สีหน้าของสมาชิกตระกูลหนิงทุกคนที่ยืนอยู่บนพื้นดินเหยเกมากขึ้นเรื่อย ๆ เดิมทีพวกเขามั่นใจว่าหนิงหม่านโหลวจะสั่งสอนคนทั้งสี่ได้อย่างง่ายดาย ไม่คิดเลยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะพลิกผันจากที่คิดไว้อย่างสิ้นเชิง
ความแข็งแกร่งของหนิงหม่านโหลวจัดอยู่ในสิบอันดับแรกของทั้งตระกูลหนิง ในขณะที่ผู้แข็งแกร่งที่สุดในฝ่ายของฉินอวี้โม่อยู่เพียงขอบเขตเทพยุทธ์สี่ดาราเท่านั้น
สำหรับพลังในขอบเขตเทพยุทธ์ แม้ห่างกันเพียงระดับเดียว มันก็ถือว่าเป็นช่องว่างความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ คิดไม่ถึงเลยว่าฉินอวี้โม่และสหายทั้งสามจะทำลายสามัญสำนึกและความเข้าใจเหล่านั้นไปอย่างสิ้นเชิง
“ทั้งสี่คนนี้มาจากที่ใดกันแน่ ?”
ทุกคนอดกระซิบกระซาบกันไม่ได้ พวกเขาสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของจอมยุทธ์แปลกหน้าทั้งสี่คนอย่างที่สุด
น่าเสียดายที่ไม่มีผู้ใดที่แห่งนี้ทราบถึงตัวตนของพวกนาง หากฉินอวี้โม่ปรากฏตัวด้วยรูปลักษณ์ที่แท้จริง หนิงยวี่ย่วนก็จะจดจำนางได้ในทันที ทว่าในเมื่อตอนนี้ฉินอวี้โม่ใช้โอสถแปลงกาย แล้วคุณหนูจอมโอหังผู้นี้จะทราบได้อย่างไร ?
ต่อให้คนเหล่านี้จะคิดจนสมองระเบิดออกมา พวกเขาก็ไม่มีทางคาดเดาได้ว่าฉินอวี้โม่และสหายมาจากดินแดนมหาเทพ
พวกเขาจะคิดเพียงว่าพวกนางเป็นคนของดินแดนในระดับสูงกว่าหรือไม่ก็เป็นจอมยุทธ์ลับที่เก็บตัวฝึกวิชาโดยที่ไม่เคยเปิดเผยตัวมาก่อน…
บนอากาศ หนิงหม่านโหลวก็ปล่อยการโจมตีอีกครั้งเพื่อทำให้คู่ต่อสู้ทั้งสี่กระเด็นถอยออกไป
“หยุดเถอะ หยุดการต่อสู้เพียงเท่านี้…”
เขาโบกมือไปมาและลอยลงสู่พื้นดินด้วยสีหน้าที่จนปัญญา
“ท่านลุงสาม…”
เมื่อเห็นว่าหนิงหม่านโหลวเป็นฝ่ายขอยุติการต่อสู้ หนิงยวี่ย่วนก็กล่าวแทรกขึ้นมาทันทีทว่าถูกอีกฝ่ายยกมือปรามไว้ก่อนที่จะได้กล่าวสิ่งใดต่อ
“ย่วนเอ๋อร์ ขอโทษทั้งสี่คนเดี๋ยวนี้”
สีหน้าของเขาดูจริงจังและน้ำเสียงก็หนักแน่นเป็นอย่างยิ่งโดยที่ไม่เปิดโอกาสให้หนิงยวี่ย่วนได้คัดค้าน
หนิงหม่านโหลวมิใช่คนโง่เขลาและการต่อสู้กับทั้งสี่คนทำให้เขาหวาดหวั่นต่อความแข็งแกร่งของคนเหล่านี้มากยิ่งขึ้น เนื่องจากคาดเดาว่าพวกนางอาจมีขุมกำลังทรงพลังสักแห่งคอยหนุนหลังอยู่และเป็นขุมกำลังที่เหนือชั้นเกินกว่าที่ตระกูลหนิงจะเทียบชั้นได้ เขาจึงต้องการคลี่คลายสถานการณ์นี้ก่อนที่มันจะสายเกินแก้ไข
ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็เป็นความผิดของหนิงยวี่ย่วนและเขาไม่ต้องการให้ผู้คนทั้งตระกูลหนิงต้องเผชิญกับความเสี่ยงเพียงเพราะนางคนเดียว
“ท่านลุงสาม ท่านต้องการให้ข้าขอโทษคนพวกนี้รึเจ้าคะ ?”
