ตอนที่ 654 กวนบาทา
คำว่าสอบได้ที่สองของเหอเชิงอันเพียงประโยคเดียวก็ทำให้หยุนซีเหยียนตื่นตกใจแทบบ้า !
มิแปลกใจเลยว่าเหตุใดเจ้าหมอนี่ถึงตื่นเต้นจนไร้สติ คนสอบตั้งสามหมื่นกว่าคนแต่เขากลับสอบได้ลำดับที่สอง สมควรแล้วที่จะรู้สึกตื่นเต้นดีใจ และพลอยทำให้จิตใจที่สงบมิไหวติงของหยุนซีเหยียนสั่นไหวขึ้นมาได้บ้างแล้ว เขาจึงรีบเอ่ยถามออกไปว่า
“แล้ว…อันดับที่หนึ่งคือผู้ใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
เหอเชิงอันเหลือบมองน่องไก่ในมือของหยุนซีเหยียน ตั้งแต่เช้าเขาก็ตรงดิ่งมาที่หลานถิงจี๋แห่งนี้เลยทันที ข้าวเช้ายังมิตกถึงท้องเลยสักเม็ด
หยุนซีเหยียนรีบหยิบน่องไก่อีกน่องแล้วส่งให้คนตรงหน้า จากนั้นทั้งสองก็ได้นั่งแทะน่องไก่อยู่ที่ริมทะเลสาบเว่ยยาง
“ข้าจะมิเอ่ยขอบคุณ แต่ข้าจะจดจำท่านไว้ในใจ ขอทราบชื่อแซ่ของท่านได้หรือไม่ ? ”
“ข้าคือหยุนซีเหยียนจากเขตเฉิงตู”
น่องไก่ในปากของเหอเชิงอันพลางหล่นลงมาตกที่หน้าขา แต่ทว่าเขาก็เก็บมันกลับขึ้นมาแทะต่อทันที
คุณชายเหอหันกลับไปมองชายหนุ่มที่อยู่ข้างกายด้วยความตกใจอย่างยิ่งยวด “ท่าน… ท่านคือหยุนซีเหยียนเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ข้านี่แหละหยุนซีเหยียน…เห็นทีว่านามของข้าจะโด่งดังมากเลยใช่หรือไม่ ? ”
เหอเชิงอันนิงเงียบไปครู่หนึ่งจากนั้นก็พยักหน้าเห็นด้วย “ตอนนี้โด่งดังไปแล้วอย่างแท้จริง”
“ที่ท่านเอ่ยนั้นหมายความว่าเยี่ยงไร ? ”
“ท่านก็คืออันดับที่หนึ่งเยี่ยงไรเล่า ! ”
“…” หัวใจของหยุนซีเหยียนเต้นรัวมิเป็นจังหวะ เดิมทีก็คิดว่าตนจะได้เข้าไปยลผลสอบครานี้ด้วยจิตใจที่นิ่งเฉย เขามิได้แยแสที่จะเข้าไปร่วมมุงดูกับฝูงชน เขาคิดไว้ในใจแล้วว่าเยี่ยงไรเสียตนก็เป็นสิบอันดับแรกและว่อเฟิงเต้าจะต้องมีที่ว่างให้ตนอย่างแน่นอน
เมื่อได้ยินว่าตนสอบได้ที่หนึ่งอย่างมิคาดฝัน ข่าวนี้ทำให้เขาต้องเรียบเรียงความคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“มิทราบว่าท่านชื่อแซ่อันใด ? ”
“ข้าแซ่เหอ ชื่อเชิงอัน”
“ท่านมั่นใจหรือว่ามิได้ดูผิด ? ”
เหอเชิงอันกัดน่องไก่แล้วเหลือบมองอีกฝ่าย “ตั้งที่หนึ่ง… ท่านแย่งที่หนึ่งไปจากข้า แล้วข้าจะมองผิดได้เยี่ยงไรกัน ? ”
หยุนซีเหยียนกระโดดโลดเต้นขึ้นมา เขาตบบ่าของเหอเชิงอัน “รอข้าอยู่ที่นี่ก่อน ประเดี๋ยวข้าจะเลี้ยงข้าวท่านเอง ! ”
เอ่ยจบก็วิ่งออกไป ปล่อยให้เหอเชิงอันมองตามแผ่นหลังของเขา ชายหนุ่มที่สอบได้ที่หนึ่งผู้นี้เหตุใดข้าถึงได้คุ้นหน้าคุ้นตาเขามากยิ่งนัก ?
