มู่เฉียนซีตกตะลึงจนนิ่งงัน “ฆ่าเจ้า!”
“คุณหนูใหญ่ทำได้!” กู้ไป๋อีกล่าวเสียงขรึม
“ข้าเข้าใจแล้ว!” แสงสลัววาบผ่านดวงตาของมู่เฉียนซี
เข็มยาเข็มหนึ่งปรากฏขึ้นระหว่างนิ้วสองนิ้วของมู่เฉียนซี และเข็มยาเข็มนั้นก็เจาะลงที่แขนของกู้ไป๋อี
และดูเหมือนว่ากู้ไป๋อีไม่คิดจะหลบหนีแต่อย่างใด ไม่นานนักพิษนั้นก็ออกฤทธิ์
ตุบ!
ร่างในชุดขาวที่ย้อมไปด้วยเลือดสีแดงสดนั้นก็ได้ล้มลงไปบนผืนทะเลทรายสีดำ
แววตาเย็นชาคู่นั้นมองไปที่มู่เฉียนซี จากนั้นดวงตาคู่นั้นก็ค่อย ๆ หลับลง
การเต้นของหัวใจ ลมหายใจ ก็หยุดอยู่เพียงเท่านี้
แกร่ก!
หนูทะเลทรายตัวนั้นตกลงบนร่างของกู้ไป๋อี
หลังจากที่มันแน่ใจว่ากู้ไป๋อีตายไปแล้ว มันก็ปริปากกล่าวขึ้นว่า “ชายผู้นี้ตายแล้ว เจ้าผ่านด่าน และได้รับสิทธิ์เข้าไปยังเมืองเฮยตู ตามข้ามาเถอะ!”
มู่เฉียนซีกล่าว “เจ้าก็รีบนำทางไปสักทีสิ”
หนูทะเลทรายกล่าว “ข้านำทางเจ้าแน่ แต่เจ้าต้องตามความเร็วของข้าให้ทันล่ะ”
ร่างของหนูทะเลทรายพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าก็มิปาน และมู่เฉียนซีก็รีบตามมันไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน
ในขณะที่หนูทะเลทรายกับมู่เฉียนซีได้อันตรธานหายไปจากที่แห่งนี้แล้ว กู้ไป๋อีที่ได้ชื่อว่า ‘ตายไปแล้ว’ ในเมื่อครู่ ตอนนี้เขาก็ได้ลืมตาขึ้นมาแล้ว
กู้ไป๋อีค่อย ๆ ลุกยืนขึ้น ดวงตามองไปที่ทะเลทรายดำอันไร้ขอบเขตนี้
เขารู้ดีในฐานะที่เป็นนักปรุงยา โดยเฉพาะนักปรุงยาอย่างนาง นางสามารถใช้วิธีตบตาให้เขาตายปลอมได้
ทว่า ต่อให้ใช้วิธีตบตาเช่นไร การคิดอยากจะออกไปจากทะเลทรายดำแห่งนี้นั้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
แต่ในฐานะที่เขาเป็นคนที่เคยมาเมืองเฮยตูแล้ว แน่นอนว่าเขาย่อมต้องมีวิธี!
กู้ไป๋อีเอากริชเล่มหนึ่งออกมา ก่อนจะใช้กริชเล่มนั้นกรีดมือตัวเอง
เลือดสีแดงสดที่ค่อย ๆ หยดลงบนพื้นทะเลทรายดำนั้นได้ก่อตัวขึ้นเป็นลวดลายลวดลายหนึ่ง กู้ไป๋อีถ่ายเทพลังชีวิตเข้าไปในลวดลายนั้น และกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “อีกาดำ!”
แสงสีแดงโลหิตนั้นได้ส่องสว่างขึ้น และอีกาสีดำตัวหนึ่งก็บินพุ่งออกมาจากกองเลือดกองนั้น
“เฮ้อ! นี่ไม่ใช่นายท่านกู้หรอกเหรอ นึกไม่ถึงว่าท่านจะกลับมาที่เมืองเฮยตูอีกครั้ง ที่ท่านมาเมืองเฮยตูในครั้งนี้ก็เพื่อที่จะไปท้าประลองที่นั่นอย่างนั้นเหรอ?” อีกาดำยิ้มพลางกล่าว
กู้ไป๋อีกล่าวถาม “หากไม่ได้เข้าไปท้าประลองที่นั่นก็จะเข้าไปเมืองเฮยตูไม่ได้หรือไง?”
