31 ธันวาคม ช่วงเช้า
ณ วิหารฤดูเก็บเกี่ยวย่านทิศใต้ของสะพาน
เอ็มลิน·ไวท์กำลังยืนในห้องครัว สวมเสื้อคลุมยาวสีน้ำตาลของนักบวช
มันโยนสมุนไพรหลากชนิดลงในหม้อต้มใบใหญ่พลางใช้ทัพพีไม้คนกวนเป็นระยะ
หลังดำเนินทุกขั้นตอนเสร็จ แวมไพร์หนุ่มยืนรออย่างใจเย็นจนกระทั่งครบสิบนาทีเต็ม จึงค่อยใช้กระบวยเหล็กตักของเหลวคล้ายหมึกดำออกมาใส่แก้วและขวดแก้วบนถาดด้านข้างลำตัว
สี่สิบแปด สี่สิบเก้า ห้าสิบ…
เอ็มลินชำเลืองหม้อเปล่าพลางนับจำนวนยาวิเศษซึ่งมันเพิ่งปรุงเสร็จ
เมื่อยืนยันปริมาณจนแน่ใจ แวมไพร์หนุ่มยกถาดโลหะแผ่นใหญ่เดินถือเข้าไปในห้องโถง บนถาดมีขวดแก้วบรรจุของเหลวสีดำวางเรียงรายเบียดเสียด
ภายในโถงสวดมนต์ ม้านั่งเกินกว่าครึ่งถูกนำออก บนพื้นเต็มไปด้วยผ้าปูรองนอนสภาพเก่าโทรม บนผืนผ้ามีเหยื่อของโรคระบาดกำลังนอนอย่างแออัด บ้างหลับลึก บ้างครวญครางอย่างเจ็บปวด
เอ็มลินและหลวงพ่อยูทรอฟสกี้กำลังร่วมมือร่วมใจอย่างสามัคคี แยกกันไปแจกจ่ายยาวิเศษปรุงสดใหม่จากปลายแถวทั้งสองฝั่ง
บุคคลแรกในลำดับแถวเป็นชายวัยกลางคนใบหน้าซีดเซียว มันรีบพยุงตัวนั่งอย่างยากลำบาก จากนั้นจึงรับยาและกระดกดื่มทันที
ชายคนเดิมคืนขวดเปล่ากลับมาและกล่าวกับเอ็มลินอย่างสำนึกในบุญคุณ
“หลวงพ่อไวท์ ขอบคุณมากครับ! ร่างกายของผมรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นอย่างชัดเจน สัมผัสได้ถึงกำลังวังชาและเรี่ยวแรง”
เอ็มลินเชิดปลายคางพอเป็นพิธีพลางตอบกลับด้วยน้ำเสียงกึ่งเย้ยหยัน
“แค่นี้เรื่องเล็กน้อย ไม่คู่ควรกับคำชมเชยเลยสักนิด พวกคุณก็ทำได้ด้วยตัวเอง แค่ยังขาดโอกาสและความรู้”
พูดจบ เอ็มลินเร่งมือแจกจ่ายยาคนอื่น ๆ
ผ่านไปสิบนาทีหรือราว ๆ นั้น มันเดินกลับมายังแท่นบูชาของพระแม่ธรณีและบ่นกับหลวงพ่อยูทรอฟสกี้อย่างไม่สบอารมณ์
“ทำไมท่านถึงไม่หาอาสาสมัครมาช่วยทำงานอีกสักสองสามคน!”
หลวงพ่อยูทรอฟสกี้ไม่ตอบโต้ เพียงมองไปทางกลุ่มคนไข้และกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
“พวกเขาจะหายเป็นปรกติในอีกสามวัน”
“ท่านทราบได้ยังไง” เอ็มลินประหลาดใจ
บิชอปยูทรอฟสกี้ก้มมองใบหน้าเอ็มลินด้วยสายตากรุณา
“ยาสมุนไพรคือหนึ่งในขอบเขตของพระแม่ธรณี ด้วยฐานะสาวกของพระองค์ ผมย่อมมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับลักษณะพิเศษของพลัง ถึงแม้จะไม่ได้อยู่บนเส้นทางธรณีก็ตาม”
เอ็มลินส่ายหน้า
“ข้าไม่เคยสนใจคำสอนศาสนา”
การคัดลอกพระคัมภีร์ตลอดหนึ่งเดือนเต็มนั้นไม่นับ! เพราะเราถูกสั่งให้ทำ!
