“ถึงท่านอาโรเดสผู้ยิ่งใหญ่ คำถามถัดไปของกระผมคือ เชอร์ล็อก·โมเรียตี้หลบหนีออกจากซากปรักหักพังใต้ดินได้อย่างไร” น้ำเสียงของไอคานส์เจือความผ่อนคลายชัดเจน
ผิวกระจกเงินกระเพื่อมแผ่วเบา ก่อนจะเผยให้เห็นภาพของเชอร์ล็อก·โมเรียตี้กำลังยืนพิงผนังห้องบรรยากาศสลัว กำปั้นถูกบีบแน่นสลับกับคลายออกเป็นระยะ
จากนั้น ไอคานส์ รวมถึงอาวุโสและหัวหน้าหน่วยจิตแห่งจักรกลคนอื่น ต่างมองเห็นรอยยิ้มแฝงเลศนัยของเชอร์ล็อก ตามด้วยภาพการกระโจนออกจากจุดหลบซ่อนพร้อมกับใช้ลูกโม่ดัดแปลงเล็งไปทางแท่นบูชา
ด้วยอารมณ์ของฉาก ผู้รับชมเหตุการณ์ถูกชักจูงให้คล้อยตาม บางคนถูกกระตุ้นจนเกิดความตื่นเต้น
ภาพในกระจกถูกสลับมุมมอง เชอร์ล็อก·โมเรียตี้กระหน่ำยิงโดยไม่ยั้งมือจนกระสุนหมดโม่ อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นกระสุนหลากสีทะลวงผ่านม่านแสงของพิธีกรรมและเริ่มสลายตัวไปอย่างสูญเปล่า คนของจิตแห่งจักรกลเริ่มเผยสีหน้ากังวล
ถัดมา เชอร์ล็อก·โมเรียตี้โยนกุญแจทองเหลืองไปทางแท่นบูชา ส่งผลให้พิธีกรรมเริ่มขาดความเสถียรและเข้าสู่กระบวนการทำลายตัวเอง
หลังจากเกิดการระเบิดดังสนั่น เชอร์ล็อกถูกลมอัดกระแทกผนังหิน ส่วนมิสเตอร์ A มีสภาพปางตาย แต่ยังฟื้นฟูร่างกายได้ด้วยอัตราความเร็วน่าทึ่ง โดยถัดจากนั้น เชอร์ล็อกฉวยโอกาสเผ่นหนีเต็มฝีเท้าอย่างน่าสมเพชขณะมิสเตอร์ A ยังคงอยู่ในท่าคุกเข่า
ภาพบนกระจกตัดไปยังเหตุการณ์บนแม่น้ำทัสซอคไหลเอื่อย มิสเตอร์ A กำลังยืนบนผิวน้ำด้วยร่างกายหุ้มเกล็ดปลา สายตาแหงนมองบางสิ่งบนอากาศ
ทันใดนั้น อวัยวะของมิสเตอร์ A ค่อย ๆ เลือนหายไปทีละส่วนประหนึ่งถูกยางลบปาดออก เหลือทิ้งไว้เพียงเชอร์ล็อกผู้กำลังมีสีหน้าตกตะลึงราวกับเห็นผี
“…กำลังเสริมของโบสถ์รัตติกาล?” อาวุโสไอคานส์พึมพำพลางขมวดคิ้ว “น่าเสียดาย เขามิได้เขียนอธิบายเรื่องนี้ไว้ในจดหมาย ไม่อย่างนั้น ทางเราคงมีเบาะแสให้คาดเดาได้มากกว่านี้…
“หืม… เขาคิดจะขายข้อมูลในภายหลัง หรือว่าถูกลบความทรงจำบางส่วนออกไป? เป็นไปได้… เขามิได้ลงลึกรายละเอียดขณะหลบหนีออกจากซากปรักหักพังใต้ดินเลยสักนิด บางที ความทรงจำส่วนนี้อาจถูกเจาะจงลบออก…”
อาวุโสจิตแห่งจักรกลวิเคราะห์เหตุการณ์ตามเนื้อผ้า ขณะเดียวกัน ด้วยอารมณ์ยิ้มแย้มแจ่มใส มันเลือกตอบคำถามอาโรเดสโดยปราศจากอาการประหวั่น
อาโรเดสมิได้กำลังอยู่ในอารมณ์ขี้แกล้ง… เราคงผ่านไปได้ไม่ยากเย็น…
ไอคานส์ปลอบใจตัวเองพลางจ้องมองข้อความสีเลือดบนกระจก
ผ่านไปหนึ่งอึดใจ มันเริ่มตระหนักถึงลางร้ายชนิดอธิบายเป็นคำพูดไม่ถูก ไอคานส์สัมผัสได้ว่า กระจกวิเศษอาโรเดสได้กลับไปอยู่ในร่างปรกติเรียบร้อยแล้ว
ใจความของประโยคสีเลือดคือ :
“จากคำถามก่อนหน้า… ‘การพยายามเอาชนะใจใครสักคน แต่สุดท้ายกลับถูกเขาทอดทิ้ง’ เจ้าต้องการเอาชนะใจใคร?”
