บทที่ 197 ตัดสินใจ (3)
อิงอิงตอนนี้คล่องแคล่วยิ่ง หยิบพู่กัน ถ่านกับกระดาษที่เก็บไว้อย่างดีออกมาจากบนร่าง กางออกแล้วเขียนตัวอักษรแถวหนึ่ง
‘ร้อยเส้นสายเกิดจากตระกูลขุนนางที่ถูกทำลาย หรือลูกหลานตระกูลขุนนางที่สายเลือดค่อยๆ สูญหาย ถึงขั้นมีมารปีศาจและความประหลาดลี้ลับเข้าร่วม พวกเขาไม่ยอมให้พลังอ่อนแอลงเพราะสายเลือดเจือจาง ดังนั้นจึงก่อตั้งองค์กรที่เหมือนมนุษย์และสำนักขึ้น พวกเขามีกฎการสืบทอดของตัวเอง อีกทั้งเพื่อป้องกันกองกำลังที่กล้าแข็งของเก้าตระกูลแห่งจงหยวน จึงสร้างพันธมิตรร้อยเส้นสาย’
รอลู่เซิ่งอ่านจบ นางก็วางกระดาษลง ไม่รู้ว่าใช้วิธีอะไรเช็ดรอยหมึกด้านบนทิ้งไปหมด แล้วเขียนใหม่
‘ตระกูลขุนนางทั่วไปจะใช้สายเลือดอาวุธเทพศัสตรามารที่เหมาะกับตัวเองมาสร้างเคล็ดวิชา เคล็ดวิชาเหล่านี้เมื่อคนภายนอกเรียนจะมีแต่ผลเสีย แต่ว่าร้อยเส้นสายแตกต่าง พวกเขามีระบบของตัวเอง ว่ากันว่าถ่ายทอดเคล็ดวิชาที่สายเลือดส่วนใหญ่ใช้ได้ แน่นอนว่าอานุภาพอ่อนแอยิ่ง’
“แบบนี้นี่เอง…นี่ไม่ใช่สำนักที่เป็นกองกำลังเหนือมนุษย์หรอกหรือ” ลู่เซิ่งกระจ่างแจ้ง
อิงอิงเขียนอย่างรวดเร็ว
‘ไม่ใช่สำนัก พวกเขาไม่เข้มงวดเท่าสำนัก ข้าเคยไปดู เป็นบรรยากาศพบปะพูดคุยมากกว่า’
“เจ้าเคยไปมาก่อน แล้วทำไมเจ้ากับหงฟางไป๋ถึงไม่เข้าร่วมกับหนึ่งในร้อยเส้นสาย พวกเจ้าไม่ใช่ขาดแคลนเคล็ดวิชาหรอกหรือ” ลู่เซิ่งถามอย่างสงสัย
“ท่านพี่เคยฆ่าผู้อาวุโสในร้อยเส้นสายเพื่อแย่งชิงเคล็ดวิชา…” อิงอิงเอ่ยอย่างหม่นหมอง
ลู่เซิ่งพลันเข้าใจ มิน่า…ไม่แน่ว่าเคล็ดวิชาคัมภีร์เล่มเล็กนั้นจะเป็นสิ่งที่หงฟางไป๋ฆ่าคนชิงมา
‘ปัญหาในตอนนี้คือจะรับคำแนะนำของซั่งหยางจิ่วหลี่ มุ่งหน้าไปจงหยวน เข้าไปฝึกฝนในร้อยเส้นสายนี้ดีไหม ตามหลักการทั่วไป การเข้าร่วมร้อยเส้นสายพร้อมกับได้เคล็ดวิชามา น่าจะเป็นเรื่องที่คนทั่วไปปรารถนา…’ ลู่เซิ่งลังเลในใจ
‘ประมุขพรรคกำลังลังเลเพราะเรื่องเฉินอวิ๋นซีหรือ’ อิงอิงเขียนตัวอักษรแถวหนึ่ง
“ใช่ หมั้นกันไว้อยู่แล้ว แล้วก็ถึงเวลารับนางเป็นภรรยาแล้วเช่นกัน” ลู่เซิ่งพยักหน้า
‘เช่นนั้นก็รับเถอะ แต่ถ้าให้ตำแหน่งภรรยาหลวงแก่นาง ด้วยสถานะตำแหน่งของท่าน ออกจะใหญ่โตเกินไป’ อิงอิงเขียน
“เจ้ารู้เรื่องแบบนี้ด้วยหรือ” ลู่เซิ่งฉงน
