จินเฟยเหยาวนรอบเมืองวั่นเซียนสุ่ยก็ไม่พบเยวี่ยปู้ชิง
นางสอบถามถึงเกาะเล็กๆ ที่ตระกูลเยวี่ยอาศัยอยู่ ทว่าบริเวณนอกเกาะมีการป้องกัน ประตูใหญ่ก็มีองครักษ์เฝ้า นางเข้าไปไม่ได้ ไม่รู้ว่าเยวี่ยปู้ชิงอยู่ในบ้านหรือแล่นไปหานางคณิกาที่ใด อย่างไรเสียจินเฟยเหยาก็แสร้งทำเป็นว่ายน้ำในทะเลสาบ เช่าเรือปลาทองลำหนึ่งวนรอบเกาะตระกูลของเขาค่รึ่งวัน ก็ไม่เห็นเขาปรากฏตัว
นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ตัดสินใจกลับเกาะเสี่ยวสือ หาสถานที่ให้พวกเนี่ยนซีอยู่ก่อน
หลังกางวงเวทวิญญาณสิบสองปิศาจอีกครั้ง นางก็ไม่ได้ขับเคลื่อนหมอกขาวในการป้องกัน ทั้งยังให้เนี่ยนซีนั่งอยู่ในศาลาเหมือนเมื่อก่อน นางเตรียมล่อเยวี่ยปู้ชิงมา แล้วค่อยแอบกำจัดเขาทิ้ง
จัดการเกาะเสี่ยวสือเรียบร้อย เพื่อป้องกันหลังจากเยวี่ยปู้ชิงเห็นตนเองแล้วเกรงว่าเรื่องจะแดงจึงไม่กล้าเผยโฉม จินเฟยเหยาจึงซ่อนตัว นี่ก็เพื่อหลังจากสังหารคนแล้วตนเองจะได้ปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้อง
นางใช้ผ้าพันอก ปลอมตัวเป็นบุรุษ จากนั้นใช้เวทแปลงโฉมทำใบหน้าบุรุษให้ตนเอง จินเฟยเหยาซื้อเรือท่องเที่ยวเล็กๆ ลำหนึ่ง แล้วย้ายไปอยู่บนเรือท่องเที่ยว
ทุกวันนางจะตั้งเก้าอี้โยกไว้บนหัวเรือท่องเที่ยว นอนเอ้อระเหยอยู่บนนั้น ดื่มสุราโบกพัด ชื่นชมสาวงามของเกาะเสี่ยวสือ
จินเฟยเหยาอยู่ที่นี่ กินที่นี่ นอนที่นี่ บรรดาคุณชายเหล่านี้ได้ข่าวว่าเจ้าของเกาะไม่อยู่ ทั้งยังสามารถพบคนงามได้ ทุกคนก็กลับมา รอบเกาะเสี่ยวสือกลับคืนสู่ทัศนียภาพในอดีตอีกครั้ง มีเรือแล่นไปมาอย่างต่อเนื่อง มีเสียงหัวเราะเต็มทะเลสาบ
เยวี่ยปู้ชิงหน้าตาเป็นอย่างไร จินเฟยเหยาจำไม่ได้ แต่เรื่องนี้ไม่ต้องให้เขากังวลใจ บุคคลที่โดดเด่นและสง่างามอย่างเขา ขอเพียงปรากฏตัวขึ้นรอบเกาะเสี่ยวสือ ย่อมจะมีคุณชายเจ้าสำราญคนอื่นๆ ทักทายเป็นธรรมดา
เมืองวั่นเซียนสุ่ยยังคงห้ามต่อสู้กันเช่นเดิม ทว่าระหว่างเกาะแต่ละเกาะที่นี่มีการป้องกันแยกเป็นเดี่ยวๆ ขอเพียงมีผลกระทบไม่รุนแรง โดยพื้นฐานแล้วจะไม่มีใครมายุ่งเกี่ยว อีกอย่างคนที่นี่ไม่ชอบต่อสู้กัน การกระทบกระทั่งที่เกิดขึ้นในเมืองมีน้อยมาก โดยพื้นฐานแล้วไม่มีการต่อสู้กัน ยิ่งไม่มีคนใส่ใจว่ามีการต่อสู้กันหรือไม่
เนื่องจากพวกต้านิวกลับมา เสี่ยวหมางจึงมาส่งของเหมือนเดิม ศิลาวิญญาณที่ต้านิวมอบให้มากกว่าเมื่อก่อนเยอะ เรื่องราวเหมือนกลับไปเป็นเหมือนเมื่อหลายปีก่อน ยังมีผู้บำเพ็ญเซียนคิดจะบุกฝ่าเกาะเสี่ยวสือหลายครั้ง ทั้งหมดถูกวงเวทวิญญาณสิบสองปิศาจสกัดไว้
