ทะลุมิติทั้งครอบครัว – ตอนที่ 145-2

เถ้าแก่โรงเตี๊ยมก่วงหยวนนำเงินขายถั่วเมล็ดสนที่ช่วยขายแทนส่งให้กับซ่งฝูหลิงและนำเงินที่โรงเตี๊ยมสั่งซื้อหนึ่งร้อยห้าสิลกิโล เป็นจำนวนเงินยี่สิบเอ็ดตำลึงเงินยื่นส่งให้

ซ่งฝูหลิงพาเด็กๆ หยิบถั่วเมล็ดสนที่คั่วจนสุกหนึ่งกำมือวางไว้บนโต๊ะให้กับเถ้าแก่ และแขกที่อยู่ในโรงเตี๊ยมทุกคน

ก่อนจะออกจากโรงเตี๊ยมก่วงหยวนก็ขอบคุณแขกทุกคนอีกครั้ง นางเข้าใจดี ราคาเก้าสิบเหวิน ไม่มีใครต่อรองราคา ทุกคนซื้อสองกิโลสามกิโล มีแขกบางคนไม่จำเป็นต้องซื้อก็ได้ ของสิ่งนี้ก็ไม่ใช่สิ่งของจำเป็น แต่นี่พวกเขากลับช่วยพวกเราซื้อ

เฉียนหมี่โซ่วโบกมือให้กับแขกอย่างอาลัยอาวรณ์ พี่สาวบอกว่า ไม่สามารถขายที่นี่ต่อไปได้เพราะคนที่สามารถซื้อได้ก็พากันซื้อไปหมดแล้ว

โรงเตี๊ยมจี๋ซุ่น

โรงเตี๊ยมนี้เคยต้อนรับคนที่มีป้ายสีแดงเข้มมาหลายขบวน รวมทั้งขบวนป้ายสีแดงสด ไม่ว่าจะเป็นเถ้าแก่หรือแขก ก็ไม่ค่อยจะให้การต้อนรับนัก

สิ่งสำคัญก็คือ เมื่อพบขบวนผู้อพยพครั้งแรกก็รีบให้ความช่วยเหลือ เมื่อพบขบวนรอบสองก็ช่วยเหลือ เมื่อมีรอบสามรอบสี่ มีคนต้องการความช่วยเหลือเยอะก็ทำให้ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจนั้นหายไป สิ่งสำคัญสุดคือเพราะช่วยเหลือไม่ไหวแล้ว

แม้ว่าเด็กพวกนี้กับพวกที่เข้ามาขอนั้นจะไม่เหมือนกันนัก

ลองฟังคำพูดที่เด็กพวกนี้พูดออกมาสิ ฟังแล้วช่างแปลกใหม่นัก

“ถั่วเมล็ดสนทั่วไปแกะยาก ถั่วเมล็ดสนของเราสามารถใช้มือแกะได้ง่าย”

“บำรุงสมอง บำรุงร่างกายให้แข็งแรง”

“นี่คือของกินบำรุงร่างกาย”

ซ่วนเหมียวจื่อพูดเสริม “เก้าสิบเหวิน ซื้อมากินแล้ว รับรองไม่ขาดทุน ซื้อแล้วรับรองร่างกายแข็งแรง”

เถ้าแก่โรงเตี๊ยมจี๋ซุ่นถึงกับถอนหายใจ

ซ่งฝูหลิงบอกกับน้องชายน้องสาวทั้งหลายว่าไม่ต้องตะโกนโฆษณาแล้วเพราะไม่เป็นผล

ขยิบตาให้กับพี่สาวกัวที่คอยเฝ้าถุงกระสอบตรงประตู ให้พี่สาวกัวพาพวกเด็กๆ กลับไปกินขนมปังปิ้ง ตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ทุกคนยังไม่ได้กินอะไร ถ้าไม่ใช่เพราะมีเงินเป็นแรงจูงใจ อย่าว่าแต่เด็กๆ เลย แม้แต่นางก็หิวจนไม่มีเรี่ยวแรงแล้ว

“เห็นแก่หน้าของเหล่าไป๋ ข้าจะซื้อเก็บไว้สักยี่สิบห้ากิโลเพื่อตุนไว้ให้แขก ทำได้แค่นี้ พวกเจ้าก็อย่าขายในร้านอีกเลย ที่นี่แออัดเต็มไปด้วยผู้คนมากมายหลายรูปแบบ”

ยี่สิบห้ากิโล ถือว่าดีมากแล้ว เดิมคิดว่าเถ้าแก่จะไม่ซื้อเก็บไว้ด้วยซ้ำ ซ่งฝูหลิงจึงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม

ซ่งฝูหลิงแบกถุงกระสอบถั่วเมล็ดสนห้าสิบกว่ากิโล ไปหลังโรงเตี๊ยมจี๋ซุ่น

ไม่มีใครช่วยนาง พวกเด็กๆ ไปกับพี่สาวกัวแล้ว ส่วนพี่สาวคนอื่นๆ กับซ่งจินเป่ามาส่งของก็ต้องกลับไป

ทางโน้นยังมีงานอีกมากมาย ซ่งจินเป่าอายุยังน้อย ต้องคอยเฝ้ารถและยังต้องตัดฟืนให้กับโรงเตี๊ยม ใช้ฟืนกันเยอะมาก สามารถผ่าฟืนได้เท่าไรก็เท่านั้น

พวกพี่สาวก็เช่นเดียวกัน ถ้าไม่ได้คั่วถั่วเมล็ดสน ก็ต้องไปตักน้ำมาคอยเติมน้ำในถังให้เต็ม เพราะจะได้ไม่มีผลกระทบกับโรงเตี๊ยมยามต้องใช้น้ำ ส่วนเสี่ยวอู๋ ใกล้ช่วงเวลาอาหารกลางวันก็รีบกลับไปทำงานที่โรงเตี๊ยมแล้ว

ซ่งฝูหลิงเทถั่วเมล็ดสนออกมาครึ่งหนึ่งแล้วชั่งน้ำหนักเองอีกครั้ง วันนี้นางได้เรียนรู้วิธีการดูเครื่องชั่ง สามารถพูดได้ว่าวันนี้นางได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี

เมื่อชั่งน้ำหนักถั่วเมล็ดสนตามที่เถ้าแก่ต้องการแล้ว นางก็นำมาวางไว้อย่างดี ก่อนจะแบกที่เหลืออยู่ครึ่งกระสอบกลับไปยังหน้าร้าน

เถ้าแก่ร้านดีดลูกคิดคำนวณ ซ่งฝูหลิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณท่านมากที่อุดหนุนและขอบคุณท่านสำหรับการดูแล จำนวนเงินทั้งหมดสามตำลึงเงิน ข้าวางถั่วเมล็ดสนเพิ่มให้ท่านอีกสิบกิโล ความสามารถมีจำกัด ต้องอาศัยขายของกินเพื่อหาเงิน ถึงอย่างไรก็ต้องขอบคุณเถ้าแก่”

เถ้าแก่แหงนหน้าขึ้น ครั้งแรกที่ใช้สายตาสำรวจซ่งฝูหลิง

เขาเห็นผู้ลี้ภัยมามากมายในร้านนี้ โดยทั่วไปเป็นผู้ลี้ภัยจากเมืองโยวโจวเคลื่อนย้ายไปอยู่เมืองอื่น มีจำนวนครึ่งหนึ่งต้องผ่านที่นี่ไปเพราะเป็นถนนสายสำคัญ

แต่เหล่าไป๋แนะนำผู้ลี้ภัยเหล่านี้ พวกเขาค่อนข้างมีเหตุผล สาวน้อยคนหนึ่งกับรู้จักทำบัญชีและยังรู้วิธีไม่ทำให้เหล่าไป๋เป็นหนี้บุญคุณใคร

ในเวลาเดียวกัน เด็กๆ ที่กลับไปกับพี่สาวกัวก็เริ่มกินกันแล้ว

ขนมปังปิ้งกับน้ำซุปช่างหอมกรุ่นเสียจริง

พวกเขากินอย่างมูมมามด้วยความหิวโหย

มีเด็กบางคนรีบกินจนสำลัก ทำให้เศษขนมปังที่อยู่ในปากตกลงมาตามคอเสื้อ เขาก็เก็บกินเข้าปากอีกครั้ง

มีเด็กตัวน้อยบางคนสำลักไม่หยุดจนพวกพี่สาวอย่างต้ายาต้องคอยป้อนน้ำให้ดื่ม “ช้าหน่อย ไม่ต้องรีบ”

เฉียนหมี่โซ่วก็รีบกินจนสำลัก แต่เขาผลักน้ำที่ยื่นส่งมาให้ดื่มแล้วหยิบขนมปังปิ้งขึ้นมาและจะวิ่งออกไปข้างนอก

เถาฮวาสายตาไว นางรีบคว้าคอเสื้อของเขาไว้ “เจ้าจะไปไหน?”

