หนึ่งร้อยหกสิบเอ็ด
ประกาศผลสอบ
ความจริงแล้วเสวี่ยเจียเยว่คิดเกินเลยไปเอง ที่เสวี่ยหยวนจิ้งบอกว่าคืนนี้ให้เธอนอนกับเขา ไม่ได้มีความหมายแอบแฝงอย่างที่เธอคิด
และเป็นเพราะเสวี่ยหยวนจิ้งเหนื่อยมาหลายวันแล้ว เขาจึงกอดเด็กสาวเอาไว้พร้อมกับก้มลงจูบแก้มขาวเนียน จากนั้นก็เอ่ยขึ้น
“นอนเถอะ”
เมื่อกล่าวจบเขาก็หลับตาลง และไม่นานนักเสวี่ยเจียเยว่ก็ได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอเบาๆ
เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกงุนงง ความกระวนกระวายและตื่นเต้นเมื่อครู่นี้หายไปแล้ว
ชั่วขณะนั้นเธออยากจะเอื้อมมือไปปลุกเสวี่ยหยวนจิ้งให้ตื่นขึ้นมา แล้วถามเขาว่านี่มันหมายความว่าอย่างไรกันแน่
แต่เมื่อเห็นใต้ตาของเขาดำคล้ำอย่างชัดเจน อีกทั้งใบหน้ายังเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า เสวี่ยเจียเยว่ก็ทำเช่นนั้นไม่ได้ จึงหลับตาทั้งสองข้างลง และค่อยๆ จมสู่ห้วงนิทรา
เช้าวันต่อมา เสวี่ยเจียเยว่ตื่นขึ้นเพราะจูบของเสวี่ยหยวนจิ้ง เมื่อลืมตาขึ้นมาก็เห็นใบหน้าอันหล่อเหลาของชายหนุ่มอยู่ตรงหน้า
เมื่อเห็นว่าเสวี่ยเจียเยว่ตื่นแล้ว เสวี่ยหยวนจิ้งก็ก้มลงจูบเด็กสาวอีก และเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ตื่นแล้วหรือ”
คนที่เพิ่งตื่น น้ำเสียงจึงดูแปลกไปเล็กน้อย ทั้งยังแฝงไปด้วยความเกียจคร้าน แต่เมื่อรวมกันแล้ว น้ำเสียงของเสวี่ยหยวนจิ้งก็มีเสน่ห์และน่าดึงดูดใจ
ยิ่งตอนนี้คอเสื้อของเขาเปิดออก เผยให้เห็นอกขาวเนียน…
แก้มของเสวี่ยเจียเยว่แดงก่ำ ไม่กล้าจ้องไปที่เขาจึงเบนสายตามองไปที่อื่น แล้วส่งเสียงในลำคอเบาๆ
เสวี่ยหยวนจิ้งยิ้มบาง เมื่อเห็นพวงแก้มทั้งสองข้างของเด็กสาวแดงเช่นนั้น
จากนั้นชายหนุ่มก็เลิกผ้าห่มออกแล้วลุกขึ้นจากเตียง ยื่นมือไปหยิบเสื้อตัวนอกที่แขวนไว้ข้างๆ ก่อนจะสวมโดยไม่ได้ทำสิ่งใดกับเสวี่ยเจียเยว่อีก
เมื่อจู่ๆ ข้างกายของเธอว่างเปล่า เสวี่ยเจียเยว่ก็บอกตัวเองไม่ได้ว่าที่ตนถอนหายใจนั้นเป็นเพราะโล่งอกหรือผิดหวังกันแน่
เดิมทีเสวี่ยเจียเยว่เตรียมใจเอาไว้แล้ว แต่เมื่อคืนเสวี่ยหยวนจิ้งกลับไม่แตะต้องเธอไปมากกว่าการกอด เธอจึงนึกว่าเขาคงเหนื่อยล้าจากการสอบ คิดว่าตอนเช้าหลังจากเขาได้พักผ่อนเพียงพอ ชายหนุ่มจะต้องแตะเนื้อต้องตัวเธอมากกว่าเมื่อคืนอย่างแน่นอน
เมื่อครู่ตอนที่ถูกเขาจูบจนตื่น หัวใจของเธอเต้นระรัวราวกับมีกวางน้อยวิ่งอยู่ด้านใน แต่ใครจะคิดว่าหลังจากนั้นเขาจะลุกขึ้นจากเตียงไป…
