชียนถาม ทันทีที่เย่เชียนพูดออกไปเขาก็รู้สึกได้ว่าสิ่งที่เขาถามออกไปมันเหมือนคำถามงี่เง่าอย่างมากเพราะทักษะและฝีมือของเธอนั้นดีกว่าของตัวเช่นนี้แล้วเธอจะรู้สึกเหนื่อยได้อย่างไร
“ก็ดีเหมือนกันค่ะ!” หูวเค่อตอบและหลังจากนั้นเธอก็หยุดวิ่งและเดินไปที่สนามหญ้าข้างๆ อย่างช้าๆ และเธอก็นั่งไขว้ขาและเธอก็มองไปที่เย่เชียนและใช้มือตบลงไปที่พื้นเบาๆ พร้อมกับพูดว่า “มานั่งด้วยกันสิ!”
เย่เชียนก็หัวเราะเบาๆ และเดินไปที่หูวเค่อจากนั้นเขาก็นั่งลง หลังจากนั้นหูวเค่อก็พูดขึ้นมาว่า “ลองหลับตาและจินตนาการว่าอากาศรอบข้างได้แทรกซึมเข้าไปในร่างกายของคุณและหลังจากนั้นอากาศที่อยู่ภายในร่างกายของคุณก็จะถูกปล่อยออกมา..ลองดูสิมันจะรู้สึกดีและเบาตัวมาก”
ครู่หนึ่งเย่เชียนก็พูดว่า “นี่คือวิธีฝึกตนสำหรับฝึกชี่ภายในร่างกายหรอ..อาจารย์ของผมก็เคยสอนเอาไว้..แต่ผมขี้เกียจเกินไปก็เลยไม่ได้เรียนรู้จากเขามามากนักน่ะ”
“ฉันแค่แนะนำเฉยๆ ..คุณลองทำดูก่อนสิ!” หูวเค่อพูด
เย่เชียนก็พยักหน้าและเริ่มหลับตาลงและนึกภาพอากาศที่ไหลเวียนอยู่รอบๆ ที่มันได้แทรกซึมเข้าไปในร่างกายของเขาผ่านทุกอณูในร่างกายของเขาตามวิธีที่หูวเค่อบอก ซึ่งสิ่งที่เรียกว่าจินตนาการนั้นมันเป็นพลังแห่งความคิดนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเวลาคนเราเจอเหตุการณ์ที่คับขันแล้วก็มักจะมีพลังมากมายมหาศาลช่วงเวลาหนึ่งได้นั่นเอง
หูวเค่อก็เริ่มหลับตาและทำสมาธิเช่นกันแต่เธอก็หลังจากนั้นไม่นานเธอก็รู้สึกผิดปกติราวกับว่าเธอไม่ได้ดูดซับอะไรเลยแม้แต่น้อยและยิ่งไปกว่านั้นออร่าในร่างกายของเธอกลับหลั่งไหลออกมาแทนซึ่งทำให้เธอต้องประหลาดใจอย่างมากจนเธอรีบลืมตาขึ้นมาและเธอก็สะดุ้งในทันที
หลินจินไถ่ปรมาจารย์ของเย่เชียนนั้นก็เคยสอนวิธีที่คล้ายๆ แบบนี้ให้กับเย่เชียนแต่ทว่านั่นอาจจะเป็นเพราะว่าประสบการณ์ชีวิตของเย่เชียนนั้นยังน้อยเกินไปและความแข็งแกร่งทางจิตใจของเขานั้นยังน้อยเกินไปดังนั้นหลินจินไถ่จึงไม่ได้สอนวิธีเช่นนี้ให้กับเย่เชียนมากเกินไปและอาจจะมีเหตุผลบางประการที่เขาทำเช่นนั้น ซึ่งในความเป็นจริงแล้วพลังงานเล้นลับที่หลินจินไถ่เคยสอนให้กับเย่เชียนนั้นมันเเป็นวิธีการใช้และเรียกพลังชี่ในร่างกายออกมา ซึ่งทุกคนนั้นล้วนมีพลังชี่อยู่ในตัวและสิ่งที่เรียกว่าพลังชี่นั้นในแต่ละคนจะไม่เหมือนกันเพราะบางคนก็แข็งแกร่งและบางคนก็อ่อนแอ