อีกาดำตอบ “แน่นอนอยู่แล้ว กฎของเมืองเฮยตูนายท่านกู้ก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้ว อยากจะกลับเข้าเมืองเฮยตูเป็นครั้งที่สอง ก็จำเป็นต้องไปที่นั่น มิเช่นนั้นแล้วคงต้องเชิญนายท่านกู้กลับไปเสียแล้วล่ะ!”
อีกาดำมองไปรอบ ๆ อย่างพิจารณาและกล่าวว่า “แต่การที่นายท่านกู้จะออกไปจากทะเลทรายดำแห่งนี้มันก็ใช่ว่าจะง่าย เหตุใดถึงไม่ลองดูสักตั้งล่ะ ด้วยความสามารถของนายท่านกู้แล้ว หัวหน้าของพวกข้านั้นชื่นชมมาโดยตลอด บางทีท่านอาจจะมีชีวิตรอดออกมาจากที่แห่งนั้นก็ได้”
กู้ไป๋อีกล่าว “ตกลง ให้ข้าเข้าเมืองเฮยตูเถอะ!”
อีกาดำยิ้มพลางกล่าวด้วยความสุขใจว่า “ยอดเยี่ยมไปเลย หัวหน้าของข้าต้องดีใจมากเป็นแน่!”
อีกาดำกระพือปีกขึ้นและร่างของมันก็ค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้นพร้อมกับกล่าว “นายท่านกู้ ขึ้นมาเถอะ ข้าจะพาท่านไปพบกับฝ่าบาทของข้า”
อีกาดำพากู้ไป๋อีไป และในขณะเดียวกันมู่เฉียนซีก็กำลังไล่ตามหนูทะเลทรายไปอย่างรวดเร็ว
ไม่รู้ว่าไล่ตามมานานแค่ไหนแล้ว จนในตอนนี้เบื้องหน้าก็ปรากฏกำแพงเมืองหนึ่งที่มีหมอกปกคลุมบาง ๆ ราวกับเป็นภาพลวงตา ทั้งดูเลื่อนลอยและดูลึกลับมาก
ยิ่งเข้าไปใกล้มู่เฉียนซีก็พบว่ากำแพงเมืองนี้ไม่ใช่ภาพลวงตา แต่มันเป็นของจริง
หนูทะเลทรายใช้ฟันของมันเคาะที่ประตูบานใหญ่นั้นสามครั้ง ประตูใหญ่สีดำสนิทก็ค่อย ๆ เปิดออกอย่างช้า ๆ
กลิ่นอายสังหารอันเยือกเย็นพัดกระโชกออกมาจากประตูเมืองนี้
หนูทะเลทรายกล่าว “ตามข้ามาเถอะ!”
เมื่อย่างเท้าก้าวเข้าประตูเมืองก็ได้เห็นกับถนนที่กว้างใหญ่มาก ทว่า รอบ ๆ ถนนนี้กลับไม่มีผู้ใดอยู่แม้แต่คนเดียว
ก็แค่มองไม่เห็นก็เท่านั้น มู่เฉียนซีรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าบริเวณรอบ ๆ นี้มีสายตาอันน่ากลัวนับไม่ถ้วนกำลังจ้องมองมาที่นาง มองนางราวกับมองเหยื่อก็มิปาน
เสียง แกร่ก! ดังขึ้นครั้งหนึ่ง และหนูทะเลทรายก็ได้อันตรธานหายไป
หน้าที่ของมันมีเพียงแค่พาคนที่อยู่ด้านนอกเข้ามาก็เท่านั้น
หนึ่งก้าว สองก้าว…สิบก้าว…
มู่เฉียนซีย่างเท้าเดินได้เพียงแค่สิบก้าว ทันใดนั้นเองก็มีคนหลายคนเดินออกมา
พวกเขาหัวเราะพลางกล่าวว่า “ผู้ที่มาเมืองเฮยตูจะมีเพียงแค่สามประเภทเท่านั้น ประเภทแรก ก็คือพวกที่สร้างศัตรูไว้นับไม่ถ้วนและไม่มีทางหนี ประเภทที่สองก็คือพวกที่ทำความผิดร้ายแรงจนผู้นำตระกูลหรือหัวหน้ากองกำลังรับไม่ได้ ประเภทสุดท้ายก็คือพวกที่ต้องการแสวงหาความท้าทายอย่างไร้ขีดจำกัด”
“ดูจากมุมมองของข้าแล้ว แม่นางน้อย เจ้าคงจะอยู่ในประเภทที่สามกระมัง!”