เธอเงยหน้ามองเสวี่ยหยวนจิ้งแวบหนึ่ง ก็เห็นว่าเขากำลังผูกสายรัดเอวเสื้อคลุมยาวสีฟ้าตัวนั้น มองจากด้านหลังยิ่งเห็นบ่ากว้างเอวแคบของเขาได้ชัดยิ่งขึ้น
หัวใจของเสวี่ยเจียเยว่ยิ่งเต้นเร็วขึ้นทุกขณะ เธอรีบดึงสายตาของตนกลับมา แล้วยกมือขึ้นเกาใบหน้าอย่างไม่รู้ตัว
เมื่อก่อนเสวี่ยหยวนจิ้งเคยพยายามจะกระทำเรื่องที่สามีภรรยาเขาทำกันกับเธออยู่หลายครั้ง ทุกครั้งล้วนเป็นเธอที่หวาดกลัว ร้องไห้สะอึกสะอื้น ชายหนุ่มถึงได้ปล่อยเธอไปอย่างไม่เต็มใจ ตอนนี้กว่าเธอจะทำใจนอนบนเตียงกับเขาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เขากลับไม่แตะต้องเธออย่างที่คิด…
เสวี่ยเจียเยว่ไม่เข้าใจจริงๆ เสวี่ยหยวนจิ้งเหมือนกับหมาป่าที่กำลังจะกินเนื้อสัตว์ แต่จู่ๆ กลับวางเนื้อชิ้นนั้นลง ไม่ยอมกินมัน แล้วหันไปกินหญ้าแทน นี่คือปัญหาของหมาป่าหรือเนื้อกันแน่
เสวี่ยเจียเยว่เงยหน้าขึ้นเงียบๆ อีกครั้งอย่างอดไม่ได้ ก่อนจะแอบมองเสวี่ยหยวนจิ้ง และบังเอิญสบกับดวงตาเป็นประกายของเขาพอดี
“เจ้าไม่ลุกจากเตียงหรือ หรือว่าต้องให้ข้าแต่งตัวให้เจ้าก่อนถึงจะลุกขึ้นได้”
“ข้าลุกเองได้” เสวี่ยเจียเยว่ได้แต่อดทนต่อคำถามในใจ เธอลุกขึ้นนั่ง เลิกผ้าห่มออกช้าๆ แล้วลงจากเตียงเดินไปหยิบเสื้อตัวนอกที่แขวนอยู่ข้างผนัง
เสวี่ยเจียเยว่สวมเสื้อสีรากบัวไว้ข้างใน แม้ว่ามันจะหลวม แต่ก็ยังมองเห็นเอวบางได้ ราวกับสามารถจับได้เพียงฝ่ามือเดียว หน้าอกก็นูนขึ้นเล็กน้อย เสวี่ยหยวนจิ้งรู้ดีว่ามันจะนุ่มเพียงใดหากได้บีบเคล้น…
เมื่อวานเขาเหนื่อยมากจริงๆ เมื่อปิดเปลือกตาลงจึงหลับไปในทันที เมื่อตื่นขึ้นมาก็เห็นเด็กสาวน่ารักที่อยู่ในใจของเขากำลังนอนอยู่ในอ้อมกอด แก้มสองข้างขาวเนียนและมีสีชมพูระเรื่อ เสียงลมหายใจเป็นจังหวะสม่ำเสมอเบาๆ หัวใจของเขาจะไม่กระสับกระส่ายได้อย่างไร เขาย่อมปรารถนาในตัวเสวี่ยเจียเยว่ แต่สุดท้ายก็ควบคุมตัวเองไว้ได้
ตอนที่ลงชื่อในหนังสือสมรสนั้น เขาสัญญากับเด็กสาวไว้ว่า ต้องรอให้การสอบต่อหน้าพระที่นั่งผ่านพ้นไปแล้ว พวกเขาถึงจะจัดพิธีแต่งงานกัน ยามนี้เขาจึงทำอะไรมากไม่ได้
เสวี่ยหยวนจิ้งรู้สึกกระวนกระวายใจมากยิ่งขึ้น และไม่กล้ามองเสวี่ยเจียเยว่อีก เขาหันหน้าไปมองต้นไม้ด้านนอกหน้าต่าง ปากก็เอ่ยขึ้นมา
“เจ้าแต่งตัวเถอะ ข้าจะไปทำอาหารเช้ามาให้”
เมื่อกล่าวจบเขาก็เดินออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว
เสวี่ยเจียเยว่มองแผ่นหลังของเสวี่ยหยวนจิ้งที่เดินออกไปท่ามกลางแสงแดดซึ่งส่องเข้ามาทางหน้าต่าง เธอรู้สึกว่าหัวใจของตนไม่ค่อยสงบเท่าไรนัก