ในขณะนี้หูวเค่อก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนเลยว่าจิตวิญญาณและพลังชี่เร้นลับรอบๆ ตัวของเธอนั้นได้หลั่งไหลเข้าไปสู่ร่างกายของเย่เชียนอย่างบ้าคลั่งและความเร็วในการดูดซับพลังนั้นก็ทำให้เธอประหลาดใจอย่างมาก ซึ่งในตอนนี้เธอก็ตระหนักและพิจารณาได้ในทันทีเลยว่าเย่เชียนนั้นมีพลังที่คล้ายคลึงกับอาจารย์ของเธออย่างมากแต่ทว่าพลังอาจารย์ของเธอนั้นไม่ได้มีความผิดปกติเช่นเดียวกับกับเย่เชียน ซึ่งตัวของเย่เชียนเองนั้นเขาก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลยแม้แต่น้อยเพราะเขารู้แค่ว่าการทำสมาธิเช่นนี้ดูเหมือนว่ามันจะมีประโยชน์จริงๆ ราวกับว่าอากาศกำลังทะลุเข้าไปในร่างกายของเขาอยู่ตลอดเวลาและมันก็เย็นสบายเมื่ออากาศเข้าสู่ร่างกายของเขาเพียงเท่านั้น
“อะ!!!! …” ทันใดนั้นจู่ๆ เย่เชียนก็รู้สึกได้ถึงเสียงบางอย่างที่สั่นสะเทือนจิตใจของเขาอย่างบ้าคลั่งจนเขาถึงกับสะดุ้งและรีบลืมตาขึ้นมาและเย่เชียนก็รีบหันไปมองหูวเค่ออย่างหวาดผวาและถามอย่างกระวนกระวายว่า “มะ..เมื่อกี้คุณได้ไอหรือเปล่า?”
หูวเค่อก็ถึงกับผงะไปด้วยความประหลาดใจและเธอก็ส่ายหัวและพูดว่า “เปล่าค่ะ..ฉันไม่ได้ไอ”
เย่เชียนก็ขมวดคิ้วแน่นและพยายามนึกถึงฉากเมื่อครู่นี้ซึ่งมันราวกับว่าเสียงไอปริศนาและลึกลับเสียงนั้นมันมาจากเสียงของผู้ชายไม่ใช่เสียงของผู้หญิง ซึ่งเย่เชียนก็นึกไม่ออกว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่และเขาก็งงงวยอย่างมาก
“มีอะไรหรอคะ?” หูวเค่อถามด้วยความประหลาดใจ
“ไม่เป็นอะไร..ไม่มีอะไร” เย่เชียนพูดต่อ “เอ่อ..วิธีที่คุณสอนผมเมื่อกี้มันไม่ใช่ว่าผมคิดไปเองหรอใช่มั้ย?”
หูวเค่อก็หันไปมองหน้าของเย่เชียนอย่างรวดเร็วและถึงแม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเย่เชียนเมื่อครู่นี้กันแน่แต่เธอก็เชื่อว่าเย่เชียนนั้นคงจะไม่พูดโกหกเธออย่างแน่นอน “มันสายแล้วเรากลับกันเถอะ” หูวเค่อพูด
เย่เชียนก็พยักหน้าและยืนขึ้นและหลังจากนั้นเขากับหูวเค่อก็วิ่งกลับกันไปที่โรงแรม
เมื่อมาถึงที่โรงแรมแล้วเย่เชียนก็รีบเดินเข้าไปในห้องน้ำและเปิดฝักบัวอาบน้ำและเขาก็ต้องตกใจอย่างมากเมื่อเขาเห็นว่าร่างกายของเขานั้นถูกปกคลุมไปด้วยสิ่งที่แปลกประหลาดและเมื่อมองดูตัวเองในสภาพแบบนี้แล้วมันเหมือนกับว่าเขาไม่ได้อาบน้ำมาหลายสิบปีแล้วเพราะมันเต็มไปด้วยเขม่าควันและเศษดินบางอย่างเต็มตัวไปหมด ซึ่งหลังจากอาบน้ำและล้างตัวมานานกว่าหนึ่งชั่วโมงเย่เชียนรู้สึกได้ถึงกลิ่นหอมสดชื่นบนร่างกายของเขาและเขาก็แอบสงสัยด้วยซ้ำว่าตอนนี้หูวเค่อวิ่งกลับมาพร้อมกับเขานั้นเธอจะได้กลิ่นสิ่งเหล่านี้ที่อยู่บนร่างกายเมื่อครู่นี้บ้างหรือเปล่า
หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้วเย่เชียนก็ได้รับโทรศัพท์ไปหาเฉินโม่เพื่อถามเรื่องสิ่งต่างๆ โดยเฉินโม่นั้นก็บอกมาว่าโจวเจิ้งผิงผู้นำขององค์กรสามมุมเมืองได้ตกลงที่จะพบกับเย่เชียนแล้วและขอให้เขาไปพบกันที่โรงน้ำชาในเขตชานเมืองช่วงบ่ายของวันนี้ ซึ่งเย่เชียนก็พยักหน้าเห็นด้วยและให้เฉินโม่ขับรถ Maserati สุดหรูมารับจากนั้นเย่เชียนก็วางสายโทรศัพท์ไป
“จะออกไปข้างนอกหรอคะ?” หูวเค่อถามเมื่อเห็นว่าเย่เชียนนั้นได้เปลี่ยนเป็นชุดสูทที่ดูเรียบร้อยอย่างเป็นทางการ
“อ๋อ..พอดีโจวเจิ้งผิงเชิญผมไปพบน่ะ” เย่เชียนพูด
“ภูมิหลังและที่มาที่ไปของเขาเป็นยังไงบ้าง?” หูวเค่อถาม
“ต้นกำเนิดของเขานั้นไม่ธรรมดาเลย..เขาเป็นผู้นำขององค์กรสามมุมเมืองแห่งไต้หวันและเป็นที่ปรึกษาทางการเมืองของรัฐบาลไต้หวัน..ซึ่งสมัยก่อนนั้นเขาเคยถูกจำคุกเป็นเวลาห้าปีในประเทศกรีนแลนด์และต่อมาเมื่อเขาออกจากคุกเขาก็ไปกบดานอยู่ที่ประเทศตุรกี..และหลังจากนั้นเขาก็กลับมาไต้หวันพร้อมกับอำนาจและอิทธิพลอย่างมากและทำทุกอย่างที่เกี่ยวกับธุรกิจในโลกใต้ดินที่ผิดกฎหมายจวบจนเขาไปกลายเป็นรัฐมนตรีของสภานิติบัญญัติของไต้หวัน..ซึ่งอาจพูดได้ว่าเขานั้นสามารถใช้มือเพียงข้างเดียวเพื่อคลุมท้องฟ้าได้เลย”
“คุณอยากให้ฉันไปกับคุณด้วยมั้ยคะ?” หูวเค่อก็ยังคงถามต่อ
เย่เชียนก็หัวเราะเบาๆ และพูดว่า “ไม่เป็นไรๆ ..คุณยังมีธุระของตัวเองที่ต้องทำอยู่ไม่ใช่หรอ..ผมบอกให้เฉินโม่ใช้เงินไปส่วนหนึ่งเพื่อทำให้คุณเป็นสมาชิกของสโมสรชูเซียงแล้ว..เพราะภรรยาของโจ้วเจิ้งผิงนั้นอยู่ข้างในสโมสรนั้น..และสมาชิกทั้งหมดก็ล้วนเป็นภรรยาของเหล่าเจ้าหน้าที่รัฐบาลระดับสูง..คุณไปตีสนิทและไปสร้างความสัมพันธ์กับพวกเธอเอาไว้เพื่อข้อมูลต่างๆ ที่จำเป็น”
“อ่าห๊ะ!” หูวเค่อพยักหน้าตอบรับ ตอนนี้เธอนั้นได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยของเย่เชียนแล้วและในครั้งนี้ก็ไม่ใช่เพื่อจับตาดูเขาแต่เป็นการช่วยเหลือเขาและแม้ว่าเย่เชียนจะไม่เคยถามเธอเกี่ยวกับข้อตกลงนี้เลยก็ตามแต่ถึงยังไงในใจของเธอก็ยินดีเสมอ
เย่เชียนแต่งตัวอย่างเรียบร้อยและเดินเข้าไปหาหูวเค่อพร้อมกับยิ้มเล็กยิ้มน้อยและพูดว่า “คนสวย! ..ขอกำลังใจหน่อยสิ” เห็นได้ชัดเลยว่าหูวเค่อนั้นเธอไม่เข้าใจความหมายของเย่เชียนเลยแม้แต่น้อยและในทันใดนั้นจู่ๆ เย่เชียนก็โน้มไปจูบริมฝีปากของเธออย่างนุ่มนวล แล้วเมื่อหูวเค่อรู้สึกตัวอีกทีเย่เชียนก็ขโมยจูบแรกของเธอไปเสียแล้ว
เย่เชียนก็ลูบริมฝีปากของหูวเค่อเบาๆ และพูดว่า “มันหวานมากเลย..เดี๋ยวผมกลับมานะ!” หลังจากพูดจบเย่เชียนก็เปิดประตูและเดินออกไปโดยทิ้งให้หูวเค่อยืนแน่นิ่งและแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น