ไม่รู้ว่าเยวี่ยปู้ชิงไปที่ใด รออยู่หลายเดือนก็ไม่ปรากฏตัว เคยสอบถามได้ความมาว่า เขาไม่ได้ออกจากเมืองวั่นเซียนสุ่ยชัดๆ แต่ก็ไม่เห็นเขามาเกาะเสี่ยวสือ นอกเกาะตระกูลของเขาก็ไม่พบ อีกทั้งเนื่องจากพักอยู่นานเกินไป จินเฟยเหยาจึงถูกขับไล่ออกมาหลายครั้ง
เยวี่ยปู้ชิงมีธุระจริงๆ ที่จริงเขาไม่ได้อยู่ในเมืองวั่นเซียนสุ่ย ตอนเด็กๆ ถูกส่งมาฝึกบำเพ็ญที่สำนักลิ่วเหอ นี่คือกลับบ้านมาทำงาน อาจารย์ของเขาจะฉลองวันเกิดครบรอบสี่ร้อยปี เขาจึงกลับมาคิดจะหาของขวัญวันเกิดดีๆ สักชิ้น ข่าวเนี่ยนซีกลับมายังเกาะเสี่ยวสืออีกครั้ง เขารู้นานแล้ว เพียงแต่หาเวลาว่างไม่ได้ แต่เขาก็ส่งองครักษ์ไปเฝ้าไว้
ก่อนหน้านี้ใช้เวลาอยู่บนเกาะเสี่ยวสือทั้งวัน เพียงแค่ส่งผู้รับใช้ไปหาของขวัญ แต่ยังหาสิ่งของที่เหมาะสมไม่ได้มาตลอด คิดว่าอีกหนึ่งปีก็ต้องกลับสำนัก ยังไม่มีของขวัญ เยวี่ยปู้ชิงก็ร้อนใจ พาคนแล่นไปตามร้านและงานประมูลทั้งวัน คิดจะหาสิ่งของที่น่าเลื่อมใสสักชิ้น
น่าเสียดายทุกอย่างที่เขาหมายตาล้วนเป็นสิ่งของที่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสูงชื่นชอบ คนอื่นย่อมหมายตาด้วยเป็นธรรมดา แย่งชิงมาจากผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมเหล่านั้นไม่ได้เลย สิ่งที่เขาซื้อไหวก็ย่ำแย่เกินกว่าจะมอบให้อาจารย์ เรื่องนี้ทำให้เขาเป็นทุกข์
สุดท้ายก็หาพืชวิญญาณอายุแปดร้อยปีได้สองต้น ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เขาได้มา รอจนเขาจัดการธุระแต่ละอย่างเสร็จสิ้น ตอนปรากฏตัวขึ้นที่เกาะเสี่ยวสือก็เป็นเวลาอีกหนึ่งปีให้หลัง จินเฟยเหยารออยู่ข้างทะเลสาบนานจนอยากจะกินคนแล้ว
เยวี่ยปู้ชิงมาพร้อมแผนการ พรุ่งนี้เป็นวันกลับสำนัก เขาคิดจะฉวยโอกาสบุกเกาะเสี่ยวสือคืนนี้ พาคนงามไปสำนักลิ่วเหอด้วย
ข่าวที่คนของเขาส่งกลับไปบอกว่าหนึ่งปีมานี้ไม่เห็นจินเฟยเหยาปรากฏตัว อีกทั้งมองดูอยู่ไกลๆ เห็นห้องฝึกบำเพ็ญในตึกหลิงหลงบนเกาะเสี่ยวสือเปิดประตูไว้ ไม่มีใครฝึกบำเพ็ญอยู่ในนั้น
นึกถึงว่าสี่พี่น้องนักล่าเงินรางวัลก็ไม่ได้กลับมา เยวี่ยปู้ชิงจึงคาดเดาว่าถ้าจินเฟยเหยาไม่ตายในทะเลเปิดก็ต้องได้รับบาดเจ็บหนักซ่อนตัวรักษาบาดแผลอยู่ที่ใดสักแห่ง ดังนั้นจึงไม่กลับมา
ส่วนข่าวที่สอบถามได้จากเรือศิลาทะเล น่านน้ำที่พวกนางไปมีเผ่ามารปรากฏตัวขึ้น เป็นไปได้ว่าถูกเผ่ามารสังหารแล้ว
ดังนั้นคนงามรอไม่ไหวจึงพาสัตว์ภูติกลับมา ถ้าฉวยโอกาสพาคนไปตอนกลางคืน ต่อให้จินเฟยเหยากลับมาได้ นางก็ไม่กล้าเข้าไปทวงคนที่สำนักลิ่วเหอ