อ่า…ใช้แล้ว ! เหมือนชายหนุ่มคนที่ขายหนังสือรวมบทกวีของติ้งอันป๋อเมื่อตอนเช้าเลยนี่ !
บุรุษผู้นี้ช่างเก่งกาจยิ่ง เหมือนว่าต่อไปก็ต้องไปเป็นขุนนางที่เดียวกัน ดังนั้นสานสัมพันธ์ไว้สักหน่อยย่อมเป็นผลดี
หยุนซีเหยียนพุ่งตัวแทรกเข้าไปด้านหน้าอย่างสุดกำลัง เขาแทรกตัวเข้าไปแล้วตะโกนออกมา “ขอทางหน่อย ที่หนึ่งมาแล้ว ทุกท่านได้โปรดหลีกทางให้ข้าด้วยเถิด ! ”
เหล่าปัญญาชนที่รายล้อมอยู่เมื่อได้ยินเช่นนี้จึงลอบคิดในใจว่าเจ้าหมอนี่เป็นผู้ใดกัน เหตุใดถึงอวดดีไร้ยางอายได้ถึงเพียงนี้ !
เนื่องจากผลการสอบเป็นขุนนางครานี้มีผู้ถูกคัดเลือกจำนวนมาก การลำดับรายชื่อนี้ทางราชสำนักจึงเขียนด้วยลายมือขยุกขยิกยาวเป็นพรืด เหล่าปัญญาชนทั้งหลายกำลังมองหารายชื่อของตนบนประกาศอย่างยากลำบาก และเมื่ออยู่ ๆ หยุนซีเหยียนได้แทรกตัวเข้ามากระแทกจึงทำให้สายตาของพวกเขาหลุดออกจากการเพ่งเล็งและจำต้องเริ่มหาใหม่อีกครา
นี่จึงทำให้พวกเขารู้สึกโกรธมากยิ่งนัก !
เหล่าปัญญาชนมากมายจ้องหยุนซีเหยียนตาเขม็ง ในที่สุดเขาก็เบียดมาถึงด้านหน้าสุดได้ และแล้วในจังหวะที่เงยหน้าขึ้นมองประกาศนั้น…
ภายในจิตใจของเขาได้บังเกิดความดีใจขึ้นมาทันพลัน !
ตัวอักษรสีแดงสดสามตัวที่เขียนว่า หยุนซีเหยียน เด่นตระหง่านอยู่ด้านบนสุด !
เขาเป็นอันดับที่หนึ่งอย่างแท้จริง !
ข้าเป็นที่หนึ่งโว้ย !
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า… ! ”
ทันใดนั้นเขาก็หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง เหล่าปัญญาชนที่อยู่ข้าง ๆ รู้สึกมิค่อยสบอารมณ์เท่าใดนัก ยังจะมาหัวเราะอยู่อีกไอ้หอกนี่ ข้าจะอัดเจ้าให้ !
“หึ ! ยังกล้าอวดดีอยู่อีก พวกเรารุมกระทืบมัน ! ”
“ข้าหาชื่อของตนเองอยู่นานแสนนานยังหามิเจอ แต่ทว่าเจ้ากลับริอาจมาหัวเราะร่าใส่ข้าเช่นนี้ ช่างหน้ามิอาย ! ”
สุดท้ายหมัดกับเท้าจากเหล่าผู้เคืองโกรธก็ได้มุ่งไปบนร่างของหยุนซีเหยียนเป็นพัลวัน
เขารีบยกมือขึ้นมาปกป้องใบหน้า แต่ก็ยังคงหัวเราะอย่างคนสติฟั่นเฟือนมิหยุด “ข้าคือที่หนึ่ง ส่วนพวกเจ้าคือคนเหลือเดน…ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ! ”
เมื่อความโกรธแค้นได้เกิดขึ้น ความหุนหันพันแล่นก็ได้ถือกำเนิดขึ้นมาด้วยเช่นกัน ทันใดนั้นหยุนซีเหยียนก็พบว่าตนกำลังหลงระเริงกับความสำเร็จมากจนเกินไป เขาจึงรีบเบียดตัวออกจากการตะลุมบอน ลุกขึ้นโค้งศีรษะแล้วเบียดตัวออกมาพลางตะโกนว่า “อย่าทุบตีใบหน้าของข้า ทุกท่านอย่าได้ทำอันใดกับใบหน้าข้าเป็นอันขาด ! ”
ไอ้ประสาทนี่ !
ทหารรักษาการณ์ที่คุมเหตุการณ์อยู่ด้านหน้าเหลือบมาเห็นเข้าพอดี ไอหยา…เหตุใดถึงเกิดความวุ่นวายขึ้นมาได้เล่า ?
