ได้ยินคำพูดของหลัวอวี้เฉิง มั่วชิงเฉินพลันรู้สึกดีใจ ฉีกเศษผ้าออกจากชุด ห่อน้ำค้างคืนเซียนอย่างระมัดระวัง
ทั้งสองคนถึงได้บินขึ้นไปอีกครั้ง
“สหายหลัว ท่านรู้สึกว่าที่นี่ไม่เหมือนแต่ก่อนหรือไม่” มองไปรอบๆ แล้วมั่วชิงเฉินพลันเอ่ยขึ้น
หลัวอวี้เฉิงมองทัศนียภาพรอบๆ แล้วพลันมองเห็นสิ่งที่ไม่เหมือนเดิม “อสูรลวงตาเหล่านั้นหายไปแล้ว”
เพราะว่าขาดอสูรลวงตาไป สายตาจึงมองได้กว้างไกลขึ้น มองเห็นทัศนียภาพที่กว้างไกลยิ่งกว่าเดิม แม้แต่ท้องฟ้าที่ว่างเปล่าก็สะอาดสะอ้านขึ้นมาก ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องที่ควรสบายใจ ไม่รู้เพราะเหตุใด จากปฏิภาณไหวพริบของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด ทั้งสองล้วนรู้สึกไม่สบายใจอยู่ลึกๆ
มักจะรู้สึกว่าความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ แฝงไปด้วยอันตราย
สิ่งที่เรียกว่าเจี้ยจื่อรับซวีหมี แดนว่างเปล่าเช่นนี้มีขอบเขตหรือไม่กันแน่ ผู้ใดก็ตัดสินมิได้ หากอยากหาคนอื่นในความว่างเปล่านี้เกรงว่าคงไม่ใช่เรื่องเพียงชั่วข้ามคืน
โชคดีที่ทั้งสองบินได้ ยืนอยู่บนที่สูงพลางทอดสายตามองไกลออกไป บินไปหาตามทางนี้จะรวดเร็วมาก
แม้กระทั่งบินไปครึ่งปีเต็มๆ ก็ยังคงไม่พบเงาร่างคนอื่นๆ
มั่วชิงเฉินและหลัวอวี้เฉิงล้วนเป็นคนจิตใจแน่วแน่ ผู้ใดก็ไม่มีทางหมดกำลังใจ อดทนต่อทัศนียภาพที่ซ้ำซากวันแล้ววันเล่า พลางค้นหาต่อไป
วันหนึ่งบินจนเหนื่อยก็ร่อนลงมาพักเท้า หลัวอวี้เฉิงดึงใบไม้ใบใหญ่มาบดบังใบหน้า
มั่วชิงเฉินเห็นท่าทางก็เลียนแบบ ทั้งสองก็พิงก้อนหินพลางพูดคุยหยอกล้อกัน คลายความรู้สึกขาดชีวิตชีวาไป
มั่วชิงเฉินกำลังพูดถึงประสบการณ์การเป็นคนขายสุราในเมืองเทียนเหยา หัวใจก็เต้นระรัวขึ้นมา
เมื่อไม่ได้ยินเสียงเล่าต่อ หลัวอวี้เฉิงดึงใบไม้ที่ปิดหน้าลงมา “เป็นอะไรหรือ”
“ศิษย์พี่!” มั่วชิงเฉินลุกขึ้นยืน ไม่สนใจอะไรอีกพลางวิ่งออกไป
หลัวอวี้เฉิงพลันตกตะลึง หยัดกายลุกขึ้นอย่างสง่างาม แล้วบินขึ้นไป
ยืนอยู่บนที่สูงพลางมองไปทางที่มั่วชิงเฉินวิ่งไป มองเห็นหมอกจางๆ อยู่ไกลลิบๆ
หลัวอวี้เฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย “สหายมั่ว เจ้าบินขึ้นมาก็จะเห็นแล้ว”
มั่วชิงเฉินบินขึ้นมากลางอากาศ มองเห็นทัศนียภาพที่ไกลออกไปก็ขมวดคิ้ว “เป็นเวลาหนึ่งปีเต็มๆ พวกเราไม่พบกับอสูรลวงตาใดๆ ทางนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น แย่แล้ว พวกศิษย์พี่จะต้องพบกับเรื่องยุ่งยากแน่!”
