ตอนที่ 639 นิพพาน
หม้อไฟที่กินในตรอกจิ่วเยวี่ยเมื่อครู่ได้เติมเต็มท้องของฟู่เสี่ยวกวนแล้ว อีกทั้งยังเป็นการเปิดหน้าต่างให้กับเขาอีกด้วย
ในฐานะคนที่ทะลุมิติมา นี่เป็นคราแรกที่เขาได้ค้นพบว่ามิควรดูถูกภูมิปัญญาของผู้คนในสมัยโบราณเป็นอันขาด !
นาม หยุนซีเหยียน ได้สลักลึกไว้ในความทรงจำของเขาแล้ว โดยเฉพาะประโยคที่เอ่ยทิ้งท้ายเอาไว้ว่า ‘ใต้หล้านี้มีโอกาสทางการค้าอยู่ทุกแห่งหน สิ่งที่ขาดคืออันใดน่ะหรือ ? ก็คือดวงตาที่จะมองเห็นโอกาสทางการค้าเยี่ยงไรเล่า ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง แต่เขาไม่มีเวลามากพอที่จะไปมองหาโอกาสทางการค้าของแต่ละพื้นที่ด้วยตนเอง
วันที่ห้า เดือนห้า ยามพลบค่ำ
ตรวจข้อสอบยังมิทันเสร็จดี เขาก็ออกจากกั๋วจื่อเจี้ยนแล้วตรงไปยังหอซื่อฟางกับสวี่ซินเหยียนทันที
ค่ำคืนนี้เขาจะต้องเชิญคนมาที่หอซื่อฟางอีกสามสี่คน ถือว่าเป็นคนพิเศษเพียงไม่กี่คน
พวกเขาคือสีฉวินเหมย ชืออีหมิง เซวี๋ยตงหลิน สีส่วง และเฟ่ยเชียนที่เพิ่งถูกปล่อยตัวออกมาจากคุกต้าหลี่ได้เพียง 2 วันเท่านั้น
ในตอนนี้พวกเขาได้มาถึงด้านบนของหอซื่อฟางและได้นั่งอยู่ในห้องส่วนตัวบนชั้นสามเรียบร้อยแล้ว ทันใดนั้นก็รู้สึกแปลกแยกจากคนทั่วไปขึ้นมา
ชืออีหมิงยืนอยู่ข้างหน้าต่าง มองออกไปยังทะเลสาบเว่ยยางภายใต้แสงโพล้เพล้จากนั้นก็พึมพำขึ้นมาว่า “ระยะเวลาสั้น ๆ เพียงหนึ่งปีกว่า แต่รู้สึกราวกับว่าผ่านมาหลายสิบปีแล้ว ยังจำได้ว่าในรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่แปด เดือนสิบ วันที่หนึ่ง มีการติดประกาศชิวเหวยที่หอหลานถิง ตัวข้ากำลังรอผลสอบและในวันนั้นเช่นกันที่ได้พบกับฟู่เสี่ยวกวนเป็นคราแรก”
“ภาพในตอนนั้นยังคงชัดเจนอยู่ในความทรงจำราวกับเพิ่งผ่านมาเมื่อวาน”
“บนเรือในทะเลสาบเว่ยยาง ข้าได้เห็นติ้งอันป๋อประพันธ์กวีด้วยสองตาของตนเอง บทกวีนี้มีชื่อว่า รำลึกถึงหวางซุน สายลมโบกพัดบนทะเลสาบ”
ชืออีหมิงเงียบไปอึดใจหนึ่งจากนั้นก็ท่องขึ้นมาว่า
“สายลมอ่อน โบกพัดมาจากทะเลสาบ ปลายฤดูใบไม้ร่วง ใบไม้สีเหลืองแดงอีกทั้งกลิ่นผกาหอม
แสงประกายจากสายน้ำและภูผา งดงามไร้ซึ่งคำบรรยาย
ดอกบัวบาน ใบบัวโรย น้ำค้างยามอรุณ เกาะเป็นหยดน้ำบนใบหญ้า
นกกาบินจาก คล้ายโกรธเคืองผู้มาเยือนแต่รุ่งอรุณ”