เมื่อก่อนเสวี่ยหยวนจิ้งมักจะรบเร้าให้เธอจูบเขา บางครั้งเธอก็รู้สึกรำคาญอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อตอนนี้เขาไม่รบเร้าแล้ว ในใจของเสวี่ยเจียเยว่กลับรู้สึกกระวนกระวาย ราวกับชายหนุ่มไม่ได้ชอบเธอเหมือนเมื่อก่อน ในใจจึงยิ่งรู้สึกไม่สงบสุขนัก
เสวี่ยเจียเยว่เป็นคนที่ไม่สามารถปกปิดความคิดของตนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่ต่อหน้าเสวี่ยหยวนจิ้ง ขณะที่กินข้าวเช้า ชายหนุ่มจึงเห็นว่าเด็กสาวมีท่าทางกลัดกลุ้ม
เขาเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง “เจ้าเป็นอะไรไป”
เสวี่ยเจียเยว่ไม่ได้กล่าวคำใด เพียงเม้มปากเงยหน้าขึ้นมองเขา ดูเหมือนท่าทางของคนน้อยใจและน่าสงสารไม่น้อย
แต่เมื่อใดก็ตามที่เธอมีท่าทีเช่นนี้ เสวี่ยหยวนจิ้งจะทนไม่ได้ในทันที เรื่องทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับเสวี่ยเจียเยว่
ด้วยความร้อนใจ เขาจึงรีบเอ่ยถามต่อ “เยว่เอ๋อร์ เหตุใดเจ้าถึงดูไม่มีความสุขเลยเล่า บอกข้าได้หรือไม่ ข้าจะช่วยเจ้าแก้ไขเอง”
ที่เธอไม่มีความสุขก็เป็นเพราะเขาไม่ใช่หรือ… เสวี่ยเจียเยว่คิดเช่นนี้ แต่เธอเป็นคนหน้าบาง จะพูดตามที่ใจคิดให้เสวี่ยหยวนจิ้งฟังได้อย่างไร จึงได้แต่ก้มหน้าก้มตากินข้าวเงียบๆ ไม่พูดอะไรสักคำ
เสวี่ยหยวนจิ้งยิ่งร้อนรน เขาลุกขึ้นเดินไปกอดเสวี่ยเจียเยว่ และเอ่ยคำถามเดิมซ้ำไปซ้ำมา
เสวี่ยเจียเยว่ถูกซักไซ้จนทนไม่ไหว จึงต้องพูดเรื่องที่กังวลอยู่ในใจออกมา เสวี่ยหยวนจิ้งได้ฟังแล้วก็หัวเราะอย่างจนใจ จากนั้นเขาไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงจูบริมฝีปากแดงเรื่อของเธอ ขณะเดียวกันก็จับมือเธอล้วงเข้าไปในเสื้อของเขา ก่อนจะเลื่อนลงไปเบื้องล่าง
เสวี่ยเจียเยว่ตกใจจนสะดุ้งทันที ส่วนนั้นของชายหนุ่มร้อนราวกับจะเผาไหม้มือของเธอได้ อีกทั้งจับมือเดียวยังไม่พอ…
“เด็กโง่” เสวี่ยหยวนจิ้งเอ่ยด้วยเสียงแหบพร่า กัดคางอันขาวเนียนของเสวี่ยเจียเยว่ไม่เบาไม่แรงมาก จากนั้นก็พูดต่อ
“เหตุใดเจ้าถึงคิดเช่นนี้ ข้าตั้งใจจะรอให้เจ้าโตกว่านี้เพื่อลดความเจ็บปวดของเจ้าลง อีกทั้งตอนที่พวกเราลงชื่อในหนังสือสมรส ข้าก็สัญญากับเจ้าแล้วว่าจะรอจนกว่าข้าได้เข้ารับตำแหน่งขุนนางในราชสำนักค่อยพูดคุยกันอีกที ข้าพูดแล้ว จะไม่รักษาคำพูดได้อย่างไร”