เอ่ยจบก็ร่อนลงมาทันที แล้วสาวเท้าออกวิ่ง
แม้ว่ากินผลตัวเบาเข้าไปแล้วจะบินได้อย่างอิสระ แต่กลับมีข้อบกพร่อง ความเร็วมันเชื่องช้ามาก ไม่สู้การวิ่งเต็มกำลังของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด มั่วชิงเฉินที่กำลังร้อนใจย่อมไม่คิดจะใช้วิธีนี้
รอจนเข้าใกล้ ในที่สุดก็มองเห็นในหมอกล้อมรอบมีเงาขนาดยักษ์สูงเสียดฟ้า เยี่ยเทียนหยวน มั่วเฟยเยียน และยังมีเจ้าปีศาจกำลังทำการโจมตีและหลบหลีกกันไปมา
เมื่อพบการทะเลาะวิวาท มั่วชิงเฉินที่เป็นคนใจกล้ามาตลอด อีกทั้งสมบัติเจ้าชะตาของนางธนูเขียวซ่อนเร้นก็เชี่ยวชาญการโจมตีระยะไกล จากความคุ้นชินในเวลาสองสามปีที่ผ่านมาก็ใช้ได้อย่างคล่องมือแล้ว
เงายักษ์และพวกเยี่ยเทียนหยวนกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด และไม่ได้สนใจการมาถึงของมั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินยืนอยู่รอบนอก พิจารณาทุกอย่างอย่างละเอียด ก็พบว่าสถานการณ์วุ่นวายกว่าที่นางจินตนาการเอาไว้
ที่แท้ไม่ใช่เยี่ยเทียนหยวนและเจ้าปีศาจร่วมมือกันต่อกรกับเงายักษ์อย่างที่นางคิด แต่เป็นสามฝั่งทำการโจมตีและป้องกันตัวกันไปมา
ฝั่งของเยี่ยเทียนหยวนมีมั่วเฟยเยียน และยังมีเครื่องมือสังหารอย่างวิญญาณอัคคี เจ้าปีศาจมีร่างกายที่แข็งแกร่ง เงายักษ์ดูแล้วเหมือนพวกที่หายตัวไปอย่างอสูรลวงตา แต่แค่ขนาดร่างกายและกำลังเหนือกว่าหลายเท่า ทั้งสามฝ่ายกำลังยืนเป็นรูปสามเหลี่ยม
สถานการณ์เช่นนี้ หากฝั่งหนึ่งผ่อนแรง ความสมดุลก็จะถูกทำลายทันที
ยามนี้หลัวอวี้เฉิงร่อนลงมาอย่างเงียบๆ ในมือมีแส้ยาวที่สร้างขึ้นจากเถาวัลย์เส้นหนึ่ง
เถาวัลย์นี้สร้างขึ้นตามเหตุผลของการเกื้อกูและปฏิปักษ์ บางทีสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างว่างเปล่าที่ดูเหมือนของธรรมดาๆ ไม่แน่ว่าอาจจะทำร้ายอสูรลวงตาได้ก็เป็นได้
แน่นอนว่าเป็นแค่การคาดเดาของหลัวอวี้เฉิง ทว่าเขาเทียบกับขาที่แข็งแกร่งของมั่วชิงเฉินไม่ได้ ต่อให้แส้ยาวนี้จะไม่มีประโยชน์แค่ไหนก็แข็งแกร่งกว่ากำปั้นเปล่าๆ มาก
ใช้คำพูดของมั่วชิงเฉิน หากพบกับอสูรลวงตาแล้วใช้แส้นี้จัดการกับมันไม่ได้ อย่างน้อยก็ยังวิ่งหนีทัน…
สายตาของมั่วชิงเฉินกวาดไปทางเงายักษ์และเจ้าปีศาจลั่วเฟิง ใช้นิ้วชี้เจ้าปีศาจ
หลัวอวี้เฉิงเข้าใจความหมาย พลางพยักหน้า
มั่วชิงเฉินไม่ลังเลอีก พลางบินขึ้นไป ร่างกายหมุนวนกลางอากาศ อาศัยพลังของเท้าขวาที่ถีบออกไปอย่างแรง ถีบไปที่ก้นของเจ้าปีศาจ