“ส่งขนมปังปิ้งให้พี่สาว เอิ๊ก” หลังจากสะอึก เฉียนหมี่โซวก็ดิ้นขัดขืนให้เถาฮวาปล่อยมือ“พี่สาวข้ายังไม่ได้กินเลยนะ”

“เจ้ากินของเจ้าไป เดี๋ยวข้าไปส่งเอง”

เฉียนหมี่โซ่วไม่ฟัง ทำไมเขาจะต้องรอด้วย เขายืนกรานที่จะไป พี่สาวของเขามีเขา และทำไมจะต้องคาดหวังให้คนอื่นไปส่งด้วย

คำพูดนี้ของเฉียนหมี่โซ่วเสมือนเป็นเครื่องเตือนใจเด็กทุกคนที่กำลังกินขนมปังปิ้งอย่างมีความสุข

หลานสาวคนเล็กของซ่งหลี่เจิ้งพูด “ใช่แล้ว พี่พั่งยายังไม่ได้กินเลย”

หลานชายฝาแฝดของเกาถูฮู่ก็ตะโกนบอก “พวกเราไปส่งของกินให้กับพี่พั่งยากันเถอะ”

ซ่วนเหมียวจื่อหยิบขนมปังปิ้งขึ้นมาพร้อมกับพูดขึ้น “ให้พี่พั่งยากินสองอัน”

“ไม่กินสองอันสิ ต้องกินสามอัน” เด็กน้อยที่กำลังกินขนมปังเต็มปากรีบออกความเห็นและจะเดินออกไปข้างนอก

ขณะที่ในครัวพูดคุยเอะอะกันอยู่นั้น ซ่งฝูหลิงก็ได้แบกถั่วเมล็ดสนที่เหลือครึ่งถุงเดินเข้ามาทางประตูหลัง และบังเอิญชนเข้ากับหมี่โซ่วที่หนีจากการจับกุมของเถาฮวา

“พี่สาว?” เฉียนหมี่โซ่วผงะ และจากนั้นก็ไม่สนว่าพี่สาวจะกลับมาอย่างไร เขารีบยื่นขนมปังปิ้งร้อนๆ ให้กับนาง “ท่านกินสิ รีบกิน”

พี่สาวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่กินหรอก ข้าจะกินน่องไก่ น้ำซุปไก่พร้อมกับข้าวสวย”

“พวกเด็กๆ เริ่มกินข้าวกันได้แล้ว!”

“เด็กน้อยทั้งหลายอย่ากินขนมปังปิ้งเยอะ พี่สาวจะเพิ่มรายการอาหารให้พวกเจ้า!”

ซ่งฝูหลิงลงมือเข้าครัวด้วยตนเอง นางผัดเมล็ดข้าวโพดกับถั่วเมล็ดสน

เถาฮวาอยู่ข้างๆ ยืนพูดอย่างร้อนใจ “ถั่วเมล็ดสนยังต้องขาย ทำไมเจ้าถึงเอามาทำด้วย?”

“ขายอะไร ไม่ขายแล้ว หยุดขาย”

พี่สาวกัวรีบพูดขึ้น “ทำไมถึงไม่ขายละ ยังมีเหลืออีกกระสอบหนึ่ง”

ซ่งฝูหลิงผัดกับข้าวไปพลางแล้วพูดขึ้น “ไม่ได้ ขายไม่ได้แล้ว กระเป๋าใส่เงินของข้าหนักจนคอจะรับน้ำหนักไม่ไหวแล้ว เงินเยอะมากจนไม่มีพื้นที่ใส่”

พวกพี่สาว “…”

วันนี้มัวแต่ยุ่งกับการทำงาน ตกลงพวกเราขายกันไปกี่กิโลแล้ว? ขายได้เงินกันมาเท่าไร?

ซ่งฝูหลิงแบ่งกลุ่มพี่สาว น้องสาว น้องชาย ต้องนั่งกินข้าวบนโต๊ะเหมือนผู้ใหญ่กัน ห้ามนั่งยองๆ กิน มีแก้วน้ำวางไว้อยู่ข้างมือเพื่อป้องกันเวลากินแล้วสำลักจะได้มีน้ำดื่ม

