ผู้ที่อยู่หน้าสุดของกลุ่มคือบุรุษหนุ่มที่มีอายุอยู่ในช่วงยี่สิบปีซึ่งมีรูปลักษณ์โดดเด่นและมีความแข็งแกร่งในขอบเขตเทพยุทธ์สี่ดาราเป็นอย่างต่ำ สีหน้าแววตาของเขาแสดงถึงความทะนงตนอย่างที่สุดประหนึ่งทุกคนรอบตัวไม่อยู่ในสายตาแม้แต่น้อย และเขาคือคนที่เอ่ยถามฉินอวี้โม่ด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันนั้น
“คงมิใช่หรอก หนิงหม่านโหลวคงจะออมมือให้พวกนางเป็นแน่”
ฉินอวี้โม่และสหายทั้งสามเพียงชำเลืองมองและเพิกเฉยต่ออีกฝ่ายโดยไม่คิดที่จะสนใจหรือตอบคำถามด้วยซ้ำ
แม้ไม่ทราบถึงตัวตนของบุรุษหนุ่มผู้นี้ ท่าทางอวดดีและยโสโอหังของเขาก็ทำให้ฉินอวี้โม่รู้สึกหงุดหงิดใจพอสมควร
“นายน้อยผู้นี้กำลังเอ่ยถามพวกเจ้า หูหนวกรึไง ?!”
เมื่อเห็นว่าทั้งสี่เพิกเฉยต่อเขาไปโดยสมบูรณ์ สีหน้าของบุรุษผู้นั้นก็เริ่มบิดเบี้ยวด้วยความโมโห
เขาเป็นถึงอัจฉริยะในห้าอันดับแรกของตระกูลเยี่ยและเป็นหัวหน้าคณะตระกูลเยี่ยที่เดินทางมาสำรวจซากปรักหักพังในครานี้ แม้แต่ผู้อาวุโสหลายคนในตระกูลก็ยังต้องไว้หน้าเขา ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงสมาชิกจากขุมกำลังเล็ก ๆ เหล่านี้เลย
การที่ฉินอวี้โม่และสหายเมินเฉยต่อเขาเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกว่าตนเองกำลังถูกหยามเกียรติอย่างไม่น่าให้อภัยและทนอยู่เฉยไม่ได้อีก
ในที่แห่งนี้ก็มีผู้คนจากเมืองเซิ่งหลิงอยู่เป็นจำนวนมาก หากเรื่องที่ตัวเขาถูกคนธรรมดาเมินเฉยอย่างไม่ไว้หน้าเช่นนี้แพร่งพรายไปถึงเมืองเซิ่งหลิง เกรงว่าเขาจะกลายเป็นที่หัวเราะเยาะของผู้คนในเมืองอย่างแน่นอนและนั่นเป็นสิ่งที่เขามิอาจทนรับได้
“นี่เขากำลังพูดกับเรารึ ?”
อวิ๋นซื่อเทียนเสแสร้งทำสีหน้างุนงงและเอ่ยถาม
“ข้าก็ไม่ทราบ ข้าเห็นเขาเชิดหน้ามองฟ้าตลอดเวลา ข้าจึงคิดไปว่าเขาอาจกำลังคุยอยู่กับวิหคตัวใดอยู่”
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะและกล่าวตอบ แม้คาดเดาตัวตนของบุรุษผู้นี้ได้แล้ว นางก็ไม่รู้สึกหวาดหวั่นแม้แต่น้อย
“รนหาที่ตายเสียแล้ว !”
สีหน้าของเยี่ยซีกลายเป็นเย็นชาและแผ่แรงกดดันออกไปกดข่มกลุ่มของฉินอวี้โม่ทันที
สมาชิกตระกูลเยี่ยคนอื่น ๆ ด้านหลังเยี่ยซีก็จ้องหน้าฉินอวี้โม่และสหายด้วยแววตาเขม็งเช่นกันซึ่งเป็นการกระทำที่ดูเผด็จการมาก
“เหอะ คนตระกูลเยี่ยทำตัวไร้เหตุผลเช่นนี้กันหมดรึ ?”
ฉินอวี้โม่ไม่รู้สึกถูกชะตากับคนตระกูลเยี่ยแม้แต่น้อยและการกระทำของเยี่ยซีทำให้นางไม่สบอารมณ์อย่างแท้จริง หากคนของตระกูลเยี่ยมีลักษณะนิสัยกันเช่นนี้ เกรงว่าสถานการณ์ของศิษย์พี่ของนางอาจจะไม่ราบรื่นเท่าใดนัก
“เหอะ พวกมดปลวกย่อมมีความคิดแบบมดปลวกเป็นธรรมดา เพียงเอาชนะคนที่ไม่มีฝีมือก็วางท่ามั่นใจเสียเหลือเกิน ! หากอยู่ในตระกูลเยี่ยของเรา พวกเจ้าไม่มีทางอยู่ในสายตาใครด้วยซ้ำ !”