สถานที่นัดพบคือโรงน้ำชาในเขตชานเมืองของไทเปซึ่งล้อมรอบไปด้วยต้นชาที่ปลูกเอาไว้และมีห้องโถงไม้โบราณตั้งอยู่ตรงกลางซึ่งระหว่างกลางต้นชาทั้งสองฝั่งนั้นมีถนนคอนกรีตกว้างขวางตรงไปยังห้องโถงไม้โบราณนั้นซึ่งเย่เชียนก็ขับรถตรงไปที่นั่นและจอดอยู่ที่ประตูทางเข้า
จากรอบนอกนั้นก็มีรถอยู่หลายคันที่จอดอยู่รอบๆ ซึ่งทั้งหมดนั้นต่างก็เป็นรถหรูระดับไฮเอนด์จนไปถึงซุปเปอร์คาร์จนเย่เชียนอดไม่ได้ที่จะเดาะลิ้นพลางคิดว่าสมัยนี้มันชักจะมีคนรวยมากเกินไปแล้ว อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็ยังคงรู้สึกสงสัยเล็กน้อยว่าทำไมโจวเจิ้งผิงถึงนัดให้เขามาพบที่นี่ ซึ่งเมื่อเย่เชียนเดินเข้าไปเขาก็เห็นคนสองสามคนนั่งอยู่ในห้องโถงและมีโต๊ะด้านหน้าโดยมีชายชราคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงกลางห้องซึ่งเขาอายุประมาณห้าสิบต้นๆ แต่กลับเขากลับดูมีพลังมากและเขาไม่สามารถซ่อนจิตวิญญาณและอ่อร่าของความยิ่งใหญ่ได้
เขาคงจะเป็นโจวเจิ้งผิงใช่มั้ย? เย่เชียนคิดอย่างลับๆ ในใจ
“สวัสดีครับคุณโจว! ..” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้มโดยไม่มีร่องรอยของการอ่อนน้อมถ่อมตนหรือวางตัวหยิ่งผยองแต่อย่างใดซึ่งเขาดูเป็นธรรมชาติอย่างมาก
ชายชราตรงกลางก็พยักหน้าและพูดว่า “คุณคือเย่เชียนใช่มั้ย..มานั่งก่อนสิ!” น้ำเสียงนั้นหนักแน่นมากราวกับว่าเขาไม่สามารถให้คนอื่นคัดค้านเขาได้เลย เย่เชียนก็ไมได้แยแสอะไรมากเขาเพียงกวาดสายตาไปรอบๆ และพบว่ามีเพียงโจวเจิ้งผิงคนเดียวเพียงเท่านั้นที่นั่งอยู่ตรงนี้เพราะคนอื่นๆ ทั้งหมดนั้นนั่งกันอยู่รอบนอกและมีบางคนที่ยืนอยู่ทางด้านหลังของแต่ละคน ดังนั้นเย่เชียนจึงนั่งลงโดยไม่ลังเลใดๆ ซึ่งโจวเจิ้งผิงก็ไม่ได้แยแสอะไรเช่นกันเพราะเขายังคงชงชาของตัวเองอยู่อย่างช้าๆ
เย่เชียนเหลือบมองดูคนเหล่านั้นอย่างระมัดระวังเพราะพวกเขาทุกคนดูตัวสั่นและหวาดกลัวอยู่ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าคนพวกนั้นไม่ใช่คนของโจวเจิ้งผิงแต่อย่างใดจนทำให้เย่เชียนประหลาดใจมากขึ้นและยิ่งงงงวยไปกับการกระทำของโจวเจิ้งผิงอย่างมาก
หลังจากนั้นไม่นานชายวัยกลางคนสวมแว่นตาก็วิ่งขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนกซึ่งร่างกายของเขานั้นซูบผอมและดวงตาคู่หนึ่งของเขาก็แดงก่ำและเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ว่า “ขอโทษครับ..ขอโทษครับคุณโจว..ที่ผมมาสายก็เพราะว่ารถมันติดมากเลยครับ!”