เมื่อแบ่งกลุ่มกันเสร็จ นางก็ตอบคำถามก่อนหน้านั้นที่ถามกันเข้ามา

“โรงเตี๊ยมก่วงหยวนทำรายได้มากสุด ถั่วเมล็ดสนของเถ้าแก่ตามราคาเจ็ดสิบเหวินต่อครึ่งกิโล ทั้งหมดหนึ่งร้อยห้าสิบกิโล แขกพ่อค้าของหมี่โซ่วเก้าสิบเหวิน หนึ่งร้อยกิโล ข้าถึงแบ่งน่องไก่ให้หมี่โซ่วไปหนึ่งน่อง ต่อไปพวกเจ้าทุกคน ถ้ามีใครแสดงความสามารถออกมาก็จะได้รับผลตอบแทนเหมือนกับเขา นอกจากนี้ก็ยังขายไปได้อีกเกือบห้าสิบกิโล ส่วนเถ้าแก่ที่มีน้ำใจของพวกเราคือเถ้าแก่ไป๋”

เมื่อเถ้าแก่ไป๋ได้ยินว่าพูดถึงเขา เขาก็เงยหน้าขึ้นมอง เห็นเด็กๆ นั่งกันอยู่ตรงโต๊ะท่าทางดูเหมือนกำลังปรึกษาเรื่องสำคัญกันอยู่ เขาก็ยิ้มออกมาจากใจจริง “สาวน้อย ทางนี้ห้าสิบห้ากิโล”

ซ่งฝูหลิงพยักหน้า “ใช่แล้ว ที่นี่ห้าสิบห้ากิโล โรงเตี๊ยมจี๋ซุ่นยี่สิบห้ากิโล พวกเจ้าฟังเข้าใจกันไหม?”

ถ้าฟังเข้าใจก็คงน่าแปลกใจมาก แค่นับนิ้วมือรวมนิ้วเท้าก็ยังไม่รู้ว่าจำนวนเท่าไร

ซ่งฝูหลิงคิด ในเมื่อพวกเจ้าไม่เข้าใจก็ไม่บอกพวกเจ้าแล้วกัน กลัวว่าพวกเจ้าจะรับไม่ไหว ห้าสิบแปดกว่าตำลึงเงินใกล้จะถึงห้าสิบเก้าตำลึงแล้ว

นอกจากนี้นางยังทำเงินจากราคาต่างของสินค้าอีก รายได้จากราคาต่างเกือบหกพันเหวินกับหกตำลึงเงิน

หกตำลึง พวกนางกินไก่ตุ๋นเห็ดกับข้าวสวย ข้าวโพดผัดถั่วเมล็ดสน ไม่ต้องให้เหลือเยอะหรอกมั้ง? ตอนเย็นยังต้องให้พวกผู้ใหญ่กินอาหารดีๆ สักมื้อ

ซ่งฝูหลิงเรียกเสี่ยวเอ้อร์ “เอาอาหารมาวางได้”

บอกพวกพี่สาวน้องชายน้องสาว “กินกันให้อิ่ม แบ่งได้เนื้อก็กินกันดีๆ แบ่งไม่ได้เนื้อก็ใช้น้ำซุปคลุกข้าวสวยกิน พวกเราเริ่มกินข้าวได้”

ปากของซ่งจินเป่าเต็มไปด้วยอาหารแบบนี้แล้ว เขาก็ยังสามารถพูดชมออกมาได้ “พี่พั่งยา ท่านเป็นคนรักษาคำพูด ต่อไปไม่ว่าท่านจะใช้ให้ข้าทำอะไร ข้าจะต้องทำแน่นอน”

ในความคิดของเด็กๆ พี่พั่งยาเป็นพี่สาวที่ดีที่สุด ตอนนี้เป็นพี่สาวอันดับหนึ่งที่อยู่ในใจ แม้แต่พี่สาวพี่ชายแท้ๆ ก็เทียบไม่ได้

พวกพี่สาวแต่ละคนต่างรู้สึกว่าอาจจะโดนตีไม่น้อย รอพวกผู้ใหญ่กลับมาพวกนางก็คงจะโดนลงโทษ แต่นี่ช่างหอมจัง? ไก่ตุ๋นเห็ดทำไมหอมอย่างนี้ หอมจนอยากจะกลืนกินลิ้นของตนเองไปด้วย กินให้อิ่มจะได้มีแรงโดนด่าโดนตีไม่ใช่หรือ?

