หลี่จิ้งเสียนรีบลงจากที่นั่ง เดินมุ่งเข้าไปให้การต้อนรับด้วยตนเองและกล่าว “ไม่ทราบว่าพี่เขยจะมาอย่างกะหันหันเช่นนี้ จิ้งเสียนจึงมิทันได้ออกไปต้อนรับ โปรดอภัยด้วยขอรับ”
เยี่ยเต๋อฮ๋วยชำเลืองมองเขาอย่างไม่แยแส “มิจำเป็นต้องถ่อมตนกับข้าเพียงนี้หรอก ข้าได้ยินหมิงอวินเอ่ยว่ายามนี้เจ้ากำลังตกระกำลำบากจนไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรต่อไป ข้าก็เลยมาเชยชมความหายนะของเจ้าเสียหน่อย”
หลินหลันได้ยินประโยคดังกล่าว ถึงกับแทบกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่ ท่านลุง ท่านก็พูดไปเลยสิว่า ข้ามาเพื่อตอกย้ำซ้ำเติมเจ้า
หลี่จิ้งเสียนสีหน้าอับอาย รู้สึกชาไปทั้งศีรษะ พี่เขยไม่เคยไว้หน้ากันมาแต่ไหนแต่ไร ทุกครั้งหากไม่ได้จิกกัดเขาแรงๆ ก็คงไม่รู้สึกสบายใจกระมัง เกรงก็แต่ว่าคำพูดไม่น่าฟังยังรออยู่หลังจากนี้ต่างหากล่ะ
“พี่เขยเชิญนั่งก่อนขอรับ” หลี่จิ้งเสียนกล่าวอย่างนอบน้อม
เยี่ยเต๋อฮ๋วยไม่ให้ความเกรงใจเช่นกัน เขาเดินมุ่งไปนั่งยังตำแหน่งอันเป็นที่นั่งเดิมของหลี่จิ้งเสียน
หลี่จิ้งเสียนส่งสายตาให้หมิงเจ๋อเพื่อเป็นการบอกให้เขาและหลั้วเหยียนขยับออกไป
เยี่ยเต๋อฮ๋วยสายตาเฉียบคมพอ จึงมองเห็นภาพดังกล่าว เขาชายตามองหมิงเจ๋อแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ผู้นี้ก็คือคนที่หลี่จิ้งเสียนเอ่ยว่าโตกว่าหมิงอวินของพวกเราสองปีสินะ”
หลี่จิ้งเสียนยิ่งรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกหนักกว่าเดิม เขาไม่มีหน้าเอ่ยว่าไม่ใช่ และไม่มีหน้าเอ่ยว่าใช่ หลี่หมิงเจ๋อจึงเป็นฝ่ายก้าวขึ้นไปเบื้องหน้าแล้วคารวะให้เยี่ยเต๋อฮ๋วยอย่างนอบน้อม “อันที่จริงหมิงเจ๋อเกิดก่อนหน้าหมิงอวินเพียงชั่วโมงเดียวเท่านั้นขอรับ”
คำตอบเช่นนี้จึงเป็นการยอมรับต่อหน้าผู้คนว่าหลี่จิ้งเสียนกระทำการหลอกผู้อื่นเขามาแต่งงานด้วยจริง สีหน้าหลี่จิ้งเสียนไม่พึงพอใจแต่กลับไม่กล้าแสดงท่าทีใดๆ ต่อหน้าพี่เขย
เยี่ยเต๋อฮ๋วยได้ยินหมิงอวินเอ่ยว่าบุตรชายคนโตของตระกูลหลี่ผู้นี้ แม้ว่าไม่เก่งกาจแต่ไม่ใช่คนเลวร้ายอันใด ผลผลิตจากผู้ชั่วร้ายทั้งสองกลับปราศจากความชั่วร้ายไปได้ นับว่าช่างพบเจอได้ยากนัก เดาว่าบรรพบุรุษรุ่นก่อนๆ ของตระกูลหลี่คงเคยกระทำเรื่องดีงามไว้บ้างกระมัง
“อืม นับว่าเจ้าซื่อสัตย์ไม่น้อยทีเดียว แข็งแกร่งกว่าพ่อเจ้ามาก” เยี่ยเต๋อฮ๋วยลูบหนวดเคราพลางกวาดสายตามองไปที่หลี่จิ้งเสียนอย่างดูหมิ่น
หลี่หมิงอวินยกกำปั้นหลวมๆ ปิดปากกระแอมเพื่อเป็นการสื่อความหมายให้ผู้เป็นลุงรีบเข้าประเด็นหลักเสียที
เยี่ยเต๋อฮ๋วยกล่าวอย่างใจเย็น “ได้ยินหมิงอวินเอ่ยว่านางฮานถูกลักพาตัวเรียกค่าไถ่ จึงต้องการเงินมากถึงแปดแสนตำลึงเงินเพื่อไถ่ตัวออกมาเช่นนั้นหรือ”
หลี่จิ้งเสียนกล่าว “ใช่ขอรับ” แล้วชี้ไปยังนิ้วมือที่มีคราบเลือดปรากฏบนพื้นพร้อมกับเอ่ยต่อ “เมื่อครู่คนชั่วเหล่านั้นให้คนส่งนิ้วมือที่ถูกตัดขาดนี้มาให้เพื่อข่มขู่อีกด้วยขอรับ”
เยี่ยเต๋อฮ๋วยแสยะยิ้มแล้วกล่าว “เช่นนั้นเจ้าก็ควรไปแจ้งทางการถึงจะถูก ต่อให้ไม่แจ้งทางการ เจ้าเป็นขุนนางตั้งหลายปีเพียงนี้ ทั้งยังดำรงตำแหน่งสำคัญ เพียงแค่กระดิกนิ้วเรื่อยเปื่อยก็มีคนหอบเงินก้อนโตมาให้ถึงที่ ใครๆ ต่างเอ่ยว่าเป็นขุนนางตอนแรกๆ ก็ซื่อสัตย์บริสุทธิ์ แต่สามปีให้หลังเนื่องด้วยการทุจริตที่รายล้อมอยู่รอบตัว จึงไม่อาจต้านทานไหว และไม่นานก็กอบโกยเงินได้มหาศาล ดังนั้นแปดแสนตำลึงเงิน สำหรับเจ้าก็แค่เศษเงินเท่านั้นกระมัง เหตุใดต้องร้องโวยวายว่าไม่มีเงินมากเพียงนั้น แล้วยังต้องให้หลานชายข้ามาร้องขอความช่วยเหลือถึงบ้านอีก? หรือว่าเจ้าจงใจอยากให้นางฮานนั่นถูกฆ่าตายไปเสีย”
หลี่จิ้งเสียนกล่าวด้วยความละอายแก่ใจ “ท่านพี่เขยพูดเป็นเล่นไปขอรับ ข้าเป็นขุนนางสุจริต ไม่เคยรับเงินที่ไม่ถูกต้องเช่นนั้นหรอกขอรับ เพียงแต่ตอนนี้…ไม่รู้จะหาเงินจำนวนมากเพียงนี้ได้จากที่ไหนจริงๆ ขอรับ”
ติงหลั้วเหยียนอดนึกดูหมิ่นอยู่ในใจไม่ได้ หากพ่อตาบริสุทธิ์จริง คนของฝ่ายตรวจการขุนนางจะตรวจพบความผิดท่านพ่อได้อย่างไรกันหรือ มาถึงขั้นนี้แล้ว ยังจะแสร้งเป็นผู้สูงศักดิ์ไร้มลทินอยู่อีก และยังกล้าพูดประโยคเช่นนั้นออกมาได้อีก
หลินหลันกล่าว “ท่านลุงเจ้าคะ เมื่อเร็วๆ นี้ในบ้านเกิดเรื่องราวบางอย่างทำให้สถานการณ์เปลี่ยนไป จึงหาเงินจำนวนแปดแสนตำลึงเงินมาไม่ได้จริงๆ เจ้าค่ะ ขอท่านลุงโปรดเห็นแก่หมิงอวิน ช่วยเหลือกันสักครั้ง ถึงอย่างไรหมิงอวินก็เป็นคนของตระกูลหลี่นะเจ้าคะ”
เยี่ยเต๋อฮ๋วยชำเลืองตามองหลินหลันแล้วกล่าวอย่างใจเย็น “หลานสะใภ้ หากเป็นเรื่องของพวกเจ้าสามีภรรยา ลุงคงไม่พูดอันใดให้มากความ อย่าว่าแต่แปดแสนตำลึงเงินเลย ต่อให้เป็นแปดล้านตำลึงเงินลุงก็พร้อมยินยอมช่วยเหลือ ทว่า ทุกสิ่งที่นางฮานผู้นั้นกับพ่อตาเจ้าท่านนี้กระทำไว้ มันทำให้รู้สึกโกรธเคืองยิ่งนัก ลุงมิใช่นักบุญที่จะซื่อบื้อโดยการตอบแทนความโกรธแค้นด้วยการกระทำความดีงามหรอก”
หลี่หมิงเจ๋อเดินก้าวขึ้นไปสองฝีก้าวแล้วคุกเข่าให้เยี่ยเต๋อฮ๋วย กล่าวด้วยความจริงใจ “โปรดอนุญาตให้หมิงเจ๋อเรียกท่านว่าท่านลุงนะขอรับ เรื่องที่ผ่านมาท่านแม่ข้ามีความผิดจริง ซึ่งยามนี้นางก็ได้รับผลในสิ่งที่กระทำลงไปแล้วเช่นกัน หมิงเจ๋อขอขมาเพื่อยอมรับความผิดทั้งหมดแทนท่านแม่ด้วยขอรับ ท่านลุงโปรดให้ความช่วยเหลือด้วยเถิดขอรับ หมิงเจ๋อจะซาบซึ้งในบุญคุณอันหาที่สุดมิได้ขอรับ” เมื่อเอ่ยจบ หมิงเจ๋อก้มลงโขกศีรษะอย่างที่กล่าวไว้จนเกิดเสียงดัง ปึก ปึก