เอ็มลินเสริมในใจด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
ก่อนจะกล่าวต่อไป
“หลวงพ่อ ข้าไม่คิดมาก่อนว่าท่านจะรับคนไข้จากศาสนาอื่นมารักษา จากบรรดาผู้ป่วยมากมายของเรา กลับมีสาวกพระแม่ธรณีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น”
ยูทรอฟสกี้เพียงยิ้ม ไม่ถือสา
“ทุกคนคือหนึ่งชีวิตเท่าเทียม เป็นชีวิตอันบริสุทธิ์”
เอ็มลินชะงักงัน ก่อนจะถอนหายใจยาว
“หลวงพ่อ ข้าพบวิธีรักษาการชี้นำทางใจของท่านแล้ว อีกไม่นานคงต้องอำลาวิหารแห่งนี้เป็นการถาวร”
เดี๋ยวสิ… แล้วเราไปบอกเขาทำไม…
รู้สึกผูกพัน? จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขาตัดสินใจชกเราสักหมัดและจับกลับไปขังไว้ในห้องใต้ดินเหมือนเดิม?
เอ็มลินเริ่มลนลาน
สีหน้าหลวงพ่อยูทรอฟสกี้ยังคงอ่อนโยน ดวงตาก้มมองเอ็มลินและเริ่มอธิบาย
“ด้วยความสัตย์จริง คุณไม่จำเป็นต้องหาวิธีรักษาตั้งแต่แรกแล้ว เพราะอีกไม่นาน การชี้นำทางใจของผมจะสลายไปเอง คุณจะได้รับอิสระกลับคืนมาและมีสิทธิ์เลือกว่าจะแวะเข้ามายังวิหารแห่งนี้หรือไม่”
“ถ้าถูกชี้นำนานกว่านี้อีกสักนิด ข้าคงได้กลายเป็นสาวกของท่านแม่… พ…พระแม่ธรณีกันพอดี!”
เอ็มลินแผดเสียงโต้แย้ง
ยูทรอฟสกี้เลิกคิ้วเล็กน้อย สีหน้าคล้ายกับกำลังประหลาดใจ
“ผมไม่เคยโน้มน้าวให้คุณเปลี่ยนศาสนา การชี้นำทางใจของผมจะทำให้คุณรู้สึกต้องการแวะเข้ามายังวิหารแห่งนี้ในทุก ๆ วัน ไม่มากไม่น้อยไปกว่านั้น ผมหวังเพียงให้คุณได้ซาบซึ้งกับคุณค่าของชีวิต ลิ้มรสความสุขอันแท้จริงทุกลมหายใจ”
“ก…การชี้นำทางใจ… มีผลแค่โน้มน้าวให้ข้าแวะมายังวิหารทุกวัน?” เอ็มลินอ้าปากค้าง
ยูทรอฟสกี้พยักหน้ารับหนักแน่น
“ถูกต้อง”
“…”
ริมฝีปากแวมไพร์หนุ่มพลันสั่นระริก
มันหันไปมองแท่นบูชา หันไปมองตราศักดิ์สิทธิ์แห่งชีวิตของพระแม่ธรณีโดยไม่กล่าวสิ่งใดเป็นเวลานาน ประหนึ่งถูกสาปให้กลายเป็นหุ่นกระบอกใบ้
…
31 ธันวาคม ช่วงเย็น
เมืองทิงเก็น
ณ อาคารหมายเลข 2 ถนนดารารัตน์
เบ็นสันเดินเข้ามาในบ้านพร้อมกับถอดหมวกและเสื้อโค้ทแขวน ตามด้วยการหัวเราะ
“ฉันจองบัตรโดยสารรถจักรไอน้ำชั้นสองไปยังกรุงเบ็คลันด์เรียบร้อยแล้ว เที่ยวเดินทาง 3 มกราคม”