จินเฟยเหยาซ่อนตัวอยู่ในน้ำ เห็นเยวี่ยปู้ชิงฉวยโอกาสแอบมาที่เกาะเสี่ยวสือตอนกลางคืน ก็พอใจอย่างยิ่ง นับว่าไม่ให้นางรอเก้อ แต่มีเรื่องหนึ่งที่จินเฟยเหยาขบคิดไม่เข้าใจ คำนวณแล้วเนี่ยนซีน่าจะอายุสามสิบกว่าปีถึงสี่สิบปี เป็นหญิงชราแล้ว เยวี่ยปู้ชิงตาบอดหรือไม่ เหตุใดจึงคิดจะพานางกลับไป
แน่นอนว่าตัวนางเองรู้อายุของเนี่ยนซี แต่คนอื่นไม่รู้ บวกกับจินเฟยเหยาให้เนี่ยนซีกินยาคงรูปโฉม ใบหน้าจึงยังไม่แก่ชราสักนิด คำนวณดูก็เพิ่งไม่กี่ปี นึกว่าเนี่ยนซีเพิ่งอายุยี่สิบกว่าปี สำหรับผู้บำเพ็ญเซียนแล้ว ยังอ่อนนุ่มเหมือนต้นหอมเล็กๆ
ยามนี้เยวี่ยปู้ชิงยืนอยู่บนท่าเรือของเกาะเสี่ยวสือ เขาให้ลูกน้องไปกางวงเวททำลายการป้องกันอย่างลับๆ ล่อๆ ตนเองกลับยืนอยู่บนท่าเรือมองไปรอบด้าน ถึงอย่างไรก็กำลังทำเรื่องชั่ว ทั้งยังอยู่ในเมืองวั่นเซียนสุ่ยที่มีคนมากมายราวกับมด จึงทำให้เขารู้สึกตื่นเต้น
จินเฟยเหยาก็ไม่ได้อยู่ว่าง แปะยันต์ซ่อนกายแล้วขึ้นฝั่งอีกด้านของเกาะ จากนั้นยืนอยู่บนเกาะอย่างมีมาด มองพวกเขากำลังเล่นบ้าๆ
แน่นอนว่าจะให้พวกเขาทำลายการป้องกันจริงๆ ไม่ได้ แบบนั้นความเคลื่อนไหวดังเกินไป นางไม่คิดจะยั่วโทสะคน เห็นพวกเขากางวงเวททำลายการป้องกันเสร็จ จากนั้นตอนเริ่มขับเคลื่อนวงเวท จินเฟยเหยาก็ควบคุมวงเวทวิญญาณสิบสองปิศาจไม่ให้ไปต้านทาน ภายใต้ความร่วมมืออย่างชาญฉลาดของนาง พวกเยวี่ยปู้ชิงจึงไม่ได้เคลื่อนไหวเสียงดัง เห็นการป้องกันส่ายไหวแล้วล่าถอยไปทั้งหมด
“นี่ถือว่าเป็นการป้องกันอะไร เสือกระดาษหรือ?” เยวี่ยปู้ชิงตะลึงงัน รวดเร็วเกินกว่าที่เขาคาดคิดไว้
“คุณชายรอง ไม่ใช่เสือกระดาษนะ แต่วงเวทที่พวกเราหามายอดเยี่ยมต่างหาก บวกกับความร่วมมือของพวกเราสี่คนจึงทำให้วงเวทนี้สั่งได้ถึงขีดสุด ดังนั้นจึงสามารถทำลายวงเวทได้ในกระบวนท่าเดียว” องครักษ์ของเขาไหนเลยจะยอมให้ความดีความชอบหายไป รีบโอ้อวดตนเองขึ้นมา
เยวี่ยปู้ชิงได้ยินก็ยิ้ม “วางใจเถอะ กลับไปข้าจะให้รางวัลพวกเจ้า ตอนนี้ไม่มีคน พวกเรารีบเข้าไป เคลื่อนไหวเบาหน่อย หาตัวพบแล้วพาไปทันที จะได้ไม่ต้องวิกาลยาวนานฝันมากความ”
“ขอรับ!” ทั้งสี่คนตอบรับ ติดตามเยวี่ยปู้ชิงเหยียบย่างขึ้นเกาะวิ่งไปที่ตึกหลิงหลง เพิ่งวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวก็มีเสียงดังวิ้งๆ การป้องกันพลันเปิดขึ้นอีกครั้ง
ทั้งสี่คนร่างแข็งทื่อ เยวี่ยปู้ชิงได้สติขึ้นมา ตะโกนเสียงดัง “แย่แล้ว ติดกับดัก!”