‘ในความทรงจำของข้ามีเนื้อหาอยู่บางส่วน’ อิงอิงเขียนอย่างจริงจัง ดูเหมือนก่อนที่นางจะกลายเป็นความประหลาดลี้ลับ อาจมีความเป็นมาไม่ธรรมดา
ถูกต้อง ความประหลาดลี้ลับเป็นราชันในหมู่ภูตผี ภูตผีทั่วไปจำเป็นต้องใช้ความแค้นมากพอจึงค่อยเป็นรูปเป็นร่าง เงื่อนไขที่ความประหลาดลี้ลับต้องทำอาจโหดยิ่งกว่า
“ข้าเตรียมจะพาอวิ๋นซีมาอยู่ด้วยกัน ถ้าแต่งงาน ภรรยาหลวง ภรรยารอง…” ลู่เซิ่งเว้นครู่หนึ่ง “อวิ๋นซีจริงใจกับข้า นางย่อมเป็นภรรยาหลวง”
ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ต้องการ การแต่งงานทางการเมืองอยู่แล้ว
อิงอิงไม่ตอบ พับเสื้อผ้าต่อ นี่เป็นการตัดสินใจของลู่เซิ่ง นางไม่มีเหตุให้ก้าวก่ายและแนะนำ
ลู่เซิ่งใคร่ครวญ
เขียนจดหมายตอบกลับฉบับหนึ่ง ใส่ในหลอดทองแดง แล้วมัดติดกับนกหัวงู จากนั้นให้มันกินน้ำ แล้วโยนออกไปเบาๆ
อีกาตัวนั้นโผบินออกไป พุ่งสู่ก้อนเมฆ ไม่นานก็หายไปในหิมะ
ลู่เซิ่งมองทิศทางที่นกประหลาดจากไป
‘โอกาสดีๆ แบบนี้จะปล่อยไปง่ายๆ ได้ยังไง จงหยวน อยากจะไปเห็นมานานแล้ว เก้าตระกูลขุนนางกับร้อยเส้นสาย…’ นี่เป็นโอกาสทำความเข้าใจตระกูลขุนนางและสายเลือดอย่างเต็มที่ ภายหลังถ้าถูกเปิดโปงสถานะ แล้วค่อยหาโอกาสก็ยากแล้ว
‘ถึงยังไงก็ต้องไปอยู่ดี ให้อวิ๋นซีไปจงหยวนกับเราดีกว่า นอกจากนั้นตระกูลลู่ที่แดนเหนือยังต้องจัดการ ทางพันธมิตรบู๊ก็ต้องสะสางความวุ่นวายที่เหลือ ยังเหลือยาล้ำค่าบนแผนที่แผ่นนั้น…รวมถึงสำนักไตรอริยะ…’ มีปัญหามากมายยังไม่ได้แก้ไข
ลู่เซิ่งคิดถามเวลาจัดงานชุมนุมร้อยเส้นสายให้แน่ใจ จะได้จัดการภารกิจในแดนเหนือ
วันที่ห้าหลังจากซั่งหยางจิ่วหลี่ส่งจดหมายมา จดหมายฉบับที่สองก็มาถึง
ตอนได้รับจดหมาย ลู่เซิ่งกำลังตรวจสอบสถิติภัยพิบัติหิมะที่เพิ่งส่งมาในห้องหนังสือของเรือวาฬแดง
ครั้งนี้ซั่งหยางจิ่วหลี่ตอบจดหมายว่า งานชุมนุมร้อยเส้นสายจะจัดในอีกสามเดือนให้หลัง เวลายังนับว่าเพียงพอ ครั้งนี้ลู่เซิ่งไม่ลังเลอีก ตอบกลับอย่างแน่วแน่ว่าจะเข้าร่วม
หลังปล่อยนกประหลาดไป เขาก็จัดการคน เริ่มเตรียมเรื่องงานแต่งงาน
…
เมืองเลียบคีรี ตระกูลเฉิน
เฉินอวิ๋นซีถือสารที่เพิ่งได้รับ ด้านบนเขียนเกี่ยวกับเรื่องการจัดการงานแต่งระหว่างเฉินอวิ๋นซีแห่งตระกูลเฉินและลู่เซิ่งแห่งตระกูลลู่
นี่เป็นของที่ท่านพ่อมอบให้นางทันทีหลังจากกลับมาจากด้านนอก บอกให้นางตรวจสอบขั้นตอนและเวลาของการจัดการ เพื่อป้องกันไม่ให้มือไม้ปั่นป่วน
แต่สิ่งที่ทำให้เฉินอวิ๋นซีคิดไม่ถึงก็คือ ลู่เซิ่งในวันนี้ยังตบแต่งนางเป็นภรรยาหลวง
“เสี่ยวอวี้ ไปเชิญท่านพ่อมาที” เฉินอวิ๋นซีที่เห็นการจัดการเช่นนี้สงบนิ่งผิดปกติ แม้นางจะดีใจ แต่ทราบว่าสถานะภรรยาหลวงเป็นความยุ่งยากเหลือแสน
เสี่ยวอวี้เด็กหญิงรับใช้ข้างกายรีบผละไป ไม่ทันไรก็กลับมายังลานว่างเพราะกับเฉินเต้าเจ่า
“ท่านพ่อ” เฉินอวิ๋นซีคารวะเล็กน้อย “เรื่องสถานะภรรยาหลวงในการจัดการนี้ข้าไม่เห็นด้วย”
เฉินเต้าเจ่าเดิมทำท่าอ่อนโยนเป็นมิตร นึกว่าบุตรีมีตรงไหนไม่เข้าใจ ดังนั้นเรียกเขามาตอบข้อสงสัย
คิดไม่ถึงประโยคแรกที่เฉินอวิ๋นซีเอ่ยจะทำให้เขาตกใจ
“เจ้า… เจ้าว่าอะไร?!” เฉินเต้าเจ่าสีหน้าเคร่งขรึมลงอย่างรวดเร็ว เม้มปาก รอยยิ้มเมื่อครู่พริบตาเดียวก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
“ข้าบอกว่า ข้าเป็นภรรยาหลวงไม่ได้…” นางตอบอย่างขึงขัง
“เหลวไหล!” เฉินเต้าเจ่าตัดบทนาง “เจ้ารู้หรือไม่ว่าพูดอะไรอยู่ ภรรยาหลวงนะ! นั่นเป็นสถานะใหญ่สุดของเรือนหลังแล้ว เจ้าบอกว่าเป็นไม่ได้หรือ เจ้าเป็นภรรยาหลวงไม่ได้ หรือจะเป็นอนุเล่า?!” เขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ตวาดเสียงดัง
“ด้วยสถานะและตำแหน่งของพี่ลู่ในตอนนี้ หากข้าเป็นภรรยาหลวง ภายหลังตระกูลลู่ของข้าจะได้รับการกดดันในที่ลับ พี่ลู่ไม่อาจมีข้าเป็นภรรยาคนเดียว สถานะและตำแหน่งในตอนนี้ของเขาตัดสินแล้วว่าภรรยาที่เขาจะตบแต่งในอนาคตมีความเป็นไปได้ถึงขีดสุดว่าชาติตระกูลจะดีกว่าข้า ข้าไม่อาจใช้ความรักที่พี่ลู่มีต่อข้ามารักษาสถานะตำแหน่งภรรยาหลวงได้ นั่นไม่ใช่เส้นทางระยะยาว เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่สู้ถอยก้าวหนึ่ง เป็นภรรยารอง ปล่อยตำแหน่งสูงศักดิ์ที่สุดนี้ไว้” เฉินอวิ๋นซีคล้ายกับมองทะลุทุกเรื่อง
เฉินเต้าเจ่าเงียบกริบ
ถูกต้อง ตระกูลลู่กับตระกูลเฉินในปัจจุบันมีเบื้องหลังแตกต่างกันเกินไป คนค้าขายอย่างตระกูลเฉินถ้าเป็นในเมืองเล็กๆ ชายแดน อาจจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ ถึงอย่างไรสถานที่แบบนั้นก็เป็นเขาสูงฮ่องเต้อยู่ไกล ขุมกำลังพื้นที่เกาะกลุ่มกัน แข็งแกรงอ่อนแอวัดกันที่กองกำลังลับซึ่งตนเองชุบเลี้ยง