เมลิสซ่า ผู้กำลังนั่งในห้องกินข้าวพลางถือหนังสือพิมพ์ในมือ กล่าวด้วยน้ำเสียงเจือความกังวล
“เบ็นสัน อากาศในเบ็คลันด์กำลังแย่มาก ผู้คนนับหมื่นเสียชีวิตเพราะพิษของหมอกและโรคระบาดเมื่อไม่กี่วันก่อน…”
“ถูกต้อง นับเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่”
เบ็นสันเดินเข้ามาในห้องอาคาร ถอนหายใจยาวและเล่าต่อ
“แต่สองสภาต่างเห็นพ้องและยอมรับรายงานของคณะกรรมการมลพิษทางอากาศแห่งชาติเรียบร้อยแล้ว ร่างกฎหมายเกี่ยวกับการปล่อยควันพิษและน้ำเสียจะถูกผลักดันให้เสร็จสมบูรณ์ในอีกไม่นาน หมายความว่า กรุงเบ็คลันด์โฉมใหม่จะเป็นมิตรกับพวกเรา เธออย่าได้กังวลไป”
เมื่อกล่าวจบ มันยิ้มอย่างอารมณ์ดี
“ขากลับจากถนนกางเขนเหล็ก ฉันเห็นเจ้าของโรงงานในเบ็คลันด์ หรือไม่ก็ตัวแทน กำลังประกาศรับสมัครคนงานจำนวนมาก พวกเขาเล่าว่า ควันพิษและโรคระบาดทำให้โรงงานหลายแห่งขาดแคลนแรงงาน จึงต้องขึ้นค่าแรงขั้นต่ำและลดชั่วโมงทำงานลง มาตรฐานใหม่จะทำให้ทุกคนพึงพอใจ ฮะฮะ!”
“แล้วนายคิดว่าพวกเขาทำได้จริง?”
“คงยาก เพราะหากผู้คนทั่วทั้งอาณาจักรพร้อมใจกันเข้าไปทำงานในกรุงเบ็คลันด์ สถานการณ์ก็จะกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อน คนงานถูกกดค่าแรงและบังคับให้ล่วงเวลา …นอกเสียจากรัฐบาลจะออกร่างกฎหมายฉบับใหม่มาบังคับใช้อย่างเป็นกิจจะลักษณะ”
เบ็นสันผายมือไปทางโต๊ะอาหาร
“เอาล่ะ ถึงเวลาฉลองปีใหม่กันแล้ว”
บนโต๊ะมีมีดส้อมถูกวางไว้สามคู่ ภาชนะลายครามสามชุด และแก้วเครื่องดื่มสามใบ
ใบหนึ่งใส่เบียร์ อีกสองใบใส่เบียร์ขิง
…
31 ธันวาคม ช่วงเย็น
ในสภาพแต่งกายออกงานเต็มยศ ออเดรย์กำลังยืนภายในห้องพักรับรองของคฤหาสน์ รอให้งานเลี้ยงปีใหม่เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
อย่างไรก็ตาม บนใบหน้ามิได้ปรากฏความตื่นเต้น เบิกบาน หรือความสุข แม้ว่าเธอกำลังจะได้เปลี่ยนสถานภาพกลายเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวในค่ำคืนนี้
ในมือถือหนังสือพิมพ์ เนื้อหาเขียนไว้ว่า
“…จากการนับจำนวนเบื้องต้น เหยื่อของควันพิษมีมากถึงสองหมื่นหนึ่งพันราย และเสียชีวิตจากโรคระบาดอีกเกือบสี่หมื่นราย มีทั้งเด็กเล็ก เด็กหนุ่มแข็งแรง และหญิงสาว…”
ฟู่ว… ออเดรย์หลับตาลง
ทันใดนั้น บิดาของตน เอิร์ลฮอลล์ และมารดา คุณหญิงเคทลิน ทำการเคาะประตูห้องและกล่าวพร้อมกัน
“ความงดงามของเจ้าเหนือกว่าผู้ใดในงานเลี้ยงแห่งนี้อย่างไร้ข้อกังขา ถึงเวลาของเจ้าแล้วลูกรัก องค์ราชินีกำลังรอเจ้าอยู่”
ออเดรย์ถอนหายใจเชื่องช้า แต่ยังคงรักษากิริยาสง่างามและรอยยิ้มสดใส เด็กสาวเดินออกจากห้องพักตรงไปยังโถงใหญ่สำหรับจัดงานเลี้ยง เคียงข้างการเดินประกบจากบิดาและมารดาผู้มีมาดสง่างาม
จนกระทั่งย่างกรายขึ้นมาบนเวทีใหญ่ ท่ามกลางสายตาจับจ้อง ออเดรย์ยื่นมือขวาซึ่งสวมถุงมือผ้าบางสีขาวไปทางราชินี
ราชินีแห่งโลเอ็นเดินจูงมือเด็กสาวไปยังขอบเวทีด้านหน้าสุด เพื่อให้แขกในงานทุกคนได้ยลโฉมเด็กสาวอย่างเต็มสองตา
เว้นวรรคหนึ่งอึดใจ ราชินีฉีกยิ้ม
“แม้ไม่กี่วันก่อนจะเกิดโศกนาฏกรรมอันหดหู่และเป็นจุดด่างพร้อยในประวัติศาสตร์อันยาวนานของกรุงเบ็คลันด์… แต่เมืองของพวกเรายังมีอัญมณีเจิดจรัส ผู้ส่องแสงระยิบระยับฉาบให้ทั่วทั้งเบ็คลันด์สว่างไสวเจิดจ้า ปัญญาของเธอ ความงามของเธอ รวมถึงอุปนิสัยและกิริยามารยาทแสนสง่างามของเธอ ทั้งหมดหล่อหลอมให้เธอเป็นบุคคลสมบูรณ์แบบปราศจากจุดด่างพร้อย ในวินาทีนี้ ตัวเราขอแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักกับเธออย่างเป็นทางการโดยทั่วกัน คุณหญิงออเดรย์·ฮอลล์”
ปัง! ปัง! ปัง!
ด้านนอกหน้าต่างคฤหาสน์ งานแสดงพลุไฟสุดอลังการเริ่มต้นขึ้น
ณ ค่ำคืนสุดท้ายของปี 1349
ออเดรย์อายุครบสิบแปดปีบริบูรณ์และเข้าสู่สังคมชนชั้นสูงของโลเอ็นอย่างเป็นทางการ
…
3 มกราคม ปี 1350 ช่วงบ่าย
ณ สุสานใหม่รอบนอกเขตตะวันออก
อาศัยพลังทำนาย ไคลน์เดินหาจนพบหลุมศพของโคห์เลอร์และไลฟ์
หากว่ากันตามตัวอักษร สิ่งนี้ไม่ควรถูกเรียกว่าหลุมศพ แต่เป็นตู้เก็บกล่องบรรจุเถ้ากระดูก แต่ละตู้วางเรียงติดกันและซ้อนทับในลักษณะแถวยาวหลายชั้น
ไคลน์ยืนจ้องมอง มันพบว่าไม่มีแม้แต่ภาพถ่ายหรือถ้อยคำจารึกหน้าตู้เก็บกล่องเถ้ากระดูกของโคห์เลอร์
แม้แต่ชื่อก็ไม่