และแทบจะในเวลาเดียวกันนั้น หลัวอวี้เฉิงก็กระโจนออกมา แส้เถาวัลย์ยาวสะบัดไปกลางอากาศ เสียงแหลมสูงแหวกอากาศดังขึ้น เสียงปังดังขึ้นโจมตีไปที่เงาร่างยักษ์
ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันนั้น ทำให้เจ้าปีศาจร้องโหยหวนออกมา ร่างทั้งร่างบินออกไป
แม้ว่าเงาร่างยักษ์จะไม่อาจส่งเสียงใด แต่กลับมีฝีมือเหมือนต่อกรกับปีศาจอสูรอยู่ รู้ว่าศัตรูมีผู้ช่วยมาถึง คาดไม่ถึงว่าจะออกวิ่ง กลิ้งหลุนๆ กลายเป็นกลุ่มควัน
เจ้าปีศาจลั่วเฟิงที่ได้สติ เพิ่งจะร่อนลงสู่พื้น ก็ไม่เสียเวลาจะหันกลับมามองแม้แต่น้อย ใช้สองมือตบไปบนพื้น แล้วหมุนตัวยืนขึ้นอย่างปลาหลี่กระโดด และหนีเตลิดไป
มาถึงจุดที่ไกลลิบ ถึงได้หันกลับมามอง เห็นมั่วชิงเฉินและพวกทั้งสองคนก็เผยแววตาหวาดกลัวออกมา
ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ
เยี่ยเทียนหยวนจ้องมั่วชิงเฉินอย่างตกตะลึง
มั่วเฟยเยียนยืนอยู่ไม่ไกลนัก เห็นสถานการณ์ทั้งหมด ก็ไม่ได้เอ่ยทักทายมั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินเองก็มองเยี่ยเทียนหยวนอย่างฉงน รอแล้วรอเล่า เห็นคนยังไม่เข้ามา ตนก็เดินเข้าไป กระโจนเข้าไปหาอ้อมอกของอีกฝ่ายแล้ววดึงเสื้อของเขา “ศิษย์พี่ ได้สติได้แล้ว”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงของมั่วชิงเฉิน เยี่ยเทียนหยวนก็สะดุ้งตื่น กอดนางเอาไว้แน่น แต่กลับไม่ได้พูดอะไรออกมาสักประโยคเดียว
มั่วชิงเฉินเองก็ไม่ขยับ ปล่อยให้เขากอด แค่รู้สึกว่ายามที่รสจูบของเขากำลังจะสัมผัสลงมา ถึงได้ดิ้นรนแล้วเอ่ยว่า “ศิษย์พี่ ท่านและพี่เก้ามาสู้กับเจ้าปีศาจได้อย่างไร และยังมีเงายักษ์เมื่อครู่อีก นี่มันเรื่องอะไรกัน”
เยี่ยเทียนหยวนถึงได้นึกออกว่ายังมีมั่วเฟยเยียนอยู่ จึงมีสีหน้าแดงระเรื่อ เล่าให้ฟังรอบหนึ่ง
ที่แท้ตอนที่ถูกห้วงมิติกลืนกินมาตอนแรก เขาและมั่วเฟยเยียนตกลงมาพร้อมกัน ยามนั้นทั้งสองคนล้วนได้รับบาดเจ็บ และไม่อาจใช้พลังวิญญาณได้ ยังดีที่มีวิญญาณอัคคีคุ้มครอง จึงตามหาคนอื่นๆ ได้อย่างไม่เป็นอันตราย อาการบาดเจ็บจึงค่อยๆ ดีขึ้นอย่างช้าๆ
แต่น่าเสียดายที่เวลาหลายสิบปีผ่านไป ก็ยังไม่พบเงาร่างของคนอื่นๆ แต่กลับรู้สึกว่าหากสังหารอสูรลวงตา ไอหมอกที่ลอยอยู่รอบๆ ก็จะค่อยๆ ลดน้อยลง
ในที่สุดหลังจากที่สังหารอสูรลวงตากลุ่มหนึ่ง หมอกควันก็ปรากฏขึ้น มีอสูรลวงตาตัวใหญ่ยักษ์เดินออกมา
ต่อสู้กันอย่างดุเดือด ถึงได้บาดเจ็บทั้งสองฝ่ายและต่างฝ่ายต่างหนีไป