“คุณชายรองไม่ต้องลนลาน เป็นไปได้ว่าการป้องกันอาจจะขับเคลื่อนเอง พวกเราแค่เปิดการป้องกันอีกครั้งก็พอ” องครักษ์คนหนึ่งรีบเอ่ย
เยวี่ยปู้ชิงมองเขาอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง อย่างไรเสียเขาก็เข้าสำนัก ปกติถูกบังคับให้ทำภารกิจ ยังมีความรู้สึกถึงอันตรายอยู่
“คุณชายรอง ท่านดูบนเกาะไม่มีใครปรากฏตัวขึ้น น่าจะเป็นการป้องกันขับเคลื่อนเอง เขาพูดได้ถูกต้อง พวกเรารีบไปพาตัวคนงามไปจึงเป็นเรื่องสำคัญ” เสียงหนึ่งดังขึ้นในเวลาเดียวกัน
เยวี่ยปู้ชิงก็คิดเช่นนี้จึงรีบสาวเท้าไป พลันพบว่า เสียงนี้เป็นเสียงสตรี ไม่ใช่องครักษ์ที่เขาพามาพูด เขาหยิบผีผาหยกทะเลอันหนึ่งออกมา คำรามอย่างมีโทสะ “ใครกัน ทำตัวลึกลับ ออกมานะ”
“บุรุษตัวโตๆ อย่างเจ้า คิดไม่ถึงว่าจะใช้ของวิเศษผีผาเป็นอาวุธเวท ไม่อยากจะเชื่อเลย” มองผีผาหยกทะเลที่สร้างอย่างงดงามประณีตอุ่นชื้นประดุจหยกชิ้นนั้น จินเฟยเหยารู้สึกประหลาดใจยิ่ง นี่เป็นสิ่งของที่สตรีใช้นะ
เยวี่ยปู้ชิงอยากพูดก็พูดไม่ได้ เขาคงอธิบายไม่ได้ว่าศิษย์พี่ศิษย์น้องของตนเองล้วนใช้เครื่องดนตรีเป็นอาวุธ แม้แต่อาจารย์ของตนเองก็ดีดเจิง[2]
“พูดจาเหลวไหล เจ้าคือจินเฟยเหยาสินะ” เยวี่ยปู้ชิงใช้สองมือดีดผีผาอย่างรวดเร็ว เสียงผีผาดังมา เสียงไพเราะราวกับสายธารเล็กๆ
ทว่าเสียงอันน่าประทับใจนี้ทำให้การรับรู้ของจินเฟยเหยาเจ็บปวด ยันต์ซ่อนกายหมดฤทธิ์ในพริบตา ร่างของนางปรากฏขึ้น
“เป็นเจ้าจริงๆ ด้วย ดวงแข็งนัก คิดไม่ถึงว่าจะหนีรอดจากการล้อมสังหารของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานสี่คนได้ เจ้าจงใจวางกับดักเพื่อล่อข้ามาหรือ?” เยวี่ยปู้ชิงใช้มือกุมผีผา จ้องมองจินเฟยเหยาอย่างดุร้าย
จินเฟยเหยาสงบการรับรู้แล้วเอ่ย “เจ้าจงใจคิดจะสังหารข้าก่อน อย่าคิดว่าตนเองเป็นวิญญูชนมีคุณธรรม อยู่เมืองเดียวกัน เหตุใดความเป็นคนระหว่างตระกูลถึงแตกต่างกันมากนัก เจ้าไม่เลียนเยี่ยงคุณชายใหญ่ตระกูลพาน ผู้อื่นอ่อนโยนใจกว้าง เพียงแค่มีความสัมพันธ์กับสตรีแต่ไม่ฆ่าสตรี เจ้ายังห่างไกลจากเขามากจริงๆ”