เสี่ยวอู๋เอาอาหารมาเพิ่มอีกสี่อย่าง

ครั้งนี้เถ้าแก่ให้เขานำอาหารมาให้ เสี่ยวอู๋ไม่ได้บ่น เขาทำอย่างเต็มใจเพราะซ่งฝูหลิงสอนเถ้าแก่ไป๋ทำข้าวโพดผัดถั่วเมล็ดสน

……

ท้องฟ้ามืดแล้ว

เมื่อเวลาล่วงเลยไป ในโรงเตี๊ยมก็เริ่มสงบเงียบลง

เสี่ยวอู๋นั่งเก้าอี้เคลิ้มหลับอยู่หน้าห้องโถง

เถ้าแก่ไป๋คอยมองหน้าประตูเป็นระยะ เริ่มกังวลใจเพราะพวกผู้ใหญ่ยังไม่กลับมาสักที

ต้องกลับมาให้ได้สิ อย่าเป็นเหมือนดั่งคำเล่าลือว่ามีคนเดินหลงสูญหายไป มิเช่นนั้นเด็กพวกนี้จะทำอย่างไร ใช้ชีวิตอย่างไร

คงไม่เป็นไรนะ คงไม่หลงทาง เมื่อวานพวกเขายังสามารถกลับมาได้เลย วันนี้อาจจะกลับมาช้าหน่อย ต้องออกจากป่ามาได้แน่

เมื่อเวลาผ่านไปนาน เถ้าแก่ไป๋ก็ยิ่งร้อนใจ

ตอนนี้พวกซ่งฝูเซิงกำลังรีบเดินทางกลับโรงเตี๊ยม

ก่อนหน้านั้นพวกเขาเดินอ้อมไป

ยังดีที่ไม่ประสบเหตุการณ์ร้ายแรง เพียงแค่เดินอ้อมมากไปหน่อยเท่านั้น

ครั้งนี้ต้องขอบคุณซ่งฝูเซิงที่เป็นคนช่างสังเกต

ตอนมาซ่งฝูเซิงคิดแล้วคิดอีกเพราะลูกสาวที่เป็นคนนำทางไม่ได้มาด้วย เพื่อความปลอดภัยแน่นอนเขาต้องหาวิธีการอื่นมาช่วย

เขาให้ลูกสะใภ้คนเล็กของท่านยายหวังถอดเสื้อผ้า

เมื่อลูกสะใภ้คนเล็กของท่านยายหวังได้ยินก็ถึงกับตาโต มือกุมหน้าอก “เจ้าจะทำอะไร?”

ซ่งฝูเซิง “รีบหน่อย”

เสื้อของลูกสะใภ้คนเล็ก เป็นเสื้อผ้าฝ้ายสีแดงที่ได้รับบริจาคมาจากผู้ดีมีสกุล

เขาให้คนตัดเสื้อสีแดงด้านนอกออกมาเป็นเส้นๆ

ซ่งหลี่เจิ้งถามซ่งฝูเซิง “ทำไมหรือ?”

“พวกเราเดินมาหลายลี้แล้ว ทิ้งผ้าแดงไว้ดีกว่า ตอนเข้าป่าเดินผ่านต้นไม้หลายต้นก็นำผ้าแดงผูกกับต้นไม้ไว้เพื่อป้องกันการหลงทาง”

“ทำไมต้องตัดผ้าสีแดง? อย่าตัดเสื้อผ้าเลย พวกข้าให้ชายแขนเสื้อสองแขนกับเจ้าไม่พอหรือ? นางเป็นผู้หญิง นางเดินไปตัดชายเสื้อไป จะให้เดินทางอย่างไร”

“ไม่ได้ต้องใช้ผ้าแดงของนางชุดนั้น ท่านคิดดูสิ สถานที่ที่มีศาลเจ้าใต้ฐานธูปยังมีผ้าสีแดง ขอพรกับต้นไม้ก็ยังผูกผ้าสีแดง พวกเราก็ใช้ผ้าสีแดงแล้วกัน”

ทะลุมิติทั้งครอบครัว

ทะลุมิติทั้งครอบครัว

Status: Ongoing
อ่านนิยาย ทะลุมิติทั้งครอบครัวเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งกลับพบว่าตนเองอยู่ในยุคสมัยที่ไม่เคยคุ้น สิ่งรอบกายดูโบราณล้าหลัง กระทั่งอายุของร่างที่อาศัยอยู่ยังอ่อนเยาว์กว่าตัวจริงหลายปี ยังไม่ทันได้เตรียมใจไฟสงครามก็ลุกโหม สิ่งแรกที่ต้องทำเมื่อมาถึงยุคโบราณที่ไม่มีจริงในประวัติศาสตร์โลกก็คือ…การลี้ภัย! แต่ไม่เป็นไร ไม่ว่ามีปัญหาจะยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ไม่หวั่น เพราะคนอื่นทะลุมิติมาแค่คนเดียว แต่เราทะลุมากันทั้งครอบครัว!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset