920 ยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อ
“มั่นใจขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ฉันมั่นใจ แต่ที่มั่นใจมากกว่าก็คือตัวเชียนเชิง”จงหลิวชวนมองหน้าเจี๋ยจื้อจายและถาม“นายมองเชียนเชิงแบบไหน?”
“ฉันจะบอกยังไงดีล่ะ? เขาคือที่สุดของที่สุดแล้ว”เจี๋ยจื้อจายตอบ “เขาคือคนที่ได้รับของขวัญจากสวรรค์”
“ฉันคิดว่า เชียนเชิงน่าจะอยู่ได้อย่างน้อย 200 ปี” จงหลิวชวนพูด
“นายรู้ได้ยังไง?” เจี๋ยจื้อจายไม่แปลกใจเรื่องจํานวนตัวเลขที่อีกฝ่ายว่ามา แต่เขาแปลกใจว่าอีกฝ่ายรู้ได้ยังไงต่างหาก
“ความรู้สึกน่ะ”จงหลิวชวนพูด
“ความรู้สึก? เรื่องไร้สาระอีกแล้วเหรอเนี่ย?” เจี๋ยจื้อจายถามด้วยรอยยิ้ม
“นายเคยเจอพ่อแม่ของเชียนเชิงรึยัง?”จงหลิวชวนถาม
“ฉันเคยเจอพวกเขาสองสามครั้งได้แล้วมันเกี่ยวอะไรด้วย?”
“ครั้งหน้าลองสังเกตดูพวกเขาให้ดีดีล่ะ”จงหลิวชวนพูด“สองคนนั้นดูอายุเด็กลงเรื่อยๆ”“จริงเหรอ?”เจี๋ยจื้อจายถาม“ฉันไม่เคยสังเกตเรื่องนั้นเลย”
“นายยังไม่ได้เริ่มเรียนสิ่งที่ลึกซึ้งกว่านี้”จงหลิวชวนพูด“หลังจากที่นายเรียนรู้ได้ลึกซึ้งขึ้นนายก็จะรู้ว่าเชียนเชิงกําลังสอนอะไรพวกเราอยู่”
ยิ่งฝึกฝนได้ลึกซึ้งเท่าไหร่เขาก็เรียนรู้ว่าวิธีการบ่มเพาะที่หวังเข้าสอนเขานั้นมหัศจรรย์มากแค่ไหนมันไม่ใช่แค่การพัฒนาสภาพร่างกายให้ดีขึ้นเท่านั้นแต่มันยังส่งผลไปถึงจิตวิญญาณด้วยจงหลิวชวนรู้สึกว่าเส้นทางที่เขากําลังเดินอยู่ก็คือเส้นทางการเป็นเซียนอย่างที่มีเขียนไว้ในนิยายความต่างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดระหว่างมนุษย์กับเซียนคืออะไร?
มันไม่ใช่ความสามารถในการเรียกลมเรียกฝนแต่มันคือความสามารถที่จะอยู่ได้ตราบเท่าที่สวรรค์ยังคงอยู่หรือพูดอีกอย่างก็คือ การเป็นอมตะเมื่ออายุยืนยาวขึ้นก็จะโอกาสได้พบเจอสิ่งพิเศษได้มากขึ้นสามารถเรียนรู้ทักษะพิเศษและเชี่ยวชาญในทักษะเหล่านั้น
“ความสามารถของพวกเรายังติดอยู่ในร่างกาย”จงหลิวชวนพูด “ตอนนี้มันยังดึงออกมาไม่ได้ส่วนความแข็งแกร่งของเชียนเชิงก็คือ การที่เขาสามารถสื่อสารกับฟ้าดินได้!”
ทําไมฉันถึงรู้สึกว่าคําพูดของศิษย์พี่กําลังทําลายแรงจูงใจของฉันอยู่ล่ะ?” เจี๋ยจื้อจายถามด้วยรอยยิ้ม
“อย่าได้คิดแบบนั้น” จงหลิวชวนพูดหลังจากจิบชา“ฉันแค่แสดงความรู้สึกออกมาเท่านั้นแล้วเชียนเชิงก็พูดไปแล้วว่าการฝึกฝนและบ่มเพาะเป็นเรื่องที่ต้องทําไปตามหัวใจของเราเองอย่างที่เราทําอยู่ตอนนี้ยังไงล่ะอ่านหนังสือเงียบๆ,ท่องคัมภีร์,ดื่มชา,และเล่นหมากรุกพร้อมทั้งมองดูพระอาทิตย์ขึ้นและลงด้วยจิตใจที่สงบเรามองดูก้อนเมฆลอยผ่านอยู่ในสภาวะผ่อนคลายและปล่อยวางมีอะไรไม่ดีตรงไหนกัน?”