เยี่ยซีแค่นเสียงเบา ๆ และกล่าววาจาดูแคลนอย่างชัดเจน เขาไม่เห็นฉินอวี้โม่และสหายอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย
“ฮ่า ๆ ๆ ทุกคนมาที่นี่ก็เพื่อสำรวจซากปรักหักพัง เหตุใดจะต้องทะเลาะกันที่นี่ด้วยเล่า ? การที่จะสะสางปัญหาเหล่านี้ในตอนที่ออกจากซากปรักหักพังก็ยังถือว่าไม่สายเกินไป”
บุรุษวัยกลางคนคนหนึ่งก้าวเข้ามาและกล่าวอย่างกระตือรือร้นเพื่อพยายามคลี่คลายสถานการณ์นี้
บุรุษผู้นี้คือเฉินฉวิน—เจ้าเมืองฝู่ฮว๋าและคาดว่าเป็นจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งมากที่สุดในบรรดาทุกคนที่รวมตัวกันที่หน้าประตูเมืองในตอนนี้ แม้เมืองฝู่ฮว๋าเป็นเพียงเมืองระดับสอง ในฐานะเจ้าเมือง เฉินฉวินก็มีสถานะที่สูงพอสมควรและเยี่ยซียังต้องไว้หน้าเขา
“ถูกต้อง ซากปรักหักพังใกล้ที่จะปรากฏเต็มที อย่ามัวทะเลาะกันอยู่ที่นี่เลย รีบไปดูกันก่อนเถอะ”
คนอื่น ๆ กล่าวอย่างเห็นด้วยก่อนหลายคนที่นิ่งเงียบก่อนหน้านี้เริ่มกระจายตัวกันไปรอบ ๆ
“พวกเจ้าจงภาวนามิให้พบกับพวกเราตระกูลเยี่ยข้างในซากปรักหักพังเถอะ !”
เยี่ยซีกล่าววาจาข่มขู่ทิ้งท้ายก่อนนำทางคนตระกูลเยี่ยมุ่งหน้าออกไป
ฉินอวี้โม่และสหายมองหน้ากันเล็กน้อยและพวกนางก็มีความคิดเช่นเดียวกัน เยี่ยซีควรภาวนามิให้พบกับพวกนางข้างในซากปรักหักพัง…
เมื่อคณะคนตระกูลเยี่ยเดินจากไป ไป๋เสี่ยวหลงก็เดินเข้ามาทันที
“สหายน้อยทั้งหลาย ข้าต้องขอโทษด้วย พวกเราตระกูลไป๋ยังประจันหน้ากับตระกูลเยี่ยไม่ได้ในตอนนี้”
เมื่อครู่เขาเพียงยืนดูอยู่ด้านหลังฝูงชนโดยที่ไม่ได้ออกมาปกป้องฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่สังเกตเห็นว่าเขากล่าวบางอย่างกับเจ้าเมืองเฉินฉวินก่อนที่เจ้าเมืองผู้นั้นจะเข้ามาคลี่คลายสถานการณ์ด้วยตัวเอง…
ถึงอย่างไรไป๋เสี่ยวหลงก็เป็นตัวแทนของคนทั้งตระกูลไป๋และตอนนี้พวกเขายังมิใช่คู่มือของตระกูลเยี่ยอย่างแท้จริง การที่เขาเลือกไม่แสดงจุดยืนในตอนนี้ถือเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดแล้ว
“ผู้นำไป๋ไม่ต้องขอโทษหรอกเจ้าค่ะ เราเพียงร่วมมือกันเป็นการชั่วคราว ผู้นำไป๋ไม่ควรนำทั้งตระกูลมาเสี่ยงเพียงเพราะเรื่องของพวกเรา”
นางกล่าวพร้อมรอยยิ้มและไม่ปล่อยให้เรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อการร่วมมือระหว่างพวกตน
“ขอบคุณมากที่เข้าใจข้า”
ไป๋เสี่ยวหลงถอนหายใจด้วยความโล่งอกเบา ๆ และไม่กังวลอีกต่อไป
“สหายน้อยทั้งหลาย สำหรับคนตระกูลเยี่ยที่มาเยือนเมืองฝู่ฮว๋าครานี้ แม้คนเหล่านั้นจะเป็นเพียงตระกูลสาขา พวกเขาก็มีความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดา คนที่สาดวาจาตอบโต้กับพวกเจ้าเมื่อครู่คือเยี่ยซี—บุตรชายของผู้อาวุโสรองและจัดเป็นคนรุ่นเยาว์ฝีมือดีในห้าอันดับแรกของตระกูล รวมถึงยังเป็นสมาชิกที่ตระกูลเยี่ยให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง แม้สหายน้อยทั้งหลายจะแข็งแกร่งกันมาก ทว่าพวกเจ้าก็ไม่มีโอกาสเอาชนะตระกูลเยี่ยได้แน่ เพราะฉะนั้นตอนนี้พวกเจ้าควรระวังตัวและอย่าเพิ่งยั่วยุพวกเขาจะดีกว่า”