โจวเจิ้งผิงก็หยุดชงชาและเงยหน้าขึ้นมองชายวัยกลางคนคนนั้นพร้อมกับรอยยิ้มอันเย็นยะเยือกบนใบหน้าแล้วถามว่า “รถติดเหรอ? ..แล้วคุณนั่งรถอะไรมา?”
“เอ่อ..ผมขับ Mazda มาครับ!” ชายสวมแว่นตาดูหวาดกลัวและละอายใจอย่างมาก
โจวเจิ้งผิงก็ฉีกยิ้มและพูดว่า “พวกเราทุกคนนั่ง Rolls Royce มา แต่คุณกลับขับ Mazda มาเนี่ยนะ..ไม่น่าแปลกใจเลยที่รถติดเพราะคุณขับรถ Mazda มานี่เอง..คุณรู้มั้ยว่าคุณน่ะไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้!” ชายสวมแว่นตาถึงกับตกตะลึงอย่างมากและค่อนข้างที่จะสูญเสียอาการอยู่ตรงนั้น ซึ่งโจวเจิ้งผิงก็ยิ้มอย่างเย็นชาและพูดว่า “ถ้างั้นก็ไปหาที่นั่งประจำตำแหน่งของคุณซะ!”
“ครับๆ ..ขอบคุณครับ!” ชายสวมแว่นรีบโค้งคำนับและเดินไปรอบๆ แต่เขาก็ไม่เจอที่นั่งประจำตำแหน่งที่มีชื่อของเขาอยู่เลย ซึ่งคนอื่นๆ นั้นต่างก็มีสีหน้าที่มืดมนและไม่มีความเห็นอกเห็นใจใดๆ เลยแม้แต่น้อยซึ่งสิ่งนี้ทำให้เย่เชียนประหลาดใจอย่างมากและไม่แน่ใจแล้วว่าจะมีการประชุมอะไรหรือแบบไหนที่นี่
“หาเจอมั้ย?” โจวเจิ้งผิงถาม
“เอ่อ..ไม่ครับ..ไม่เจอ!” ชายสวมแว่นพูดด้วยความหวาดกลัวและสั่นเทา
โจวเจิ้งผิงก็ยกมือขึ้นมองนาฬิกาที่ข้อมือแล้วพูดว่า “คุณมาช้าไปแปดนาที! ..ซึ่งนั่นก็หมายความว่าคุณไม่ได้สนใจการประชุมในครั้งเลย! ..คุณดูถูกและหยามเกียรติของพวกเราแบบนี้แล้วทำไมคุณถึงอยากร่วมงานกับเรา?” หลังจากที่หยุดชั่วขณะโจวเจิ้งผิงก็ตะคอกว่า “กลับบ้านไปแล้วก็รอรับสาย..เดี๋ยวฉันจะแจ้งผลให้คุณทราบเอง”
ชายสวมแว่นก็กวาดสายตามองออกไปรอบๆ ซึ่งดูเหมือนว่าจะไม่มีใครเห็นดวงตาของเขาที่กำลังขอความช่วยเหลือเลยแม้แต่คนเดียว ซึ่งนั่นก็เพราะว่าคนเหล่านั้นก็ทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน เมื่อเป็นเช่นนั้นชายสวมแว่นก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ๆ และจำใจที่จะต้องออกไปอย่างเชื่อฟัง ซึ่งเย่เชียนเองก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับเรื่องแบบนี้มากนักเพราะคนที่นี่รวมถึงคนที่เพิ่งจากไปนั้นก็ไม่ได้มีค่าอะไรมากมายเพราะคนเหล่านี้มักจะคอยกลั่นแกล้งสามัญชนคนธรรมดาและเอาเปรียบคนที่ไม่มีทางสู้ภายใต้โจวเจิ้งผิงเช่นนี้
ทันใดนั้นใบหน้าของโจวเจิ้งผิงก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วในทันทีที่ชายสวมแว่นจากไป ซึ่งใบหน้าของโจวเจิ้งผิงนั้นก็กลับมาสงบเสงี่ยมทันทีโดยไม่มีสีหน้าที่เคร่งเครียดเหมือนก่อนหน้านี้แต่อย่างใด
.
.
.
.
.
.
.