เสวี่ยเจียเยว่ตกใจกับสัมผัสบนมือของเธอจริงๆ คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้จะน่าสะพรึงกว่าครั้งล่าสุดที่เธอได้สัมผัส ชั่วขณะนั้นเธอรู้สึกหวาดกลัวมากกว่าจะกล้าหาญเหมือนเมื่อวานนี้ ไหนเลยจะกล้าพูดถึงเรื่องนี้อีก ใบหน้าของเธอแดงก่ำ อยากจะหมุนตัวแล้ววิ่งหนีไป
แต่เธอถูกเสวี่ยหยวนจิ้งคว้าเอวบางเอาไว้อย่างรวดเร็ว แล้วกอดไว้ในอ้อมแขนอยู่นานถึงได้ปล่อย จากนั้นก็มองแผ่นหลังของเสวี่ยเจียเยว่ที่วิ่งกลับห้องไป ดวงตาของเขาเป็นประกายราวกับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ไม่รู้ว่าผลการสอบระดับเมืองหลวงจะเป็นเช่นไร แต่เขาเชื่อมั่นว่าตนต้องสอบผ่านอย่างแน่นอน หลังจากนี้ก็จะเป็นการสอบต่อหน้าพระที่นั่ง
เขาอยากให้วันนั้นมาถึงเร็วๆ เมื่อการสอบต่อหน้าพระที่นั่งผ่านพ้นไป เขาจะได้รับตำแหน่งขุนนาง เมื่อถึงตอนนั้นเขาจะได้แต่งงานกับเสวี่ยเจียเยว่ ไม่เช่นนั้นหากเป็นแบบนี้ต่อไป เขาต้องทนไม่ไหวอย่างแน่นอน
คืนนี้พวกเขาไม่ได้นอนที่ห้องเดียวกัน เสวี่ยหยวนจิ้งเป็นฝ่ายให้เสวี่ยเจียเยว่กลับไปนอนในห้องของเธอ เพราะตอนแรกเขามั่นใจในตัวเองว่าสามารถควบคุมจิตใจได้ แต่เมื่อเขาตื่นขึ้นมาเมื่อเช้านี้ ชายหนุ่มก็รู้ว่าการควบคุมตัวเองนั้นไร้ประโยชน์เมื่ออยู่ต่อหน้าเสวี่ยเจียเยว่ ดังนั้นก่อนที่พวกเขาจะแต่งงานกันจึงยังต้องแยกห้องนอนก่อนชั่วคราว
เสวี่ยเจียเยว่ตกใจกับสิ่งที่ได้จับในวันนี้เป็นอย่างมาก เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งพูดเช่นนั้น เธอจึงกลับมานอนในห้องของตัวเองทันที แต่เมื่อนอนลงบนเตียงก็พลิกไปพลิกมา รู้สึกกังวลกับชีวิตของตัวเองในภายภาคหน้า
เมื่อถึงกลางดึกฝนก็เริ่มตกลงกระทบหลังคาเรือนและสาดใส่หน้าต่างเสียงดังเปาะแปะ กระทั่งคนในเรือนได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้
เสวี่ยเจียเยว่ตื่นขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ และคิดว่ากลิ่นหอมอ่อนๆ ที่โชยมาคงเป็นกลิ่นดอกซิ่งที่อยู่ในลานเรือน
พอถึงตอนเช้าเธอจึงตั้งใจจะออกไปดูดอกซิ่งในลานเรือน พวกมันยังบานไม่เต็มที่ทั้งหมด แต่หลายดอกก็เริ่มบานไปแล้ว เผยให้เห็นเกสรสีเหลืองอ่อน หากเข้าไปใกล้ๆ ยังสามารถได้กลิ่นหอมเหมือนเมื่อคืนนี้
เวลาผ่านไปหลายวัน เมื่อดอกซิ่งในลานเรือนบานเต็มต้น ก็ถึงเวลาประกาศผลการสอบระดับเมืองหลวง
เพราะตอนที่ประกาศผลสอบเป็นช่วงเวลาที่ดอกซิ่งบาน ดังนั้นจึงเรียกว่า ‘ซิ่งปั่ง[1]’ หรือเรียกอย่างเป็นทางการว่า ‘ซิ่งปั่งเกาจง’