สมองไอคานส์พลันขาวโพลน ใบหน้าแดงก่ำราวกับคนป่วย
คำถามดังกล่าวเสียดแทงจุดอ่อนทางใจอย่างหนักหน่วง ไอคานส์ใบ้กินนานหลายวินาทีโดยไม่รู้ว่าควรตอบสนองเช่นไร
หากเราตอบไปว่าเป็นใคร ชื่อเสียงของเขาคงถูกทำลายลงในค่ำคืนนี้… แล้วเราก็จะกลายเป็น ‘ตำนาน’ ในทางไม่ดีนัก…
ไอคานส์กลืนน้ำลายอึกใหญ่ ตามด้วยคำตอบกระอักกระอ่วน
“ก…กระผมเลือกบทลงโทษ”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง สายฟ้าปรากฏขึ้นจากอากาศและฟาดใส่ศีรษะไอคานส์อย่างดุดัน
สายฟ้าคราวนี้มีลักษณะแตกต่างไปจากปรกติเล็กน้อย มันมิได้มีสีเงินสว่าง แต่ค่อนไปทางเขียวเข้ม
สายฟ้าผ่าลงกระบาลไอคานส์อย่างแม่นยำ ท่ามกลางแสงสว่างวาบ เส้นผมของอาวุโสจิตแห่งจักรกลพลันตั้งชันทุกเส้นโดยพร้อมเพรียง
ร่างกายไอคานส์สั่นกระตุก คล้ายกับเสพยาหลอนประสาทเข้าไปเกินขนาด
อาร์ชบิชอปฮารามิคถอนหายใจสั้นพลางหลับตาลงและพึมพำ
“สมบัติปิดผนึกระดับ 0…?”
เมื่อเห็นไอคานส์ได้สติกลับมา ฮารามิคมองไปรอบโต๊ะประชุมและกล่าวเสียงเรียบ
“ยังเหลืออีกหนึ่งคำถาม เชอร์ล็อกไปหากุญแจทองเหลืองซึ่งมีอำนาจทำลายพิธีกรรมมาจากไหน ใครจะใช้ 2-111 เป็นคนต่อไป?”
ความเงียบงันเข้าปกคลุมห้องประชุมทันที ไม่มีจิตแห่งจักรกลแม้แต่คนเดียวยกมืออาสา
…
ราวกับไม่เหลือสุ้มเสียงใดในโลกนอกจากเสียงคลื่นทะเลสาดกระทบท้องเรือ สลับกับความเงียบงันเป็นระยะจนเกิดบรรยากาศน่าหลงใหล
ไคลน์ตื่นขึ้นพร้อมกับลืมตา ภาพแรกในการมองเห็นคือเพดานไม้ซึ่งถูกฉาบด้วยแสงนวลละมุนของจันทราสีแดง
สัมผัสวิญญาณกำลังร้องเตือนว่า ด้านนอกมีความไม่ปรกติเกิดขึ้น
มีใครแอบทำตัวลับๆ ล่อๆ …?
ชายหนุ่มเอียงคอฟัง และตระหนักถึงเสียงผิดธรรมชาติอย่างเจือจาง
ไคลน์พยุงตัวนั่งบนขอบเตียง ก่อนจะลุกขึ้นหยิบถุงมือและสวมโค้ท
ขณะโยนเหรียญทำนาย ม่านตาชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นสีเข้มกว่าปรกติ การทำนายเบื้องต้นจบลงในเวลาไม่นาน
เมื่อได้รับคำตอบว่าไม่มีอันตราย ไคลน์เอื้อมไปหยิบปืนใต้หมอนและนำมาใส่กระเป๋า
หลังจากเตรียมตัวเรียบร้อย ชายหนุ่มเปิดประตูเดินออกจากห้อง มุ่งหน้าไปยังทิศทางของเสียงประหลาด
ในปัจจุบัน ณ ท้องทะเลห่างไกลจากเขตมลพิษของโรงงานอุตสาหกรรม จันทราแดงบนท้องฟ้าสีดำกำลังแผ่กลิ่นอายพิศวง
ไคลน์แอบย่องผ่านการตรวจตราจากเวรยามกลางคืน จนกระทั่งมาถึงจุดต้องสงสัยว่าจะมีความไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น
โดยไม่ทำให้ผิดหวัง กลิ่นคาวเลือดเจือจางลอยปะทะปลายจมูกทันที
อาศัยแสงสว่างจากจันทราสีแดง ชายหนุ่มมองไปยังจุดเกิดเหตุและได้พบกับอดีตนักผจญภัย คลีฟส์ กำลังนั่งยองด้านข้างลำเรือและจัดการกับบางสิ่งอย่างลับๆ
ถัดจากคลีฟส์ไปสิบกว่าเนตร ไคลน์มองเห็นสามบุคคลกำลังยืนหลบในเงามืดจากผนังด้านนอกห้องพัก หนึ่งในสามคือเพื่อนร่วมงานของคลีฟส์ บอดี้การ์ดหญิงสวมโค้ทดำ ส่วนอีกสองคนยังเป็นเด็กเล็ก บุตรชายและบุตรสาวของผู้ว่าจ้าง เด็กหญิงมีอายุราวสิบห้า ส่วนเด็กชายมีอายุไม่ถึงสิบขวบ
เด็กทั้งสองอยู่ในชุดนอนผ้าไหมตัวหนาและสวมชุดคลุมทับอีกชั้น ค่อนข้างแน่ชัดว่ารีบร้อนลุกออกมาจากเตียง
ร่างกายเด็กๆ กำลังสั่นเทาจากอิทธิพลของลมหนาวยามค่ำคืน อย่างไรก็ตาม สายตากลับยังคงมุ่งมั่นและเปี่ยมไปด้วยความกระตือรือร้นขณะจ้องมองคลีฟส์
กำลังเล่นซ่อนแอบอยู่หรือไง…
ไคลน์เหน็บแนบพลางจงใจเพิ่มน้ำหนักฝีเท้าให้อีกฝ่ายรู้ตัว
“สหาย ทำอะไรอยู่หรือ” ชายหนุ่มเลียนแบบคำพูดของนักล่าค่าหัวในเขตตะวันออก
แต่ยนังคงไว้ซึ่งบรรยากาศเย็นชาและมาดดุดันของเกอร์มัน·สแปร์โรว์
คลีฟส์ตอบกลับเสียงเรียบ
“งานส่วนตัว… บังเอิญมีเหยื่อไม่คาดฝันผ่านมาพอดี ค่อนข้างคุ้มกับการลงทุนล่า”
ล่าเหยื่อ? ไคลน์เผยสีหน้าสนใจ
ชายหนุ่มเลือกใช้ชื่อ ‘เกอร์มัน’ เพราะเป็นชื่อของนักล่าคนแรกในเกมยอดนิยมจากโลกเก่า สอดคล้องกับเจตนารมณ์ต้องการล่าคนชั่วในท้องทะเล
ไคลน์ไม่รีบร้อนถามเข้าประเด็น เพียงใช้มือซ้ายซึ่งสวมยุบพองหิวโหย ชี้ไปยังเขตเงามืดห่างออกไปสิบกว่าเมตร
“งานส่วนตัว… แล้วทำไมถึงต้องทำต่อหน้าผู้ว่าจ้าง?”
ในท่านั่งยอง คลีฟส์ชำเลืองเด็กชายและเด็กหญิงพลางอธิบายด้วยน้ำเสียงไม่สั่นคลอน
“เซซิลไม่ทันระวังตัว จึงเผลอทำให้ดอนน่ากับแดนตันตื่น เธอไม่มีทางเลือกนอกจากต้องพาพวกเขามาด้วย”
เด็กสาวชื่อดอนน่าพลันฟุดฟิดจมูกเมื่อได้ยินชื่อของตนถูกเอ่ยถึง จากนั้น เธอเงยหน้ามองไคลน์และซักถาม
“ลุงก็เป็นนักผจญภัยเหมือนกันหรือคะ”
ลุง…?
ต่อให้เป็นตัวฉันบนโลกเก่าซึ่งมีอายุมากกว่านี้เล็กน้อย ก็ยังแก่กว่าเธอแค่สิบปีเท่านั้น! ไคลน์รำพัน
“ผิดแล้ว หนูจะใช้คำว่า ‘เหมือนกัน’ ไม่ได้ เพราะตอนนี้มีนักผจญภัยแค่ฉันคนเดียว ส่วนพวกเขาเป็นบอดี้การ์ด”
ชายหนุ่มหันไปกล่าวกับคลีฟส์
“สหาย เหยื่อของคุณเป็นตัวอะไร”
คลีฟส์มองลงไปยังทะเลอันกว้างใหญ่และถูกฉาบด้วยแสงจากจันทราสีแดง
“เมอร์ล็อกหนึ่งตัว”
เมอร์ล็อก? สัตว์วิเศษ!
ถึงจะมีระดับต่ำสุด แต่ก็ยังต้องใช้คนธรรมดาพอประมาณในการล่า อย่างน้อยห้าคนและหอกอีกห้าเล่ม…
ผิวหนังภายนอกของตัวเมอร์ล็อกนับว่าแข็งและเหนียว กระสุนปืนลูกโม่ทั่วไปแทบไม่สะกิดผิว อย่างน้อยก็ต้องปืนไรเฟิลขึ้นไป…
ไคลน์เลิกคิ้ว
“คุณคิดจะจัดการอย่างไร และมั่นใจได้ยังไงว่ามันมีแค่ตัวเดียว”
คลีฟส์ชี้ไปยังขอบเรือ
“ตรงนั้นมีรอยเมือกของเมอร์ล็อก ผมได้ยินมาจากลูกเรือว่า ราวหนึ่งถึงสองชั่วโมงก่อน มันพยายามปืนขึ้นมาบนเรือและทำร้ายผู้โดยสาร แต่เคราะห์ดี ช่วงดังกล่าวมีผู้คนพลุกพล่าน เวรยามรักษาความปลอดภัยจึงแน่นหนา”
ไคลน์เดินไปยังขอบเรือพลางชะโงกหน้าก้มมอง และได้เห็นคราบเมือกสีเขียวบนผิวด้านข้างลำเรือ
เมื่อชายหนุ่มหวนนึกถึงข้อมูลจากเอกสารลับของเหยี่ยวราตรีในทิงเก็น ผนวกกับรายละเอียดจากหนังสือแห่งความลับ จึงถามออกไปอย่างสนใจ
“ทำไมถึงมั่นใจว่ามีตัวเดียว ไม่ใช่ฝูง”
ไคลน์ไม่ลืมว่าตัวเมอร์ล็อกชอบอาศัยรวมกันเป็นฝูงใหญ่
“หากเป็นฝูงจริง ป่านนี้โมราขาวคงจมก้นทะเลไปนานแล้ว และเหนือสิ่งอื่นใด โบสถ์วายุสลาตันมักเก็บกวาดเมอร์ล็อกในเส้นทางการเดินเรือละแวกนี้เสมอ พวกเขาชอบล่าเมอร์ล็อกเป็นชีวิตจิตใจ”
คลีฟส์อธิบายอย่างใจเย็น
แน่สิ เพราะนั่นคงเป็นหนึ่งในวัตถุดิบหลักของโอสถลำดับ 9 ลูกเรือ…
ไคลน์ลูบไล้ปืนพกในกระเป๋าเสื้อพลางซักถามด้วยรอยยิ้ม
“โอกาสสำเร็จมีแค่ไหน?”