หูเหมยที่เดินเข้ามาเติมชาให้พูดขึ้นมาว่า“ฉันเข้าใจแล้วว่าทําไมศิษย์ถึงได้พัฒนาไปได้เร็ว
ขนาดนี้”
“สภาพจิตใจแบบนั้นไม่ใช่สิ่งที่เราจะเทียบได้เลย”เจี๋ยจื้อจายพูด
“ชมเกินไปแล้วศิษย์น้อง”จงหลิวชวนพูดด้วยรอยยิ้ม“การพัฒนาของเธอก็ไม่นับว่าช้าแต่คนบางคนคงต้องฝึกหนักกว่านี้อีกหน่อย”
ในพวกเขาสามคน เจี๋ยจื้อจายคือคนที่บ่มเพาะได้ช้าที่สุดแม้แต่หูเหมยที่เข้ามาทีหลังกลับนําหน้าเขาไปได้แล้วเพราะสภาพจิตใจที่นิ่งกว่าเจี๋ยจื้อจายซึ่งมีส่วนสําคัญสําหรับการบ่มเพาะ“ไม่ต้องห่วงๆ มันไม่ใช่เรื่องน่าอายที่ภรรยาของตัวเองนําหน้าไปก่อน”เจี๋ยจื้อจายพูด“ฉันกําลังอยู่ในขั้นตอนการนิ่งเฉยไม่ว่าจะได้รับค่าชมหรือค่าดูถูก”เจี๋ยจื้อจายพูด“ถ้าฉัน
สามารถรักษาความสงบนิ่งแบบนี้ไว้ได้ฉันก็จะกลายเป็นเหมือนศิษย์พี่ไม่ช้าก็เร็วแน่นอน”“ถ้าเป็นแบบนั้นได้ก็จะดีมาก”
ในคลินิก หวังเย้ากําลังอ่านตําราแพทย์อยู่เขาซื้อหนังสือมาจากในอินเตอร์เนตและเนื้อหาด้านในก็เต็มไปด้วยข้อผิดพลาดเขาจึงทําการปรับเปลี่ยนส่วนที่ผิดในตอนที่อ่านอยู่
เขาคิด หนังสือแบบนี้ถูกตีพิมพ์ออกมาขายได้ยังไงกัน?มันจะทําให้คนเข้าใจผิดไปกันใหญ่!กริ๊ง!กริ๊ง!ตื้ด!มือถือของเขาที่วางอยู่บนโต๊ะส่งเสียงดังขึ้น
“ผมเอง อืม ได้ครับ” หลังจากที่วางสายเขาก็กลับไปอ่านหนังสือต่อ
ติ๊กต๊อกติ๊กต๊อกนาฬิกาที่แขวนอยู่บนฝาผนังยังคงขยับไปเรื่อยๆ เข็มของมันเคลื่อนที่อย่างสม่ำเสมอชี้ไปตามเลขทีละตัวๆ
เมื่อถึงเวลาบ่ายสามโมงครึ่งก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เข้ามาได!” หวังเย้าส่งเสียงไปทางประตูครู่ต่อมาก็มีคนเดินเข้ามา
“สวัสดีครับ คุณหวู” หวังเย้าพูด
คนที่เดินเข้ามาก็คือหวูถงชิ่งคนจากตระกูลหวูไม่ได้มาที่นี่นานแล้ว
“คุณพ่อของคุณอาการไม่ค่อยดีเหรอครับ?”หวังเย้าถามในขณะที่มองหน้าเขา
“ใช่ อาการแย่มาก” หวูถงชิ่งพูด
เขารีบเดินทางมาที่นี่ก็เพื่ออาการป่วยของผู้เป็นพ่อด้วยอาการป่วยนี้ทําให้พ่อของเขาที่อายุมากแล้วสามารถจากไปได้ทุกขณะเขาที่เป็นลูกพวกเขาต่างก็พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อช่วยให้เขาอยู่ได้อีกสักปีสองปีถึงแม่ปีสองปีที่ว่าจะทําให้เขามีชีวิตอยู่อย่างทรมานก็ตามที