หนิงยวี่ย่วนกล่าวด้วยสีหน้าที่ไม่อยากเชื่อหูตัวเอง เห็นได้ชัดว่านางเป็นฝ่ายบาดเจ็บและเผชิญความอัปยศอดสู แล้วเหตุใดนางจึงต้องขอโทษคณะของฉินอวี้โม่ !
“มันเป็นความผิดของเจ้าตั้งแต่ต้น เพราะเหตุนั้น เจ้าควรที่จะขอโทษสหายน้อยทั้งสี่นี้ ย่วนเอ๋อร์…ข้าพร่ำบอกเจ้ามาตลอดว่าเจ้าจะต้องหัดควบคุมอารมณ์ของตนเองและทำตัวสงบเสงี่ยมเข้าไว้ หากในอนาคตข้างหน้าเจ้าไปท้าทายคนที่ไม่ควรท้าทายเข้า เกรงว่ามันจะส่งผลกระทบต่อเราทั้งหมดและตระกูลหนิงอาจล่มสลายไปเพราะเจ้า !”
ทัศนคติของหนิงหม่านโหลวในตอนนี้ชัดเจนและหนักแน่นอย่างยิ่งขณะกล่าวเตือนหนิงยวี่ย่วนด้วยน้ำเสียงจริงจังอย่างที่พบเห็นได้ยาก
“ข้า…”
หนิงยวี่ย่วนพูดไม่ออกไปทันทีและตวัดสายตามองไปที่ฉินอวี้โม่ด้วยแววตาเขม็ง การที่ต้องการให้นางขอโทษคนเหล่านี้ นางมิอาจทำใจยอมรับได้
“ไม่จำเป็นต้องขอโทษหรอก ทว่าในอนาคตข้างหน้าหวังว่าตระกูลหนิงจะไม่มาหาเรื่องกวนใจเราอีก ครานี้ข้าทิ้งไว้เพียงรอยแผลบนใบหน้า ทว่าคราต่อไป…ข้าอาจจะฆ่านางด้วยมือตัวเองก็เป็นได้”
ฉินอวี้โม่โบกมือปัดอย่างไม่แยแสนักพลางคิดในใจว่าหนิงหม่านโหลวผู้นี้ชาญฉลาดอย่างแท้จริง เขาตัดสินใจเลือกทางออกที่ดีที่สุดอย่างรวดเร็ว ไม่แปลกใจเลยที่ตระกูลหนิงจะกลายเป็นขุมกำลังระดับสองของโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้
หากคนตระกูลหนิงทุกคนมีบุคลิกนิสัยเหมือนกับหนิงยวี่ย่วน การที่ต้องการจะกลายเป็นขุมกำลังระดับสองคงเป็นได้เพียงเรื่องเพ้อฝัน
“ไม่ต้องห่วง ข้าจะอบรมสั่งสอนนางเองและจะไม่ปล่อยให้นางก่อเรื่องวุ่นวายอีกต่อไป”
หนิงหม่านโหลวพยักศีรษะและอดเอ่ยถามไม่ได้ “ว่าแต่…สหายน้อยทั้งหลายเป็นใครมาจากที่ใดกัน ไม่ทราบว่าสะดวกใจที่จะเปิดเผยหรือไม่ ?”