“หยุดประเดี๋ยวนี้ ! ” กองทหารรักษาการณ์ส่งหัวหน้ากองรุดเข้าไปยังจุดเกิดเหตุ
“ผู้ใดบังอาจลงไม้ลงมือก็อย่าได้โทษดาบของข้าที่ฟันมิเลือกหน้า ! ”
หัวหน้ากองทหารนายนี้ก็หวาดหวั่นอยู่มิน้อย เจ้าคนหนุ่มพวกนี้ดีมิดีอาจจะเป็นคนที่มีรายชื่ออยู่ในประกาศก็เป็นได้ อีกประเดี๋ยวขันทีเจี่ยก็คงมาประกาศพระราชโองการ หากสิบอันดับแรกไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทในสภาพใบหน้าฟกช้ำบวมปูด ในฐานะหัวหน้าทหารรักษาการณ์เช่นเขาก็มิรู้แล้วว่าจะรายงานเรื่องนี้ว่าเยี่ยงไรดี
เขาจึงกัดฟันกรอด ‘ชวิ้ง… ! ’ เสียงดาบที่ถูกชักออกมาจากฟักดังขึ้น “ข้าขอเตือนเป็นคราสุดท้าย ผู้ใดกล้าลงมือ ข้าจะฟันมันผู้นั้นเสีย ! ”
เมื่อเสียงนี้ดังขึ้นมา เหล่าปัญญาชนกลุ่มนั้นจึงหยุดชะงักลงทันควัน ร่างของหยุนซีเหยียนกลายเป็นที่รองรับหมัดและเท้าจากเหล่าปัญญาชน แต่ทว่าเหล่าปัญญาชนมิได้ช่ำชองด้านวรยุทธ จึงมิได้ลงมือกันอย่างโหดเหี้ยม นอกจากจะรู้สึกเจ็บปวดแล้วเขาก็มิได้รู้สึกว่าตนได้รับบาดเจ็บรุนแรงตรงที่ใดอีก
ในขณะเดียวกันนั้น เขาเพิ่งรู้สึกผ่อนคลายจากความหวาดกลัวแล้วทิ้งมือที่ป้องใบหน้าลง แต่ทันใดนั้นก็ได้มีหมัดพุ่งสวนเข้ามาที่ใบหน้าของเขา
“อ๊าก… ! ”
หยุนซีเหยียนร้องโหยหวน หมัดนั้นได้อัดเข้าตรงเบ้าตาด้านซ้ายอย่างเต็มแรง และตาข้างนั้นก็เขียวช้ำในทันที
“โอ๊ย… ! ” หยุนซีเหยียนยกมือขึ้นมาป้องตาแล้วสูดลมหายใจเข้าลึก “ผู้ใดหนอช่างโหดร้ายได้ถึงเพียงนี้ ? ”
“แล้วผู้ใดใช้ให้เจ้ากล้าทึกทักว่าตนเองคือที่หนึ่งเล่า ! ”
“ก็ข้าคือที่หนึ่งจริง ๆ นี่ ! ”
“จะ… เจ้าคือหยุนซีเหยียนเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ถ้าข้าเป็นตัวปลอม ข้าให้เอาคืนอีกหนึ่งที ! ”
“ไอ้สุนัขเอ้ย จับตัวเจ้าได้เสียที เอาเงินของข้าคืนมาประเดี๋ยวนี้ ! หนังสือรวมบทกวีนั้นเจ้ากล้าดีเยี่ยงไรขายแพงถึง 30 ตำลึงต่อหนึ่งเล่มกัน ! ”
“ช้าก่อนพ่อหนุ่ม… เจ้าช่างมิรักษาศีลธรรมทางการค้าเอาเสียเลย ! ธุรกิจค้าขายต่างฝ่ายต่างก็สมัครใจ ข้ามิได้ขู่เข็ญให้เจ้าซื้อใช่หรือไม่ ? ”
ชายผู้นั้นผงะเล็กน้อยแล้วก็คิดได้ในทันใดว่าสิ่งที่หยุนซีเหยียนเอ่ยมานั้นก็มีเหตุผล และที่สำคัญเจ้าหมอนี่ก็เป็นที่หนึ่งของการสอบเอินเคอเสียด้วยสิ จากนี้คงได้พบเห็นกันบ่อยขึ้นเพราะจะได้ไปเป็นขุนนางที่ว่อเฟิงเต้าด้วยกัน คงมิดีที่จะมีเรื่องกับเขาเพียงเพราะเงินแค่สามสิบตำลึง
ในขณะเดียวกันนั้นเอง ขันทีเจี่ยก็ได้ถือพระราชโองการจากองค์ฮ่องเต้เดินหน้าขึ้นมา
สายตาของเหล่าปัญญาชนจึงมองตรงไปที่ขันทีเจี่ยอย่างพร้อมเพรียง