เยี่ยเต๋อฮ๋วยหาไม่ได้ห้ามเขา หมิงเจ๋อต้องการรับผิดแทนนางฮานนั่นมันเป็นเรื่องของหมิงเจ๋อ ส่วนเขาจะยอมให้อภัยหรือไม่ก็เป็นเรื่องของเขา อีกทั้งเขาก็ไม่ได้ให้หมิงเจ๋อโขกศีรษะลงบนพื้นเสียหน่อย
ติงหลั้วเหยียนยืนมองอยู่ด้านข้างพร้อมกับความรู้สึกเจ็บปวดใจ นางจึงหันไปส่งสายตาร้องขอความช่วยเหลือจากหมิงอวิน
หลี่หมิงอวินถอนหายใจอย่างเงียบๆ หมิงเจ๋อดันมีมารดาเช่นนี้จึงนับว่าเป็นความซวยมหันต์ “ท่านลุงขอรับ ท่านก็ช่วยกันสักครั้งเถอะนะขอรับ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ หากทำไม่ดี คงได้พังพินาศกันทั้งตระกูล หลานเองก็คงต้องย่ำแย่ไปด้วยเช่นกัน ท่านลุง จะอย่างไรก็ต้องรักษาหน้ากันไว้บ้าง ถือว่าช่วยหลานสักครั้งนะขอรับ”
เยี่ยเต๋อฮ๋วยลูบคลำหนวดเคราพลางขมวดคิ้วราวกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง “จะให้ข้าออกเงินให้ก็ย่อมได้ แต่ต้องนำห้องแถวและที่ดินชานเมืองของตระกูลเยี่ยทั้งหมดคืนมา ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีอันใดต้องพูดคุยกันอีก”
ทันทีที่ประโยคดังกล่าวหลุดออกไป ทุกคนต่างมองไปที่หลี่จิ้งเสียน
หลี่จิ้งเสียนรู้ดีแต่แรกเช่นกันว่าพี่เขยคงไม่ยอมช่วยเหลือกันโดยง่าย พูดตรงๆ ก็คือ การมาของเขาในวันนี้เพื่อทวงคืนทรัพย์สินที่นางฮานฮุบไว้ น่าเสียดายที่ตอนนี้เขาไม่สะดวกไปยืมเงินผู้อื่น ยิ่งไปกว่านั้นคือแตะต้องเงินในโรงรับฝากเงินนั่นไม่ได้ ทองคำเหล่านั้นที่แอบซ่อนไว้ในบ้าน ณ เมืองเทียนจินก็นำมากู้สถานการณ์นี้ไม่ทันการณ์ จึงทำได้เพียงยืมเงินเยี่ยเต๋อฮ๋วยเท่านั้น เยี่ยเต๋อฮ๋วยผู้นี้ นี่ไม่ต่างจากการซ้ำเติมกันชัดๆ
“ข้าจะบอกอะไรให้นะหลี่จิ้งเสียน หลายปีมานี้พวกเราตระกูลเยี่ยสร้างประโยชน์ให้แก่ตระกูลหลี่ของพวกเจ้ามามากพอแล้ว การหลอกผู้อื่นมาแต่งงานด้วยครั้งนี้ก็นับว่าประสบความสำเร็จเช่นกัน หากมิใช่เพราะเห็นว่าตอนนี้เจ้าตกระกำลำบากปานนี้ ข้ายังเตรียมไปฟ้องร้องเจ้าเรื่องการแต่งงานกับผู้อื่นเขาทั้งๆ ที่ตนเองมีภรรยาเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว ทั้งหลอกแต่งงานทั้งปอกลอกทรัพย์สิน ตอนนี้ตระกูลเยี่ยพวกเราอยากทวงกลับคืน มันก็ยุติธรรมพออยู่แล้วมิใช่หรือ” เยี่ยเต๋อฮ๋วยกล่าวเย้ยหยัน
ใบหน้าชราของหลี่จิ้งเสียนถึงกับกระตุก เอาเถอะๆ ไฟลนก้นเพียงนี้แล้ว จัดการปัญญาตอนนี้ให้มันจบๆ ไปก่อนแล้วกัน