“ตอนนั้นเป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงแต่ตอนนี้คือต้นฤดูร้อน ในเวลานั้นข้าเกลียดเขาเข้ากระดูกดำ แต่ในวันนี้กลับได้รับบุญคุณที่เขาช่วยชีวิตข้าเอาไว้ เกรงว่าทั้งชีวิตก็มิสามารถตอบแทนเขาได้…”
ชืออีหมิงถอนหายใจยาวออกมา “ใจของข้าหวาดกลัวยิ่ง ตลอดสองวันมานี้รู้สึกมิสบายใจเอาเสียเลย เมื่อเปิดอ่านความฝันในหอแดงอีกครา จึงรู้สึกว่าชีวิตนี้ราวกับความฝันในหอแดง”
ทันใดนั้นเขาก็ตบเข้าที่ลูกกรงและร้องออกมา
“ได้จังหวะมั่งมีศรีสุข ความเกลียดชังที่ไม่เที่ยงหวนคืนอีกครา
ตะลึงงัน โยนทุกเรื่องทิ้งไป
สั่นไหว ใช้จิตวิญญาณที่ดีไปจนหมดสิ้น
มองไปยังบ้านเกิด หนทางไกลภูเขาสูงชัน
ดังนั้นจึงบอกกับบิดามารดาในความฝัน
ชีวิตของบุตรได้เข้าสู่น้ำพุเหลือง
ความสัมพันธ์ในครอบครัวจำต้องถอยห่างและปลีกกายโดยไว ! ”
“ดี… ! ”
เสียงร้องของเขายังมิทันได้สิ้นสุดลง ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ก้าวเข้ามาเสียก่อน
ชืออีหมิงตื่นตกใจจนต้องหันหน้ากลับไปมอง ส่วนสีฉวินเหมยและคนอื่น ๆ ก็ได้ลุกขึ้นยืน
ทุกคนโค้งคำนับฟู่เสี่ยวกวนที่กำลังหัวเราะร่า “พวกเจ้าล้วนเป็นคนคุ้นเคยของข้า อย่าได้ทำตัวห่างเหินกันเช่นนี้ รีบนั่งลงเถิด… เสี่ยวเอ้อ ยกสุรามา ! ”
คนผู้นี้คือติ้งอันป๋อ !
นอกจากสีฉวินเหมยที่เพิ่งได้พบกับเขาเมื่อไม่นานมานี้ ฝ่ายชืออีหมิงและคนอื่นก็มิได้พบกับฟู่เสี่ยวกวนมาอย่างน้อย 1 ปีแล้ว
คุณชายเศรษฐีที่ดินจากหลินเจียงผู้นี้ใช้เวลาเพียง 2 ปีก็ได้เป็นป๋อเจวี๋ยเพียงหนึ่งเดียวของราชวงศ์หยูแล้ว เขาเป็นถึงขุนนางขั้นสามทั้งยังได้รับตำแหน่งเต้าถายของว่อเฟิงเต้าอีกด้วย
รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่แปด เดือนสิบ วันที่หนึ่ง บนพระราชวังจินเตี้ยนเขาได้แสดงพรสวรรค์ออกมาและฝ่าบาทก็ได้พระราชทานให้เขาเป็นฉาวซ่านต้าฟูขั้นห้า ทั้งยังพระราชทานฐานะจิ้นซื่อให้แก่เขาอีกด้วย…นี่คือสิ่งที่พวกเขาต่างก็รู้เห็นเป็นพยาน !
พวกเขามิเคยเห็นอีกฝ่ายอยู่ในสายตามาก่อน มิเคยให้ความสำคัญกับชายผู้นี้มากพอ แต่ในวันนี้คนนอกสายตาได้กลายมาเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือแก่พวกตน
ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่จะเงยหน้ามองก็ยังยากที่จะกระทำได้ !
ในใจของบางคนเต็มไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ ส่วนในใจของบางคนก็ปลดปลงว่ามันเป็นเรื่องของโชคชะตา
มีเพียงสีฉวินเหมยเท่านั้นที่จ้องมองฟู่เสี่ยวกวน ทันใดนั้นก็กล่าวว่า “ทำเยี่ยงนี้คิดว่าคุ้มค่าแล้วหรือ ? ”
“ข้ารู้สึกว่าหากพวกเขาสามารถออกมาจากเงามืดได้ ก็สามารถยืนอยู่ท่ามกลางแสงสุริยาได้อีกครา เช่นนั้นก็คุ้มค่ายิ่ง”
“พวกเขา…ต่อให้ฝ่าบาทอภัยโทษให้แล้วก็ตาม แต่ก็คงมิมีทางเป็นขุนนางได้อีก”
นี่คือสิ่งที่ชืออีหมิงและพวกพ้องรู้ดีแก่ใจ
พวกเขามิเข้าใจว่าเหตุใดฟู่เสี่ยวกวนถึงยอมเสี่ยงอันตรายทูลขอฝ่าบาทเพื่อช่วยชีวิตพวกเขาออกมาจากคุกกัน ?
ในวันนี้อีกฝ่ายได้เป็นเต้าถายแห่งว่อเฟิงเต้า ย่อมต้องการกำลังคนที่มีความสามารถ แต่พวกตนมิสามารถเป็นขุนนางได้จึงมิอาจช่วยอันใดเขาได้เลย
ฟู่เสี่ยวกวนยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย ยกไหสุราขึ้นมาแล้วรินให้ทีละคน พร้อมกล่าวอย่างช้า ๆ ว่า
“หากมีปณิธาน มิจำเป็นต้องเป็นขุนนาง”
“หากซึมเซา ต่อให้เป็นขุนนาง… ก็เป็นเพียงแค่สุนัขหวงก้างตัวหนึ่ง”
เขานั่งลงแล้วยกจอกสุราขึ้น “ทุกท่าน สุราจอกแรกเพื่อแสดงความยินดีแก่ชีวิตใหม่ของทุกคน ! ”
ทุกคนชูจอกสุราขึ้นมาแต่ยังคงมิเข้าใจว่าร่างที่ต้องโทษนี้จะเกิดใหม่ได้เยี่ยงไร ?
พวกเขาล้วนเต็มไปด้วยความรู้ความสามารถ แต่ทว่าไร้หนทางที่จะตอบแทนคุณผืนปฐพีแล้ว สำหรับพวกตนที่เคยเป็นเยาวชนผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล ในตอนนี้กลับมีเพียงอนาคตที่มืดมนเท่านั้น
“อย่ามัวจมอยู่กับความผิดในวันวานเลย ลูกผู้ชายอกสามศอกจงแกว่งกระบี่และทำลายมันเสีย ! ผู้ที่อยู่มานานย่อมบินสูง ผู้บุกเบิกจะสำเร็จได้เร็ว ก็ต่อเมื่อล่องเรือไปในแม่น้ำอันกว้างใหญ่และได้เผชิญกับลมและคลื่นที่ซัดสาด แล้วชั่วชีวิตของมนุษย์จะราบรื่นมั่นคงไปตลอดได้เยี่ยงไร ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนหยิบจอกสุราและลุกขึ้นยืน ใบหน้าเคร่งขรึม สายตาเฉียบคม
“พวกเจ้าคิดว่านั่นคือความพ่ายแพ้เยี่ยงนั้นหรือ ? มิถูกต้อง เพราะในความคิดของข้า นั่นเป็นเพียงจุดแวะพักแห่งหนึ่งระหว่างการเดินทางก็เท่านั้น หากพวกเจ้ายังมิยอมฟื้นตัวเช่นนี้ จุดแวะพักก็แค่หลุมฝังศพของพวกเจ้า !