“ถุย อย่าเอ่ยถึงเจ้าสวะพานจั๋วเยวี่ยให้ข้าได้ยิน ไม่ต้องพูดมาก มอบสตรีผู้นั้นออกมา จากนั้นทำลายพลังการบำเพ็ญเพียรของตนเอง ข้าอาจจะละเว้นชีวิตเจ้า” เยวี่ยปู้ชิงเอ่ยเสียงดัง ส่วนลูกน้องของเขาก็พุ่งเข้ามาล้อมจินเฟยเหยาเอาไว้
จินเฟยเหยาเงยหน้าขึ้นมอง ยื่นมือออกมาชี้พลางเอ่ย “พวกเจ้ายืนอยู่ใกล้ขนาดนี้คือมารนหาที่ตาย”
“ความตายกรายถึงศีรษะยังปากแข็ง ลุย” เยวี่ยปู้ชิงดีดผีผาในมือ เสียงผีผาดังมาเป็นช่วงๆ ครั้งนี้เสียงผีผาทั้งเร็วไวและเร่งร้อน พุ่งเข้าสู่การรับรู้โดยตรง
จินเฟยเหยาจะยอมให้เขาทำลายการรับรู้ได้อย่างไร จึงรีบพุ่งเข้าหาเขา จากนั้นตวาดลั่น “ขึ้น!” ฟองแสงนรกจำนวนนับไม่ถ้วนลอยขึ้นมาจากในพุ่มไม้บนพื้น พริบตาก็รวมตัวกันเป็นฟองขนาดใหญ่ปกคลุมพวกเขาทั้งหมดเอาไว้
องครักษ์ของเยวี่ยปู้ชิงตอบสนองอย่างรวดเร็ว หันกายมายกอาวุธเวทฟันบนฟองแสง เปลวไฟสีฟ้าดำวาบขึ้น อาวุธในมือของเขากลายเป็นเศษซาก
“อา!” เห็นฉากเช่นนี้ เยวี่ยปู้ชิงก็ตกตะลึงหน้าเปลี่ยนสี เขารู้เรื่องที่จอมมารหลงถูกคนปล่อยไป ถึงเขาจะไม่รู้ว่าจอมมารหลงเป็นใคร ทว่าเรื่องที่แม้แต่อาจารย์ยังร้อนใจ ต้องเป็นบุคคลที่ร้ายกาจอย่างยิ่งแน่
ส่วนคนที่ปล่อยเขาไป เห็นว่าเป็นคนที่ฝึกเคล็ดวิชามารเช่นเดียวกัน ได้ยินว่ามาจากเมืองวั่นเซียนสุ่ย ดังนั้นอาจารย์จึงถ่ายทอดเสียงมาเป็นพิเศษ ให้เขาสังเกตว่าในเมืองวั่นเซียนสุ่ยมีคนที่ใช้เปลวไฟสีดำหรือไม่
ทั้งยังกำชับเขาเป็นพิเศษว่า ถ้าพบคนเช่นนี้ต้องหลีกให้ไกล และไปแจ้งตึกซ่างเซียนทันที ไม่ให้ต่อสู้ด้วยตนเอง ทว่าตอนนี้ เปลวไฟสีดำนี่ หรือว่าเป็นคนที่อาจารย์เอ่ยถึง?
เยวี่ยปู้ชิงเพียงแค่เห็นเปลวไฟสีดำ ดังนั้นเขาจึงเชื่อว่าบังเอิญ ตอนนั้นฟ้าแค่มืด ดังนั้นจึงมองเห็นไม่ชัด คงไม่ใช่คนที่ปล่อยจอมมารหลงไป
ทว่า ฟ้ายิ่งมืด ก็ยิ่งมองเห็นเปลวไฟได้ชัดเจนขึ้น จะมองเห็นไม่ชัดได้อย่างไร เป็นไปได้อย่างไรที่จะมองเห็นเปลวไฟธรรมดาเป็นเปลวไฟสีฟ้าดำ
……………………………………….
[1] เฝ้าตอไม้รอกระต่าย หมายถึง รอคอยลาภลอย
[2] เจิง หรือ กู่เจิง เป็นเครื่องสายชนิดหนึ่งใช้สำหรับดีดบรรเลง ในภาษาญี่ปุ่นคือ โคโตะ