เขามั่นใจแล้วว่าขุมกำลังที่อยู่เบื้องหลังฉินอวี้โม่และสหายจะต้องทรงพลังมากอย่างแน่นอน ต่อให้พวกนางกล่าวว่ามิใช่ใครที่โดดเด่นเป็นพิเศษ หนิงหม่านโหลวก็ไม่มีทางเชื่ออย่างแน่นอน
“ฮ่า ๆ ๆ ท่านจะได้รู้เมื่อถึงเวลา”
ฉินอวี้โม่หัวเราะเบา ๆ ครานี้นางไม่กล่าวว่าพวกตนเป็นบุคคลไร้ชื่อไร้สังกัดอีกต่อไป หากแต่กล่าววาจาที่ฟังดูลึกลับน่าค้นหามากยิ่งขึ้น
“ท่านจอมยุทธ์ ขอบคุณมากเจ้าค่ะที่แสดงตัวปกป้องพวกเราเมื่อครู่”
นางไม่สนใจคนตระกูลหนิงอีกต่อไปขณะเดินเข้าไปหาไป๋เสี่ยวหลงและกล่าวพลางประกบกำปั้นคำนับอย่างนอบน้อม
“ฮ่า ๆ ๆ ไม่ต้องสุภาพกันนักหรอกสหายตัวน้อยทั้งหลาย ข้าเพียงรู้สึกไม่ถูกชะตากับตระกูลหนิงเท่าใดนัก ข้าไม่ได้ตั้งใจมาช่วยพวกเจ้าเป็นพิเศษ พวกเจ้าไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก”
ไป๋เสี่ยวหลงกล่าวพร้อมรอยยิ้มกว้างแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนที่เป็นมิตรและเข้าถึงได้ง่าย
“สหายน้อยเอ๋ย พวกเจ้าน่าจะทราบถึงเรื่องซากปรักหักพังของต้นไม้โลกแล้ว ไม่ทราบว่าสนใจที่จะร่วมมือกับพวกเราเพื่อสำรวจมันรึไม่ ? ไม่ต้องกังวลล่ะ หากพบสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ พวกเจ้ามีสิทธิ์ตัดสินใจเลือกได้ก่อน ตระกูลไป๋ของเราจะไม่กดขี่ข่มเหงหรือแย่งสิ่งใดไปจากพวกเจ้าหรอก”
เขากล่าวต่อและเชื้อเชิญคณะของฉินอวี้โม่อย่างตรงไปตรงมา สิ่งที่ไป๋เสี่ยวหลงยินดีมากที่สุดก็คือการได้เห็นตระกูลหนิงพ่ายแพ้และเผชิญกับความอัปยศอดสู
ยิ่งไปกว่านั้น พรสวรรค์ของฉินอวี้โม่และฝีมือการต่อสู้อันยอดเยี่ยมที่คนทั้งสี่แสดงออกมาก็ล้วนน่าชื่นชมทั้งสิ้น การผูกมิตรต่อกันจะเป็นผลดีสำหรับตระกูลไป๋อย่างแน่นอน ในภายภาคหน้า เขาอาจได้พึ่งพาอาศัยคนเหล่านี้ ต่อให้ทราบภายหลังว่าฉินอวี้โม่และสหายเป็นเพียงจอมยุทธ์ธรรมดา ๆ ที่ไม่มีรากฐานแข็งแกร่ง พรสวรรค์ของพวกนางเพียงอย่างเดียวก็คู่ควรแก่การผูกมิตรสร้างไมตรีแล้ว
“นั่นเป็นความคิดที่ดีเจ้าค่ะ บังเอิญว่าพวกเราเองก็ไม่ทราบข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก พวกเรายินดีร่วมมือกับตระกูลไป๋เจ้าค่ะ”
ทั้งสี่สบตาด้วยความเข้าใจตรงกันและไม่ปฏิเสธคำเชิญชวนของอีกฝ่าย
“เหอะ คิดว่าการที่พึ่งพาคนพวกนี้แล้วจะเอาชนะตระกูลหนิงของเราได้งั้นรึ ? ฝันไปเถอะ!”
หนิงยวี่ย่วนอดกล่าวด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยไม่ได้
“พ่ายแพ้ไปอย่างน่าอนาถแท้ ๆ ทว่ายังกล้ากล่าวเช่นนี้อีกรึ ? ข้าขอเตือนเจ้าไว้ก่อน หากยังพูดจาไม่เข้าหูอีกละก็…จะไม่มีใครในตระกูลหนิงของเจ้าที่จะได้เข้าไปสำรวจในซากปรักหักพังนั่นอีก !”