เสวี่ยหยวนจิ้งออกไปดูผลสอบตั้งแต่เช้าตรู่ ส่วนเสวี่ยเจียเยว่รออยู่ในเรือนด้วยใจที่กระสับกระส่าย บางครั้งก็จะไปยืนรออยู่หน้าประตูใหญ่พร้อมมองออกไปทางตรอก เพื่อดูว่าเขากลับมาหรือยัง
สุดท้ายก็ไม่เห็นเสวี่ยหยวนจิ้งกลับมา แต่กลับพบตันหงอี้แทน
ตระกูลของตันหงอี้นั้นร่ำรวยมาก เมื่อเขาต้องออกจากเรือนก็มีรถม้าพาออกไป พอเขาเลิกม่านบนรถม้าขึ้นก็เห็นเสวี่ยเจียเยว่ยืนอยู่หน้าประตูลานเรือน จึงลงจากรถม้าไปเอ่ยถาม
“เจ้ารอเสวี่ยหยวนจิ้งอยู่หรือ”
เสวี่ยเจียเยว่พยักหน้า “เขาออกไปดูผลสอบตั้งแต่เช้าแล้ว ยังไม่กลับมาเลย”
เธอรู้ว่าตันหงอี้เพิ่งกลับมาจากการดูผลสอบ แต่เขานั่งรถม้า ไม่ได้เดินเหมือนเสวี่ยหยวนจิ้งจึงกลับมาถึงเรือนเร็วกว่า ในใจเธออยากจะเอ่ยถามถึงคะแนนสอบของเสวี่ยหยวนจิ้ง ทว่าเกรงใจเกินกว่าจะเอ่ยถามออกมาได้จึงไม่ได้พูดอันใด
เมื่อตันหงอี้เห็นสีหน้าลังเลของเสวี่ยเจียเยว่ เขาก็เดาใจอีกฝ่ายออกทันที จึงกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ “วางใจเถอะ เสวี่ยหยวนจิ้งสอบผ่านแล้ว ทั้งยังสอบได้ตำแหน่งฮุ่ยหยวน[2]”
ฮุ่ยหยวน!
เสวี่ยเจียเยว่ดีใจมาก ชั่วขณะนั้นเธอมั่นใจว่าในการสอบต่อหน้าพระที่นั่งเสวี่ยหยวนจิ้งจะต้องได้อันดับสูงสุดที่เรียกว่า ‘จ้วงหยวน’ แน่นอน จากนั้นก็จะเริ่มเข้าสู่ตำแหน่งขุนนางอย่างเป็นทางการ ไม่แน่อาจจะก้าวเข้าสู่ตำแหน่งเสนาบดีในเวลาอันรวดเร็วก็เป็นได้
อันที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องได้ตำแหน่งเสนาบดีในเร็ววันก็ได้ เพราะได้เป็นขุนนางในราชสำนักก็นับว่าไม่เลวแล้ว เธอจะได้ทำอะไรกับที่ดินที่ซื้อไว้เสียที
หลังจากคิดเช่นนั้น เธอก็เอ่ยถามตันหงอี้ “เจ้าก็สอบผ่านเช่นกัน ใช่หรือไม่”
เธอรู้ว่าตันหงอี้เป็นคนฉลาด จึงเชื่อว่าเขาต้องสอบผ่านอย่างแน่นอน
ตันหงอี้เก็บรอยยิ้มกลับมา ก่อนจะเอ่ยตอบอีกฝ่าย “อือ ข้าสอบผ่าน ได้อันดับสอง”
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นที่ได้อันดับสองในการสอบคงดีใจมิใช่น้อย แต่ในใจของตันหงอี้กลับไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น
ตั้งแต่เสวี่ยหยวนจิ้งปรากฏตัว เขาก็ถูกกดให้เป็นรองมาโดยตลอด เพียงเรื่องการเล่าเรียนไม่พอ เขายังถูกกดให้เป็นรองในเรื่องของเสวี่ยเจียเยว่อีก…
ชายหนุ่มคิดว่าในชีวิตนี้เขาต้องชนะเสวี่ยหยวนจิ้งให้ได้สักครั้ง นี่คือสิ่งที่เขาปรารถนาที่จะทำให้สำเร็จ
[1] ช่วงเวลาประกาศผลสอบระดับเมืองหลวง เป็นช่วงเวลาที่ดอกซิ่งบานพอดี จึงเรียกว่า ซิ่งปั่ง
[2] คือตำแหน่งผู้ที่สอบได้อันดับหนึ่งของการสอบระดับเมืองหลวง