ผู้ประสบความสำเร็จในการสอบทางราชสำนักครานี้ ฝ่าบาทมีพระราชประสงค์ให้สิบอันดับแรกเข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ นี่ถือเป็นเกียรติอันสูงสุดของการสอบตลอดหลายปีที่ผ่านมา
การสอบขุนนางในช่วงฤดูใบไม้ร่วงเป็นการสอบเข้ารับราชการในพระราชวัง ซึ่งเป็นการตัดสินว่าผู้ใดจะสอบได้จอหงวน ปั๋งเหยียน และทั่นฮวา แม้ว่าการสอบเอินเคอครานี้จะมิได้เข้าไปรับราชการในพระราชสำนัก แต่ทว่าการได้เข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้ถือเป็นเกียรติอันหาที่สุดมิได้
หัวหน้าทหารรักษาการณ์ได้นำทหารรักษาพระองค์กลุ่มหนึ่งกันทางเดินออกมาเป็นถนนเส้นหนึ่ง จากนั้นขันทีเจี่ยก็ได้เดินขึ้นไปยืนยังแท่นสูง กระแอมไอในลำคอจากนั้นก็ประกาศพระราชโองการ
“ด้วยโองการแห่งฟ้า องค์ฮ่องเต้มีพระบัญชา เมื่อผลการสอบเอินเคอได้ถูกประกาศอย่างเป็นทางการแล้ว ฝ่าบาทรู้สึกเกษมสำราญอย่างยิ่งยวด พวกท่านทั้งหลายล้วนเป็นคนหนุ่มสาวของราชวงศ์หยู ท่านที่ถูกคัดเลือก ฝ่าบาทปรารถนาให้พวกท่านได้เริ่มปฏิบัติหน้าที่ให้สำเร็จที่ว่อเฟิงเต้า ส่วนท่านที่มิได้รับการคัดเลือก ฝ่าบาทปรารถนาให้ขะมักเขม้นในการศึกษาต่อไป จากนั้นก็ให้มาสอบขุนนางในช่วงฤดูใบไม้ร่วง
ผู้ที่สอบเอินเคอได้สิบอันดับแรกขอให้เดินทางไปยังท้องพระโรงเฉิงเทียนโดยเร็ว เพราะฝ่าบาททรงรอคอยที่จะได้พบพวกท่านทั้งสิบ
เพื่อพระราชทานรางวัลอย่างงาม ! ”
เมื่อเสียงของขันทีเจี่ยสิ้นสุดลง เขาก็เงยหน้าขึ้นมองเหล่าปัญญาชนกลุ่มนั้น ลมปราณทั้งหมดหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว เสียงอันก้องกังวานก็ได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งหลานถิงจี๋
“ผู้ที่สอบเอินเคอได้สิบอันดับแรกให้มายังด้านหน้าโดยด่วน ติดตามข้าเข้าพระราชวังเพื่อเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ! ”
เหอเชิงอันที่กำลังแทะน่องไก่อยู่ริมทะเลสาบเว่ยยางรีบเขวี้ยงน่องไก่ทิ้งทันที เขาก้มลงตักน้ำล้างหน้า จากนั้นก็วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
“ข้าน้อยคืออันดับสอง เหอเชิงอัน ! ”
หยุนซีเหยียนเบียดตัวออกจากฝูงชนได้สำเร็จ จากนั้นก็ยกมือขึ้นป้องตาแล้วเดินไปด้านหน้าด้วยความเจ็บปวด “ข้าน้อยคือที่หนึ่ง หยุนซีเหยียน”
ขันทีเจี่ยเห็นสถาพเขาจึงขมวดคิ้วถามด้วยความฉงน “เจ้าไปโดนอันใดมาเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
เมื่อได้ยินขุนนางชั้นผู้ใหญ่เอ่ยถามเช่นนั้น ชายหนุ่มที่ชกหยุนซีเหยียนเมื่อครู่ก็เกิดความลุกลี้ลุกลนขึ้นมาทันที มิได้การแล้ว !
หากหยุนซีเหยียนฟ้องเขาในตอนนี้ เขาซึ่งอยู่ในลำดับที่ 860 เห็นทีจะต้องถูกปลดเสียแล้ว