อวิ๋นซื่อเทียนยกกำปั้นไปในทิศทางของหนิงยวี่ย่วนและกล่าวด้วยน้ำเสียงข่มขู่
หนิงยวี่ย่วนอ้าปากค้างและใบหน้าแดงก่ำด้วยความเดือดดาลทว่าพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว
“ไปกันเถอะ สหายน้อยทั้งสี่ กลับไปที่เมืองฝู่ฮว๋ากันเถอะ ข้าขอเชิญทุกคนไปจิบน้ำชาร่วมกัน”
ไป๋เสี่ยวหลงเมินเฉยต่อคนตระกูลหนิงทั้งหมดและกล่าวกับฉินอวี้โม่พร้อมรอยยิ้ม
ฉินอวี้โม่และทั้งสามก็พยักศีรษะก่อนตามคณะคนตระกูลไป๋กลับไปในเมืองฝู่ฮว๋า
“ท่านลุงสาม เราจะปล่อยผ่านไปเช่นนี้จริง ๆ รึเจ้าคะ ?”
หนิงยวี่ย่วนกล่าวด้วยสีหน้าไม่พอใจขณะมองดูแผ่นหลังของหลายคนที่เดินจากไป
“ย่วนเอ๋อร์ ระงับอารมณ์เสียบ้างเถอะ บิดาของเจ้าและพวกเราตระกูลหนิงไม่สามารถปกป้องเจ้าได้ตลอดเวลา หากเจ้าสร้างความขุ่นเคืองใจกับคนที่ไม่ควร ตระกูลหนิงของเราอาจจะรับมือกับผลลัพธ์ที่ตามมาไม่ได้ !”
หนิงหม่านโหลวกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง หากมิใช่เพราะความบาดหมางของหนิงยวี่ย่วนกับฉินอวี้โม่ก่อนหน้านี้ พวกเขาชาวตระกูลหนิงก็คงมีโอกาสผูกมิตรกับจอมยุทธ์มากฝีมือทั้งสี่ ด้วยความแข็งแกร่งอันน่าสะพรึงกลัวเช่นนั้น ในไม่ช้าก็เร็วพวกนางจะต้องกลายเป็นจอมยุทธ์อันดับต้น ๆ ของโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อย่างแน่นอน และการสร้างไมตรีที่ดีกับพวกนางจะเป็นผลดีต่อตระกูลหนิงอย่างมาก
น่าเสียดายที่ทั้งหมดนั้นจะไม่มีทางเกิดขึ้นเพราะหนิงยวี่ย่วนเพียงผู้เดียว
อย่างไรก็ตาม หนิงยวี่ย่วนเป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลหนิงและผู้คนทั้งตระกูลก็ประคบประหงมเอาใจนางมาตลอด แม้หนิงหม่านโหลวเสียดายในโอกาสที่พลาดไป เขาก็เพียงกล่าวเตือนหนิงยวี่ย่วนและไม่คิดที่จะลงโทษใด ๆ กับนาง
“ข้าจะจดจำไว้เจ้าค่ะ”
หนิงยวี่ย่วนพยักศีรษะทว่าประกายความมุ่งร้ายฉายวาบในแววตา ข้าไม่มีวันลืมเรื่องนี้แน่และจะหาทางเอาคืนให้ได้ ! ในเมื่อหนิงหม่านโหลวไม่ช่วยสะสางความแค้นนี้ นางก็จะกลับไปหาบิดาของตน ไม่ว่าอย่างไรฉินอวี้โม่ก็ต้องชดใช้อย่างแน่นอน…
ภายในเมืองฝู่ฮว๋า ไป๋เสี่ยวหลงและคณะของฉินอวี้โม่ตรงไปยังภัตตาคารที่ดีที่สุดของเมืองและนั่งจิบน้ำชาร่วมกัน จากนั้นไป๋เสี่ยวหลงก็เริ่มอธิบายข้อมูลเกี่ยวกับซากปรักหักพังของต้นไม้โลกให้พวกนางได้ทราบ