คลีฟส์ไม่ตอบ เพียงเปิดถุงกระดาษด้านข้างลำตัว ภายในมีเครื่องในหมูผสมวัวเปื้อนเลือดเจือจาง นี่คือต้นตอของกลิ่นคาวเลือดซึ่งไคลน์สัมผัสได้ก่อนหน้า
“ตัวเมอร์ล็อกชอบอาหารประเภทนี้มาก และไม่มีทางปฏิเสธความเย้ายวนได้เลย จริงอยู่ พวกมันอาจชื่นชอบเครื่องในมนุษย์มากกว่าสัตว์ แต่หลายตำนานบนท้องทะเลกล่าวไว้ว่า ขณะออกเดินทาง ให้เตรียมเครื่องในหมูหรือวัวไว้ในครัวเสมอ”
คลีฟส์อธิบายพลางโปรยผงบางอย่างลงไป บนเครื่องใน
“ผงพริกไทยจะทำให้ตัวเมอร์ล็อกรู้สึกเหมือนกับสูบกัญชา พวกมันจะสูญเสียการทรงตัวและสมดุลร่างกาย ฤทธิ์ดังกล่าวจะคงอยู่ราวหนึ่งนาที หลังจากนั้น ตัวเมอร์ล็อกจะอ่อนแรงลงเนื่องจากหัวใจเต้นถี่เกินไป”
ถัดมา คลีฟส์นำกล่องไม้ออกจากเสื้อและนำครีมปริศนาสีเขียวเข้มออกมาทาเคลือบคมสามง่าม กริช และมีดสั้น
“ครีมสะระแหน่ถือเป็นสารทดแทนความหวานยอดนิยมของชาวเมืองท่าพริสต์ แต่ในสายตาเมอร์ล็อก ครีมชนิดนี้ไม่ต่างอะไรกับยาพิษรุนแรง นอกจากนั้น ผมยังขอยืมไรเฟิลมาจากกะลาสี และทำข้อตกลงกันว่า ห้ามมิให้ใครเข้ามารบกวนบริเวณนี้เป็นเวลายี่สิบนาที จริงอยู่ ผมอาจต้องจ่ายเงินไปพอสมควร แต่ผลตอบแทนกลับมาจะไม่ต่ำกว่าสิบเท่า หากโชคดีอาจได้มากถึงสามสิบเท่า”
สมกับเป็นนักผจญภัยมากประสบการณ์… ทราบจุดอ่อนและธรรมชาติของเหยื่อเป็นอย่างดี… แค่ได้ฟังคำอธิบาย เราก็เชื่อทันทีว่าการล่าครั้งนี้มีโอกาสสำเร็จสูง โดยไม่ต้องมีผู้วิเศษเข้าร่วมเลยก็ตาม…
และในความเป็นจริง หากสู้กันด้วยกับดักและอาวุธปืน ผู้วิเศษลำดับต่ำจะมิได้เก่งไปกว่าคนปรกติมากนัก… มีหลายคนต้องจบชีวิตลงในการดวลปืนธรรมดา…
อย่างไรก็ตาม ตัวเมอร์ล็อกมีผิวหนังหนาและแข็ง คล้ายกับสวมชุดเกราะเต็มอัตราศึกตลอดเวลา การฆ่าให้ตายไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่เหมือนกับการทำให้บาดเจ็บ เหยื่อมีโอกาสหลบหนีสำเร็จค่อนข้างสูง…
ไคลน์ซักถามด้วยความใคร่รู้
“คุณคงเคยล่าพวกมันมามากสินะ”
“การเข้าใจธรรมชาติของสัตว์ทะเลถือเป็นเงื่อนไขพื้นฐานของนักผจญภัย” คลีฟส์มิได้หลงระเริงไปกับคำชม เพียงกล่าวเสียงขรึมด้วยสีหน้าปรกติ
ขณะทั้งสองกำลังสนทนา เด็กหญิงดอนน่าและเด็กชายแดนตัน กำลังนั่งหลบเงามืดและตั้งใจฟังอย่างตื่นเต้น สำหรับพวกเขา สิ่งเหล่านี้น่าสนใจยิ่งกว่าของเล่นใดในโลก
นั่นสินะ เราเองก็ต้องเพิ่มพูนความรู้เกี่ยวกับสัตว์ทะเลไว้บ้าง…
ไคลน์ยิ้มรับ
“อย่างนี้นี่เอง ว่าแต่… ผมมารบกวนคุณรึเปล่า?”
คลีฟส์นำเครื่องในบางส่วนเกี่ยวไว้กับเบ็ด
“ถ้าอยากช่วย ก็ช่วยดูแลดอนน่ากับแดนตันให้ที เซซิลจะได้ไม่เสียสมาธิ”
……………………