ต่อมาอสูรลวงตาดูเหมือนว่าจะมายุ่งย่ามกับพวกเขา บางครั้งก็มาปรากฏตัวและทำการต่อสู้ พละกำลังก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เยี่ยเทียนหยวนปล่อยวิญญาณอัคคีออกมาตรวจสอบ ถึงได้รู้สึกว่าอสูรลวงตาตัวนี้จะกลืนกินอสูรลวงตาตัวอื่นเป็นอาหาร
พวกเขาจึงค่อยๆ ตกเป็นรองอย่างช้าๆ จนพละกำลังเพิ่มขึ้นมหาศาล
หากไม่ใช่เพราะครั้งนี้บังเอิญพบกับเจ้าปีศาจช่วยต่อสู้ จนกลายเป็นสามฝ่ายนั้น ไม่แน่ว่าพวกเขาก็อาจจะเพลี้ยงพล้ำด้วยเงื้อมมือของอสูรลวงตาไปตั้งนานแล้ว
“ศิษย์น้อง ที่ผ่านมาเจ้าอยู่ที่ใด อยู่คนเดียวมาตลอดหรือ” เยี่ยเทียนหยวนเอ่ยจบ ก็จ้องไปยังมั่วชิงเฉินนิ่ง
มั่วชิงเฉินชี้ไปด้านข้างอย่างจนปัญญา “ศิษย์พี่ ข้าอยู่กับสหายหลัว ได้รับบาดเจ็บจนตกเขาไปพร้อมกัน และหมดสติจนถึงตอนนี้ถึงได้ตื่นขึ้นมา”
สายตาของเยี่ยเทียนหยวนตกอยู่ที่ด้านข้าง แล้วตกตะลึงเล็กน้อย “สหายหลัวก็อยู่!”
หลัวอวี้เฉิงมีสีหน้าดำคล้ำ
มั่วชิงเฉินมุมปากกระตุก ตาทึ่มนี่ นางรู้ว่าหากไม่พูด ก็ไม่รู้ว่าเขาจะเห็นคนอื่นตอนไหน
เยี่ยเทียนหยวนเองก็รู้ตัวว่าตัวเองไร้มารยาท จึงรีบร้อนเอ่ยว่า “สหายหลัวอย่าแปลกใจเลย ลั่วหยางเห็นศิษย์น้อง ยามนั้นจึงตื่นเต้นไปหน่อย ที่ผ่านมาศิษย์น้องต้องรบกวนให้สหายหลัวดูแลแล้ว ลั่วหยางขอบพระคุณมาก”
หลัวอวี้เฉิงเอ่ยอย่างไม่สมอารมณ์ “ลั่วหยางเจินจวินเกรงใจแล้ว อวี้เฉิงมีร่างกายอ่อนแอ กลับเป็นสหายมั่วที่ดูแลข้าน้อยมากกว่า”
โตมาขนาดนี้ถูกผู้อื่นมองข้ามไป เขาเพิ่งเคยโดนเป็นครั้งแรก ยามนี้พออ้าปากก็เอ่ยวาจาอย่างชั่วร้าย
เยี่ยเทียนหยวนรู้สึกอิจฉาอย่างแปลกประหลาดในใจ จับแขนมั่วชิงเฉินแน่น ยังคงเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงใจดังเก่า “สหายหลัวเป็นสหายสนิทของศิษย์น้อง ศิษย์น้องมีพละกำลังมาก ดูแลมากกว่าก็เป็นสิ่งที่สมควร…”
เอ่ยไปได้ครึ่งหนึ่ง ก็ถูกสายตามาดร้ายของหลัวอวี้เฉิงและมั่วชิงเฉินส่งมาพร้อมกัน
ข้าโมโหจะตายอยู่แล้วๆ ทารกปราณในจุดตันเถียนของหลัวอวี้เฉิงพลันร้องคำราม เอียงศีรษะอย่างรุนแรง
มั่วชิงเฉินก็กัดฟัน ดึงเยี่ยเทียนหยวนไปในจุดที่ไกลออกไป หรี่ตาแล้วเอ่ยว่า “ศิษย์พี่ ข้ามีพละกำลังมากหรือ”
เยี่ยเทียนหยวนงุนงง ฉับพลันนั้นก็จำได้ว่าถังมู่เฉินเคยสอนมาว่า หญิงสาวเกลียดการที่คนอื่นบอกว่านางมีพละกำลังมาก ทางที่ดีที่สุดคือต้องชมนางว่าอ่อนโยนนุ่มนวล ร่างกายอรชนอ้อนแอ้นบอบบาง
แต่ศิษย์น้องเคยกล่าวว่า นางเกลียดผู้ชายกะล่อนไม่จริงใจมากที่สุด…