“ในเมื่อถึงเวลาของเขาแล้วทําไมจะต้องยื้อมันเอาไว้ด้วยล่ะครับ” หวังเย้าถาม“เรายังอยากแสดงความกตัญญู”ในเวลานี้ผู้บัญชาการหนูไม่ได้มีท่าทีของผู้ที่อยู่เหนือกว่าเขาเป็นเพียงลูกที่กตัญญูคนหนึ่งเท่านั้น
“ตอนนี้ผมยังไม่มีเวลา กลับมาพรุ่งนี้อีกทีนะครับ”หวังเย้าพูด
“ได้ ขอบคุณมาก” เมื่อได้ยินคําาตอบตกลงของหวังเย้าหวูถงชิ่งก็ดีใจมากเมื่อมาถึงเขาก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะปฏิเสธและนั่นจะกลายเป็นเรื่องยุ่งยากสําหรับเขามาก
“คุณพ่อของคุณทรมานมากใช่ไหมครับ?”หวังเย้าถาม
“ใช่”
หวังเย้าไม่ได้พูดอะไรอีกหลังจากวางห่อชาลงแล้วหวูถงชิ่งก็กลับไป
ชายชราจากตระกูลหวูที่เขาได้เคยพบหน้ามาก่อนมีอาการป่วยแบบเดียวกันกับหวังยี่หลง
เพียงแต่อาการของอีกฝ่ายรุนแรงกว่ามากแล้วเขายังแก่มากด้วย มันถือได้ว่ามหัศจรรย์มากแล้ว
ที่ยาของหวังเย้าสามารถยื้อให้เขาอยู่มาจนถึงตอนนี้ได้
“ลองดูอีกสักครั้งแล้วกัน”
ถ้าชายชราที่ตอนนี้ตัวอยู่ที่ปักกิ่งสามารถมาอยู่ที่หมู่บ้านได๋ในตอนนี้หวังเย้าก็จะสามารถ
รักษาได้โดยการให้กินยาและฝังเข็มเขามั่นใจว่าจะสามารถรักษาโรคของชายชราได้เหมือนอย่างที่รักษาให้กับหวังยี่หลงแต่น่าเสียดายที่สถานะของอีกฝ่ายนั้นต่างจากคนทั่วไปมันเป็นไป
ได้ยากที่อีกฝ่ายจะเดินทางออกจากปักกิ่งเพื่อมาที่นี่ได้
ฉันจะทํายาไว้สักสองสามโดส หวังเย้าคิด
บ้านตระกูลซูในปักกิ่งที่ห่างออกไปหลายพันไมล์
“พี่ใหญ่ ทําไมถึงได้ว่างมาที่นี่ได้ล่ะคะ?”ซงจุ้ยปิงยิ้มในขณะที่รินน้ําให้อีกฝ่าย
“ก็ไม่ใช่เพราะฉันอยากมาขอความช่วยเหลือจากเธอหรอกเหรอ?” หนูถึงทรงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
น้องชายของเขาเดินทางไปพบหมอที่เหลียนชานแต่เขาก็ยังไม่วางใจเขารู้เรื่องความสัมพันธ์ของอีกฝ่ายกับตระกูลซูดีเขาจึงเดินทางมาเยี่ยมว่าที่แม่ยายของอีกฝ่ายเพื่อเป็นการรับประกันความสําเร็จเท่านั้น
“เรื่องสุขภาพคุณพ่อของพี่ใช่ไหมคะ?”
“ใช่ มันเริ่มแย่ลง”หวูถงหรงพูดแล้วถอนหายใจ“หมอบอกว่ามันเป็นเรื่องยากที่เขาจะอยู่จน
พ้นฤดูหนาวไปได้
“อย่าคิดมากเลยค่ะพี่ใหญ่”ซงรุ่ยปิงพยายามปลอบเขา
“ฉันมาที่นี่เพราะอยากขอให้น้องสาวพูดแทนฉันหน่อย”หวูถงหนึ่งพูด
“หมายความว่ายังไงคะ?”ซงรุ่ยปิงตกตะลึงครู่ต่อมาเธอก็เข้าใจความต้องการของอีกฝ่าย
“หมายถึงเรื่องของเสี่ยวเย้าน่ะเหรอคะ?”