สถานการณ์เช่นนี้มิใช่เรื่องผิดปรกติ เพราะบริเวณใกล้เคียงก็ยังมีศพไร้หน้าและปราศจากชื่อวางเรียงติดกันเป็นทิวแถว สาเหตุเป็นไปได้หลายประการ ทั้งไม่มีญาติพี่น้องช่วยยืนยันตัวตน รวมถึงการไม่มีเอกสารใดตัวตน หน้าตู้เก็บจึงปรากฏเพียงตัวเลขกันความสับสน
ไคลน์หลับตาลงพร้อมกับล้วงหยิบกระดาษแผ่นยาวออกจากกระเป๋า มันสะบัดข้อมือหนึ่งครั้งเพื่อเสกแผ่นกระดาษให้กลายเป็นแท่งเหล็กปลายแหลม ตามด้วยการเขียนข้อความลงบนฝาตู้ :
“โคห์เลอร์”
และจารึกถ้อยคำ
“อดีตคนงานฝีมือเยี่ยม อดีตหัวหน้าครอบครัวแสนอบอุ่น ผู้ขยันขันแข็งและดิ้นรนเอาชีวิตรอด”
ไคลน์ลดข้อมือลง สะบัดแผ่วเบา เปลี่ยนแท่งเหล็กลับเป็นกระดาษ
ไคลน์ในรูปลักษณ์ผมดำขลับ ดวงตาสีน้ำตาลเข้ม ร่างกายผอมเพรียว เริ่มเผากระดาษบนฝ่ามือจนลุกไหม้ คล้ายกับกำลังประกอบพิธีสวดส่งวิญญาณแก่เถ้ากระดูกทั้งหมดภายในบริเวณโดยรอบ
ชายหนุ่มตัดสินใจไม่ไปพบเดซีย์ เด็กหญิงผู้สูญเสียมารดาและพี่สาวโดยตรง แต่เลือกช่วยทางอ้อมโดยการเขียนจดหมายถึงนักข่าวไมค์แบบไม่ลงชื่อ อธิบายสถานการณ์ความยากลำบากของเธอ ทั้งหมดเพื่อมิให้เด็กสาวต้องเข้ามาพัวพันกับอันตรายจากตน
ไมค์เดินทางไปพบเดซีย์ทันที รับฟังเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ และกระตือรือร้นในการเปิดรับเงินบริจาคสำหรับใช้เป็นค่าเล่าเรียนจนจบหลักสูตรพื้นฐาน ไคลน์มั่นใจว่า เท่านี้คงมากพอจะช่วยให้เด็กหัวดีอย่างเดซีย์มีงานการมั่นคงทำหลังจากเรียนจบ
ชายหนุ่มถอยหลังออกมาสองก้าว กวาดสายตาไปรอบชั้นวางตู้บรรจุกล่อง พยายามบันทึกชื่อและรูปภาพของเหยื่อทุกคน รวมถึงผู้ปราศจากใบหน้าและชื่อเสียงเรียงนาม เอาไว้ในความทรงจำ
มันแหงนหน้ามองฟ้า ถอนหายใจยาว และเดินออกจากสุสานใหม่อย่างเงียบงัน
…
ขณะรถจักรไอน้ำกำลังมุ่งหน้าตรงไปยังกรุงเบ็คลันด์ เมลิสซ่าตั้งใจอ่านหนังสือเรียน ส่วนเบ็นสันกำลังสนทนากับผู้โดยสารเก้าอี้ใกล้เคียง
“แพงมาก! บัตรโดยสารมีราคาแพงเกินไปอย่างมาก! ตั้งสิบซูลครึ่งเชียวนะ!”
ชายร่างกำยำอายุยังไม่ถึงสามสิบ ถอนหายใจยาวด้วยสีหน้าห่อเหี่ยว
“ถ้าไม่เพราะบัตรโดยสายชั้นสามถูกจองจนเต็ม ผมก็คงไม่ต้องเสียเงินมากถึงครึ่งหนึ่งของค่าจ้างรายสัปดาห์เช่นนี้!”