เยี่ยเทียนหยวนรู้สึกกลัดกลุ้ม ไม่ได้เจอกันนานก็ไม่อยากให้ศิษย์น้องโมโห จึงลังเลเล็กน้อย แล้วเอ่ยว่า “ศิษย์พี่ผิดเอง ศิษย์น้องแรงไม่เยอะเลยสักนิด ต่อให้ตีข้าก็เหมือนแค่คันๆ…”
จากนั้นก็เอ่ยสับทับอีกประโยคหนึ่ง “ขอแค่ศิษย์น้องไม่ใช้เท้าขวา…”
มั่วชิงเฉินยิ่งมีสีหน้าดำคล้ำ “ศิษย์พี่ ไม่พบกันเสียนาน ต้องการจะให้ข้าโกรธจนขาดใจหรือ”
“ศิษย์น้อง!” เยี่ยเทียนหยวนเม้มปาก แววตาเผยแววลำบากใจออกมา
เมื่อประสานสายตากับเขา มั่วชิงเฉินก็ใจอ่อนทันที เอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “คนโง่”
เมื่อเห็นแววตาอ่อนโยนของนาง เยี่ยเทียนหยวนถึงได้เผยรอยยิ้มดุจน้ำค้างแข็งออกมา
เยี่ยเทียนหยวนและมั่วเฟยเยียนเดินเท้าอยู่ในแดนว่างเปล่านี้มาด้วยกันหลายสิบปี ความเข้าใจย่อมมาากว่าพวกมั่วชิงเฉินทั้งสองคนมาก
เยี่ยเทียนหยวนเดินไปพลางเอ่ยไปพลาง “ตอนที่พวกเราเริ่มตามหาพวกเจ้า มันก็ว่างใหญ่ไร้ขอบเขต ต่อมาทำอย่างไรก็หาไม่พบ ก็ตั้งใจว่าจะเลือกทางหนึ่งเดินลงไป สุดท้ายก็พบว่ามันกลับมาที่เดิม ดังนั้นจากการคาดเดาของข้า แดนว่างเปล่านี้อาจจะเป็นรูปทรงกลม แต่แค่ไม่รู้ว่าพวกเราอยู่ด้านนอกลูกทรงกลมหรือว่าด้านในกันแน่”
มั่วชิงเฉินแววตากะพริบวาบ มองเยี่ยเทียนหยวนด้วยแววตาเปล่งประกาย
นางคิดไม่ถึงว่าเยี่ยเทียนหยวนจะคาดเดาเช่นนี้ ถึงอย่างไรเสียเขาก็มีชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์ ผู้บำเพ็ญเพียรที่พบกับสถานการณ์เช่นนี้มักจะคาดเดากันว่าพบกับค่ายกลธรรมชาติประหลาดหรือแดนลวงตาอะไรเช่นนี้ แต่เขากลับกระโดดออกจากจุดนี้ และมีสัญชาตญาณเหนือกว่าผู้อื่น
หลัวอวี้เฉิงได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนหยวนก็หยุดลงเล็กน้อย ใช้ปลายเท้าวาดเป็นลวดลายแล้วเอ่ยว่า “หากเป็นอย่างที่ลั่วหยางเจินจวินกล่าวจริงๆ พวกเราอยากจะออกไปจากแดนว่างเปล่า อาศัยเพียงการเดินย่อมออกไปไม่ได้ มีเพียงต้องทะลวงออกไป เพียงแต่จะทะลวงจากด้านในไปด้านนอก หรือจากด้านนอกไปด้านในกันล่ะ”
มั่วชิงเฉินชี้ไปกลางอากาศ “นั่นไม่ยากหรอก พวกเราบินขึ้นไป ดูว่าไอว่างเปล่าเกิดขึ้นจากด้านบนหรือว่าไอว่างเปล่าเกิดขึ้นที่ผิวดิน หากด้านล่างเยอะด้านบนเบาบาง เช่นนั้นก็อยู่ด้านนอก หากด้านล่างเบาบางด้านบนหนาแน่น ก็คืออยู่ด้านใน ด้านนอกทำลายท้องฟ้า ด้านในทำลายพื้นดิน แต่แค่แดนว่างเปล่าทรงกลมนี้ สมดุลที่สุด จะตามหาจุดทะลวงได้อย่างไร ข้าเกรงว่าจะเป็นปัญหาใหญ่ที่สุด และยังมีพี่สิบที่ยังไม่รู้เบาะแส นั่นเป็นเรื่องที่เร่งด่วนมาก”