“ท่านพ่อ ท่านก็ตกลงไปเถิดขอรับ” หลี่หมิงเจ๋อกล่าวด้วยความเคารพ
หลี่จิ้งเสียนกัดฟันแน่น กลั้นใจกล่าวออกไป “ข้าตกลง”
“ช้าก่อน ข้าได้ยินว่ายามนี้ที่ดินชานเมือง มีแห่งหนึ่งคืนให้หมิงอวินไปแล้ว ที่ดินผืนนี้ข้าก็ต้องการด้วยเช่นกัน” เยี่ยเต๋อฮ๋วยกล่าว
หลินหลันแสร้งเผยสีหน้าตกตะลึง “ท่านลุง ทำไมหรือเจ้าคะ”
เยี่ยเต๋อฮ๋วยตวัดสายตามองนางและเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ “มิใช่ลุงดูถูกพวกเจ้า แต่พวกเจ้าสองคนไร้ความสามารถจริงๆ สมบัติที่มารดา แม่สามีทิ้งไว้ให้ยังปกปักษ์รักษาไว้ไม่ได้ หากข้าไม่ถือครองไว้ ไม่ช้าก็เร็วคงต้องถูกคนข้างๆ ฮุบไปอีก วางใจเถอะ ที่ดินแปลงนี้ ลุงจะช่วยจัดการดูแลให้พวกเจ้าก่อน รอพวกเจ้าแยกครอบครัวออกไปเป็นของตนเองแล้วเมื่อใดค่อยคืนให้เจ้าอีกที”
หลี่จิ้งเสียนรู้สึกเดือดดาลจนต้องการระเบิดอารมณ์ขึ้นมา พี่เขยทำเกินไปเสียแล้ว นี่มันไม่เท่ากับกำลังตบหน้าเขาหรอกหรือ ทั้งๆ ที่รู้สึกหงุดหงิดแทบแย่แต่กลับไม่กล้าเอื้อนเอ่ยคำใด
หลี่หมิงอวินถอนหายใจออกมาอีกครั้ง แล้วเอ่ยต่อหลินหลัน “เจ้าไปนำโฉนดมาให้ท่านลุงทีสิ”
หลินหลันเดินออกไปอย่างเชื่องช้าด้วยท่าทีไม่เต็มใจ จนกระทั่งออกพ้นโถงรับแขกส่วนหน้า
โฉนดที่ดินสองฉบับและโฉนดห้องแถวสิบแปดห้องวางเรียงอยู่เบื้องหน้าเยี่ยเต๋อฮ๋วย เยี่ยเต๋อฮ๋วยตรวจสอบมันอย่างละเอียด เมื่อมั่นใจแล้วว่าไม่มีสิ่งใดผิดพลาดจึงเอ่ยต่อหลี่จิ้งเสียน “เจ้าเขียนหลักฐานยืนยันไว้อีกสักใบ เกิดภายภาคหน้าเจ้าได้รับอำนาจใหญ่โตแล้วกลับตุกติก หาเรื่องจับข้าเค้าคุกเข้าตะราง ข้าจะได้มีหลักฐานไว้เป็นเครื่องยืนยันสักอย่าง”
หลี่จิ้งเสียนโมโหจนหายใจหายคอไม่สะดวก เยี่ยเต๋อฮ๋วยผู้นี้ได้คืบจะเอาศอกเกินไปแล้ว แต่ด้วยสถานการณ์ยากลำบากบีบบังคับ ในตอนนี้จึงไร้ทางเลือกอื่น หลี่จิงเสียนทำได้เพียงไปเขียนหลักฐานมาแล้วประทับตรานิ้วมือลงไป
เวลานี้เองเยี่ยเต๋อฮ๋วยถึงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ หลักได้รับหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษร เขาจึงหยิบตั๋วเงินออกมาจำนวนเงินแปดแสนตำลึงเงิน “นำไปแลกเงินได้ที่โรงรับฝากเงินทุกแห่ง แต่ก็อย่างที่ตกลงกันไว้แล้วนะว่าเงินนี่ให้ใต้เท้าหลี่ยืมเท่านั้น อย่างไรก็รบกวนช่วยเขียนหลักฐานการยืมเงินให้อีกใบแล้วกัน”
หลี่จิ้งเสียนแทบกระอักเลือดออกมา ที่ดินชานเมืองและห้องแถวก็ให้เจ้าไปหมดแล้ว นี่ยังต้องให้ข้าเขียนหลักฐานยืมเงินอีกหรือ
เยี่ยเต๋อฮ๋วยแสยะยิ้มมุมปาก “เป็นไรไปใต้เท้าหลี่ ข้าไม่ได้บอกว่าจะให้เงินเหล่านี้แก่ท่านไปเปล่าๆ นี่ เงินแปดแสนตำลึงนี้ สรุปแล้วเจ้าต้องการยืมหรือไม่”