“แย่หน่อยนะครับ มีผู้คนไม่น้อยเดินทางเข้าไปในเบ็คลันด์หลังจบเทศกาลปีใหม่”
เบ็นสันเห็นพ้อง
ชายร่างกำยำรีบสลัดสีหน้าหดหู่
“แต่เป็นเพราะเจ้านายสัญญาว่าจะตอบแทนด้วยค่าจ้างยี่สิบเอ็ดซูลต่อสัปดาห์ แถมยังไม่ต้องทำงานเกินวันละสิบสองชั่วโมง ผมจึงตอบตกลงทำสัญญากันทันที! หลังจากได้เงินค่าตอบก้อนแรกและเริ่มเช่าบ้าน ภรรยาของผมก็จะตามมาอาศัยในเบ็คลันด์ด้วยเช่นกัน! ไม่เพียงเท่านั้น เธอสามารถทำงานค่าจ้างค่อนข้างดีได้ด้วย ตกราวสิบสองถึงสิบสามซูลต่อสัปดาห์ เห็นว่ากรุงเบ็คลันด์กำลังขาดแคลนแรงงานประเภทนี้อย่างหนัก! …หากวันนั้นมาถึงเมื่อไร ด้วยรายได้รวมเกินกว่าสัปดาห์ละหนึ่งปอนด์ ครอบครัวของผมจะได้กินเนื้อวัวบ่อยขึ้นกว่าเดิมมาก!”
“ไม่ต้องห่วงครับ ความฝันของคุณเป็นจริงได้แน่นอน เพราะตอนนี้พระราชาได้ลงนามในร่างกฎหมายค่าแรงขั้นต่ำและจำกัดจำนวนชั่วโมงทำงานสูงสุดแล้ว”
เบ็นสันอวยพรอีกฝ่ายจากใจ
“สมกับเป็นดินแดนแห่งความหวัง”
ปู๊น—! รถจักรไอน้ำคันใหญ่พาผู้คนจำนวนมหาศาลมาถึงสถานีเบ็คลันด์
ท้องฟ้าด้านบนกำลังสดใส หมอกหนาทึบเจือจางลงจากปรกติมาก โคมตะเกียงบนชานชาลาจึงไม่จำเป็นต้องถูกจุดก่อนเวลาอันควร
เบ็นสันมากประสบการณ์ช่วยน้องสาวปกป้องทรัพย์สินสำคัญ พลางเดินออกจากสถานีในลักษณะเบียดเสียดกับผู้คน
ทันใดนั้น สองพี่น้องสัมผัสถึงสายตาจดจ้องจากบุคคลปริศนา
เมื่อมองกลับไป เบ็นสันและเมลิสซ่าพบกับชายหนุ่มใบหน้าอ่อนเยาว์ ทรงผมหวีเรียบ ดวงตาสีน้ำตาลเข้ม
พร้อมกันนั้น สุภาพบุรุษหนุ่มผู้สวมแว่นตากรอบทอง กดหมวกลงเล็กน้อยและมองผ่านทั้งคู่ไปยังด้านหลัง
เบ็นสันและเมลิสซ่าเบือนหน้ากลับทันที โดยหันไปให้ความสนใจกับปล่องพ่นควันใจกลางลานหญ้าสีเขียวด้านนอกแทน
ทั้งสองอยากลองใช้บริการรถไฟใต้ดินอันลือชื่อของมหานครเบ็คลันด์มานานแล้ว
ในสภาพหิ้วกระเป๋าเดินทางด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ ไคลน์เดินผ่านสองพี่น้องพลางทำตัวตามปรกติ ก่อนจะเดินเข้าไปในชานชาลารถจักรไอน้ำขาออก เบียดเสียดกับผู้คนมากมายอันกำลังพรั่งพรูเข้ามายังดินแดนแห่งความหวัง แต่ละคนเปี่ยมด้วยความฝันอันสดใส
นี่คือยุคสมัยอันยอดเยี่ยม
ขณะเดียวกันก็เป็นยุคสมัยอันเลวร้าย
(จบภาคที่สอง)
……………………