เขาอดกล่าวกำชับกับคนทั้งสี่ไม่ได้และเตือนมิให้พวกนางมีเรื่องกับคนของตระกูลเยี่ยในตอนนี้
“ขอบคุณผู้นำไป๋ที่เตือนพวกเราเจ้าค่ะ เราจะจดจำให้ขึ้นใจ”
ฉินอวี้โม่และสหายกล่าวขอบคุณไป๋เสี่ยวหลงทว่ามีแผนการอื่นเตรียมไว้ในใจแล้ว ในกรณีที่บังเอิญพบกับเยี่ยซีและพวกในซากปรักหักพังจริง หากคนเหล่านั้นไม่ทำสิ่งใด พวกนางก็จะไม่เริ่มก่อน อย่างไรก็ตาม หากอีกฝ่ายเปิดฉากโจมตี พวกนางก็จะไม่ยั้งมือเช่นกัน
จากนั้น กลุ่มของฉินอวี้โม่ซึ่งรวมตัวกับคนตระกูลไป๋ก็ออกเดินมุ่งหน้าไปยังทิศทางของซากปรักหักพัง
ครานี้ซากปรักหักพังของต้นไม้โลกจะปรากฏในผืนป่านอกเมืองฝู่ฮว๋าโดยที่ไม่มีผู้ใดทราบว่ามันจะปรากฏในรูปแบบใด
หลังจากเดินเท้าเป็นเวลาหนึ่งก้านธูป ทุกคนก็มาหยุดตรงหน้าผืนป่าแห่งหนึ่ง
ผืนป่าแห่งนี้ไม่เขียวชอุ่มนักทว่ามีสภาวะพลังที่อุดมสมบูรณ์และหนาแน่นมาก อีกทั้งยังมีพลังงานชีวิตที่แกร่งกล้าซึ่งทำให้ทุกคนในที่แห่งนี้รู้สึกสบายเนื้อสบายตัว
“มันคือซากปรักหักพังของต้นไม้โลกจริง ๆ !”
ภายในคฤหาสน์เฟิงหัว เมล็ดพันธุ์ต้นไม้โลกมีปฏิกิริยาอย่างชัดเจนราวกับสัมผัสได้ถึงแรงดึงดูดบางอย่าง เวลานี้แสงสีเขียวเป็นประกายส่องสว่างออกมาจากตัวมันซึ่งเมื่อฉินอวี้โม่เดินต่อไปข้างหน้า แสงดังกล่าวก็สว่างมากขึ้นเรื่อย ๆ
“ดูเหมือนว่าเมล็ดพันธุ์ต้นไม้โลกจะพบทางเข้าของซากปรักหักพัง”
ซิวกล่าวสิ่งที่คาดเดาออกไป
ฉินอวี้โม่เข้าใจเช่นเดียวกัน ทว่าไม่รีบร้อนนำเมล็ดพันธ์ุดังกล่าวออกมาขณะติดตามคนของตระกูลไป๋ตรงเข้าไปในผืนป่า
ภายในผืนป่า ทุกคนเดินเข้ามาและรวมตัวกันในจุดหนึ่งซึ่งมีคนตระกูลเยี่ยอยู่ด้านหน้าสุดและขุมกำลังระดับสองอื่น ๆ รวมกลุ่มถัดกันไป
“ซากปรักหักพังจะปรากฏในไม่ช้า เรามาตกลงเงื่อนไขในการเข้าไปข้างในกันก่อนเถอะ”
เยี่ยซีกล่าวด้วยวาจาที่ทำให้หลายคนไม่พอใจทันที
“อะไรกัน ? มิใช่ว่าทุกคนสามารถเข้าไปสำรวจในซากปรักหักพังอย่างนั้นหรือ ?”
จอมยุทธ์อิสระคนหนึ่งเอ่ยถามด้วยความสงสัยทันทีและไม่เข้าใจความหมายของเยี่ยซีแม้แต่น้อย
“ฮ่า ๆ ๆ จำนวนคนที่ซากปรักหักพังจะรองรับได้นั้นมีจำกัด หากเรากรูกันเข้าไปมากจนเกินไปก็ไม่อาจทราบได้เลยว่าจะเกิดผลลัพธ์อย่างไรขึ้นมา เพราะเหตุนั้น ข้าขอเสนอว่าผู้ที่มีพลังต่ำกว่าขอบเขตเทพยุทธ์ไม่ควรเข้าไปหาความตายข้างในนั้น”
เยี่ยซียิ้มอย่างเย้ยหยันและมองตรงไปที่ฉินอวี้โม่ เห็นได้ชัดว่าเขาจ้องที่จะเล่นงานนาง
“ถูกต้อง ถึงอย่างไรต่อให้จะเข้าไปข้างในได้ ผู้ที่มีพลังต่ำกว่าขอบเขตเทพยุทธ์ก็อาจจะต้องตายอยู่ข้างใน เพราะฉะนั้นจึงควรอยู่ข้างนอกนี้จะดีกว่า”
ใครอีกคนกล่าวเสริมและสนับสนุนข้อเสนอของเยี่ยซีขณะชำเลืองมองไปที่ฉินอวี้โม่เช่นกัน
.
.