“ใช่ บอกตามตรงฉันกลัวน่ะตอนนี้ถงชิ่งคงเดินทางไปถึงเหลียนชานแล้วแต่ฉันก็ยังกังวลว่าหมอหวังอาจจะไม่ยอมช่วยก็ได้”
“อ่อ เรื่องนี้จัดการได้ง่ายมากค่ะ”ซงรุ่ยปิงยิ้ม
“เซี่ยงฮวายังงานยุ่งอยู่เหรอ?”หวูถงหรงถาม
“ใช่ค่ะ เขายุ่งจนแทบไม่ได้กลับบ้านเลย”ซงรุ่ยปิงตอบ
“ฉันรู้ว่าเขาชอบดื่มชาเอาให้เขาลองชิมดูนะ”
“ขอบคุณค่ะพี่ใหญ่”
ซงรุ่ยปิงโทรหาหวังเย้าต่อหน้าหนูถงหรงและอธิบายถึงสาเหตุที่โทรหา
“ผมเข้าใจครับ คุณป้า”หวังเย้าพูด“ผมได้เจอกับคุณหวูแล้ว”
“ดี ดี”
“ไม่ต้องห่วงนะคะเสี่ยวเย้าบอกว่าเขาจะเตรียมยาเอาไว้คืนนี้”
“โอ้ ดี ขอบใจนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
หวูถงหรงนั่งคุยต่ออีกสักพักก่อนจะขอตัวกลับ
หญิงที่อยู่ข้างเธอพูด “คุณผู้หญิงผู้เฒ่าตระกูลหวู…”
“ฉันกลัวว่า คราวนี้คงเป็นเรื่องยากที่เขาจะรอดไปได้เพราะเขาอายุเก้าสิบกว่าแล้วและยังป่วยด้วยโรคแบบนั้น มันน่าเหลือเชื่อมากแล้วที่เขาอยู่มาจนถึงตอนนี้ได้”
ค่าคืนเงียบสงัด
บนเนินเขาหนานชานมีแสงสีเหลืองส่องสว่างอยู่
ภายในกระท่อมมีเสียงของปืนที่กําลังลุกไหม้
กลิ่นเฉพาะของตัวยาลอยออกมาจากห้อง
หลินจือ, ตังกุย, หญ้าหลี่…
หวังเย้ากําลังต้มยาอยู่
มันช่วยขับร้อน,บรรเทาความเจ็บปวด,กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต, และปรับสมดุลหยินหยาง
เขาใส่ฟืนเข้าไปเงียบๆพร้อมทั้งคอยมองดูสีของตัวยาที่อยู่ภายในหม้อ
มันจะเป็นไปได้รึเปล่าถ้าจะใส่จิตวิญญาณส่วนหนึ่งของภูเขาลงไปในตัวยาด้วย?
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขามีความคิดแบบนี้
ฉันจะลองคิดและลองท่าบางอย่างดู
เช้าวันต่อมา หวูถงชิ่งมาถึงแต่เช้าตรู่เขามาถึงตั้งแต่ประตูคลินิกยังไม่เปิดคืนก่อนนั้นเขาแทบจะนอนไม่หลับเลยเขาโทรกลับไปที่บ้านและสอบถามอาการของพ่อกับหมอตอนประมาณสี่
ทุ่ม เขากลัวว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับชายชราที่ชีวิตแขวนไว้บนเส้นด้าย โดยที่เขาไม่ได้อยู่ที่นั่นด้วยเมื่อได้ยินว่าชายชรายังสบายดี เขาถึงค่อยโล่งใจ
เลขาที่มากับเขาคอยพูดปลอบ“อย่ากังวลจนเกินไปเลยครับ”
“อืม” หวูถงชิ่งตอบ
ถ้าหวังเย้าสามารถเดินทางไปปักกิ่งได้ก็คงจะดีน่าเสียดาย!เขาถอนหายใจเขามาแล้ว