หากพวกเจ้าสามารถซ่อมแซมความรู้สึกและออกเดินทางใหม่ได้อีกครา ที่จุดแวะพักนั้นก็คือประตูแห่งการมีชีวิตใหม่ของพวกเจ้า ! ”
“ข้าขอเอ่ยอย่างมิปิดบังพวกเจ้าว่า เพื่อช่วยพวกเจ้าออกมา ข้าได้ทำให้ฝ่าบาทขุ่นเคืองพระทัยอย่างแท้จริง หากพวกเจ้ามีท่าทีที่ไร้ชีวิตชีวาเยี่ยงนี้ การมีชีวิตอยู่บนใต้หล้านี้กับมีชีวิตอยู่ในคุกนั้นมันจะแตกต่างกันเยี่ยงไร ? ”
“พวกเจ้าล้วนเป็นบัณฑิตที่ได้รับการศึกษา ยังจำปณิธานในแรกเริ่มได้หรือไม่ ? ”
“เยาวชนแห่งราชวงศ์หยูเหล่านั้นหายไปไหนเสียหมดกัน ? ”
ชืออีหมิงและพรรคพวกก้มหน้าหลบเพราะรู้สึกละอายใจเกินจะรับได้
น้ำเสียงของฟู่เสี่ยวกวนดุดันขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งยังก้องกังวานมากยิ่งขึ้น
“มา มาท่องพร้อมกันกับข้า ! ”
“อาทิตย์สีชาดโผล่พ้น หนทางส่องสว่าง แม่น้ำพวยพุ่งจากใต้ดิน แผ่เป็นมหาสมุทรที่กว้างสุดลูกหูลูกตา ! ”
“…อาทิตย์สีชาดโผล่พ้น…”
“เสียงดังขึ้นอีก ! พวกเจ้าเป็นชายฉกรรจ์หรือไม่ ! เอาใหม่อีกครา ! ”
“อาทิตย์สีชาดโผล่พ้น หนทางส่องสว่าง แม่น้ำพวยพุ่งจากใต้ดิน แผ่เป็นมหาสมุทรที่กว้างสุดลูกหูลูกตา ! ”
“ดังขึ้นอีก ข้ายังมิได้ยิน ! ”
“อาทิตย์สีชาดโผล่พ้น หนทางส่องสว่าง แม่น้ำพวยพุ่งจากใต้ดิน แผ่เป็นมหาสมุทรที่กว้างสุดลูกหูลูกตา ! ”
“ดี… มังกรอำพรางทะยานฟ้า เกล็ดเล็บเริงระบำ ลูกเสือขาวแผดคำราม สัตว์ร้ายนับร้อยตื่นตระหนก ! ”
“มังกรอำพรางทะยานฟ้า เกล็ดเล็บเริงระบำ ลูกเสือขาวแผดคำราม สัตว์ร้ายนับร้อยตื่นตระหนก ! ”
“…”
“แม้นผ่านมานับพันชั่วอายุคน ก็ยังมีอาณาเขตที่ห่างกันไกลโพ้น อนาคตเหมือนกับทะเล หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล ! ”
“แม้นผ่านมานับพันชั่วอายุคน ก็ยังมีอาณาเขตที่ห่างกันไกลโพ้น อนาคตเหมือนกับทะเล หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล ! ”
ทุกคนต่างชูจอกสุราและลุกขึ้นยืน
ชืออีหมิงและพรรคพวกกู่ร้องอย่างบ้าคลั่ง น้ำตาของพวกเขาไหลอาบหน้า เสียงที่ดังขึ้นในหอซื่อฟางเปรียบเสมือนเสียงสายฟ้าในฤดูใบไม้ผลิ
พลังงานบางอย่างที่มิสามารถอธิบายได้กำลังผุดขึ้นในใจของพวกเขา หมอกควันค่อย ๆ จางหายไปและเริ่มสดใสขึ้นมา
สายตาที่พวกเขามองฟู่เสี่ยวกวนดูคลั่งไคล้ราวกับมองผู้แสวงบุญ ณ เวลานั้นฟู่เสี่ยวกวนมิได้ต่างอันใดจากกองไฟอันน้อยนิดที่ลุกโชนเลย ท่ามกลางหิมะที่หนาวเหน็บ ราวกับน้ำพุที่ผุดขึ้นมาในน้ำที่ขุ่นมัว
ในกองไฟอันน้อยนิดและน้ำพุสายนั้น ทำให้พวกเขาได้รับชีวิตใหม่อีกครา
ดังนั้นจึงบังเกิดนิพพานขึ้นมา !