แต่สถานที่ที่มีกองทัพหลักสะกดไว้ มียอดฝีมือมากมายดุจหมู่เมฆดั่งเมืองเลียบคีรี กองกำลังลับที่ใช้เงินทองชุบเลี้ยงได้เหล่านั้นมีประโยชน์เพียงน้อยนิด
ที่นี่เป็นเมืองหลักของราชสำนัก และเป็นสถานที่ที่ขุนนางตรวจการอยู่ อำนาจของจวนขุนนางราชสำนักสูงกว่าที่อื่น
ต่อให้เอาเงินทองไปกอง ก็รวบรวมยอดฝีมือระดับผนึกจิตไม่ได้ ต่อให้เป็นระดับสำนึกปลอดโปร่งก็ไม่แน่ว่าจะพอ ระดับพลังปลอดโปร่งยังง่ายกว่ามาก
เฉินเต้าเจ่าใช้เงินสะสมขุมกำลังระดับพลังปลอดโปร่งได้ไม่น้อย โชคดีที่ยังชุบเลี้ยงลงทุนกับระดับสำนึกปลอดโปร่งทั่วไปได้สองสามคน แต่ก็เท่านั้น
ในเมืองเลียบคีรี ระดับสำนึกปลอดโปร่งทั่วไปอย่างมากสุดก็เป็นหัวกะทิ ระดับผนึกจิตในพรรคแต่ละพรรคต่างหากที่นับเป็นระดับสูงได้
ต่อให้ชุบเลี้ยงคนร้ายกาจจากระดับสำนึกปลอดโปร่งได้ แต่ครู่เดียวก็อาจโดนดึงตัวไปเป็นแขกของขุมกำลังอื่นๆ แล้ว
พรรคที่มียอดฝีมือระดับผนึกจิตสะกด ถึงขั้นยังมีขุมกำลังของตระกูลขุนนางที่แข็งแกร่งกว่าอยู่เบื้องหลัง ตระกูลวาณิชต่อให้ร่ำรวย ก็เป็นแค่สุกรตัวใหญ่เท่านั้น
“เจ้า…พูดถูกแล้ว…” สีหน้าเฉินเต้าเจ่าเปลี่ยนแปลงเนิ่นนาน คิดทบทวนหลายครั้ง ครุ่นคิดเรื่องราวมากมาย ในที่สุดก็เข้าใจว่าบุตรีมองการณ์ไกลกว่าตนจริงๆ
ภรรยารองเป็นตำแหน่งที่เหมาะสมและถูกต้อง ไม่รานความรัก ยอมถอยให้เอง จะทำให้ลู่เซิ่งรู้สึกติดค้างและต้องชดเชยให้มากกว่าเดิม
ภรรยารองก็ไม่ได้มีตำแหน่งต่ำเหมือนอนุจนถูกภรรยาหลวงกดดันเกินไป
“ทำตามที่เจ้าว่าเถอะ” เฉินเต้าเจ่าในที่สุดก็เห็นด้วยกับการตัดสินใจของบุตรีอย่างลำบากใจ
“ท่านพ่อหลักแหลมนัก ควรจะทราบว่าพี่ลู่ในตอนนี้มีตระกูลร่ำรวยและสูงศักดิ์มากมายต้องการแอบอิง แม้แต่ใต้เท้าที่ว่าการในเมืองก็เคยหลุดปากหลังเมามายว่าจะเป็นพ่อสื่อให้พี่ลู่ แม้ใต้เท้าที่ว่าการก็รู้เรื่องระหว่างข้ากับพี่ลู่ กลับยังพูดแบบนี้” เฉินอวิ๋นซีช่วงนี้ไม่ใช่อยู่ว่างคอยเที่ยวเล่น ในฐานะภรรยาในอนาคตของประมุขพรรคอันดับหนึ่งแห่งแดนเหนือ นางต้องรับแรงกดดันมหาศาล
ตำแหน่งนี้ สถานะนี้ หากไม่ระวังแม้แต่นิดเดียว จะก่อให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ในที่ลับ
ทุกๆ คำพูดและการกระทำของนางจะถูกป่าวประกาศและขยายให้ใหญ่โต
ต่อให้ลู่เซิ่งปกป้องไม่ให้นางได้รับบาดเจ็บ ถึงขั้นสะกดคำติฉินนินทาได้ ทว่านางเป็นหญิงสาวที่ชอบเอาชนะ ไม่อยากให้เป็นเช่นนี้
“ไม่เพียงเท่านี้ ข้าจะฝึกวรยุทธ์ด้วย!” เฉินอวิ๋นซีกล่าวเสริมเป็นครั้งสุดท้าย
“หา” เฉินเต้าเจ่าพลันเบิกตาโต
…
ห้องหนังสือในเรือวาฬแดง
“ภรรยารองหรือ” ลู่เซิ่งถือจดหมายที่เฉินอวิ๋นซีฝากส่งมา ใบหน้าฉายแววประหลาดใจ
แต่ใคร่ครวญดูเล็กน้อย เขาก็เห็นถึงความฉลาดของเฉินอวิ๋นซี
“ช่างเถอะ ท่านไปจัดการได้เลย” เขามองสตรีชราคนหนึ่งด้านหน้า
นางเป็นยอดฝีมือระดับเอกะฟ้าจากพันธมิตรบู๊ที่เพิ่งสวามิภักดิ์
สตรีชราแซ่ซุน ชื่อหมิงเจิน ฉายารุ้งพันหัตถ์ เป็นปรมาจารย์อาวุธลับระดับสูงที่โด่งดัง ตอนยังสาวยังเป็นแม่สื่อผู้มีน้ำใจที่ขึ้นชื่อ
“ประมุขพรรคไม่ต้องห่วง เรื่องนี้จะจัดการให้ท่านอย่างดี ให้คุณหนูอวิ๋นซีตบแต่งเข้ามาอย่างสุขใจ” ซุนหมิงเจินยันไม้เท้า กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เดิมจะให้สถานะภรรยาหลวงแก่นาง แต่ตอนนี้คิดดู การเลือกของอวิ๋นซีจึงเหมาะสมที่สุด แล้วแต่นางเถอะ ส่วนงานเลี้ยงสุรา ท่านดูการจัดการ อย่าให้ใหญ่โตหรือเหนื่อยเกินไป” ลู่เซิ่งเอ่ยเบาๆ
“ทราบแล้วๆ” ซุนหมิงเจินหัวเราะคิกคักพร้อมกับบอกลา แล้วล่าถอยไป
จากนั้นเป็นรอบของอวี้เหลียนจื่อกับโอวหยางชีที่รออยู่ด้านนอก
“เรียนประมุขพรรค พบผู้อาวุโสจ้าวเจียวเจียวแล้ว!” ประโยคแรกหลังจากอวี้เหลียนจื่อเข้ามาทำให้ลู่เซิ่งต้องเลิกคิ้ว
“ว่ามา” เขาเพ่งมองอวี้เหลียนจื่อ
“ผู้จัดการภารกิจภายนอกจ้าวถูกคนพบตอนเช้าวันนี้ ได้รับบาดเจ็บสาหัสนอนคว่ำอยู่ในหิมะ บนร่างมีรอยสัตว์ป่าขย้ำอยู่หนึ่งร้อยยี่สิบแปดแห่ง บวกกับเสียเลือดเกินไป จึงสลบไสล ตอนนี้หมอยาจ่ายยารักษาภายในให้แล้ว กำลังพักผ่อนอยู่” อวี้เหลียนจื่อเล่า
“บาดเจ็บสาหัส” ลู่เซิ่งงุนงง พลังของจ้าวเจียวเจียวแข็งแกร่งขนาดไหน ตัวเขาทราบดี พลังระดับเอกะฟ้า บวกกับหลังจากเขาปลูกข่ายกระเรียนหยิน นางก็พัฒนาอย่างก้าวกระโดด อีกไม่กี่ปีก็จะเลื่อนจากระดับเอกะฟ้าไปถึงระดับใหม่
“พาข้าไปดู” เขากล่าวเสียงทุ้ม
“ขอรับ!”
อวี้เหลียนจื่อพาลู่เซิ่งไปชั้นล่างของเรือวาฬแดง เข้าไปในท้องเรือ ที่นั่นเป็นที่อยู่อาศัยของพลพรรควาฬแดง มีเจ้าหน้าที่และผู้อาวุโสซึ่งเป็นยอดฝีมือจำนวนมากพักอยู่
พวกเขาไปถึงห้องในท้องเรือที่เต็มไปด้วยกลิ่นยาอย่างรวดเร็ว
……………………………………….