มู่เฉียนซีเหลือบมองพวกเขาและกล่าวว่า “ข้าจะจัดอยู่ในประเภทใด จำเป็นต้องบอกพวกเจ้าด้วยอย่างนั้นเหรอ?”
พวกเขาหัวเราะคิกคักและกล่าวว่า “สาวน้อย เมื่อเห็นผิวที่นุ่มนวลบอบบางของเจ้าแล้วพวกข้าก็อดใจไม่ได้ที่จะลงมือ แต่หากว่าเจ้าเอายาวิญญาณและของล้ำค่ามาให้พวกข้า พวกข้าก็จะสอนบทเรียนที่ควรรู้ของเมืองเฮยตูให้”
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ข้าว่า ไม่จำเป็น”
พวกเขากล่าวเย้ยหยันว่า “ดูท่าเจ้าจะเป็นสาวน้อยที่ไม่เชื่อฟังเอาซะเลยนะ เช่นนั้นพวกข้าก็คงต้องหยาบคายแล้วล่ะ”
หนึ่งในพวกเขายื่นมือออกมาหมายจะบีบคอมู่เฉียนซี แต่นางเอียงหน้าหนีและจับข้อมือคนผู้นั้นพลิก
กร่อก! เสียงกระดูกข้อมือของเขาดังขึ้น
ทันทีที่นางออกแรง เสียง ตูม! ดังขึ้นหนึ่งครา และร่างของคนผู้นั้นก็กระเด็นลอยออกไป
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ข้าไม่ต้องการให้พวกเจ้ามาสั่งสอนข้า”
มู่เฉียนซีลงมือเช่นนี้ก็ทำให้พวกเขาได้รู้ว่าสาวน้อยที่ดูเหมือนจะอ่อนแอตรงหน้าผู้นี้ มีกำลังในการต่อสู้ที่ไม่อ่อนแอเลย!
พวกเขาล้อมมู่เฉียนซีเอาไว้ มู่เฉียนซีกล่าว “ในเมื่อพวกเจ้าไม่กลัวตายถึงเพียงนี้ ข้าว่าข้าต้องสอนบทเรียนให้กับพวกเจ้าซะแล้วสิ และรู้เอาไว้ด้วยว่าข้าไม่ใช่คนอ่อนแอ”
ร่างชุดม่วงเคลื่อนไหวไปมาอย่างรวดเร็ว พวกเขาอุทานด้วยความตกใจว่า “รวดเร็วยิ่งนัก!”
“จักรพรรดิแห่งภูตระดับสาม!”
“ลงมือ! จักรพรรดิแห่งภูตระดับสามกล้าเข้ามาในเมืองเฮยตู รนหาที่ตายชัด ๆ พวกเราจะไปกลัวอะไรนาง” หนึ่งในคนกลุ่มนั้นกล่าว
คนเหล่านี้ดูโหดร้ายมาก พลังก็แข็งแกร่งมาก ทว่า ทันทีที่พวกเขาลงมือ มู่เฉียนซีก็พบว่าพวกเขาเป็นเพียงแค่จักรพรรดิแห่งภูตระดับเก้าเท่านั้น
และสิ่งที่ไม่น่าเชื่อยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ทุกคนล้วนแต่มีพลังเช่นนี้!
พลังแค่นี้ดูธรรมดาเป็นอย่างมาก!
ปัง!
เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีที่รุนแรงเช่นนี้ มู่เฉียนซีจำใจต้องยอมรับเลยว่าตอนแรกนั้นนางได้ประเมินศัตรูต่ำไป
คนเหล่านี้ดูผิวเผินแล้วมีพลังเพียงแค่ขั้นจักรพรรดิแห่งภูตระดับเก้าเท่านั้น แต่กำลังในการต่อสู้นั้นกลับแข็งแกร่งมากกว่าใครที่นางเคยเห็นมา
พลังวิญญาณที่แท้จริงของพวกเขาดูเหมือนจะถูกยับยั้งไว้ก็มิปาน แต่พละกำลังในการต่อสู้นั้นไม่ได้ถูกยับยั้งไปด้วย!
มู่เฉียนซีกำหมัดแน่น นึกไม่ถึงเลยว่าเพิ่งจะเข้ามา การต่อสู้ในสนามแรกก็จัดการได้ยากถึงเพียงนี้แล้ว
“ทักษะตี้ซวน!”
“ทักษะเทียนซวน!”
ตูม เปรี้ยง เปรี้ยง!
พวกเขาตกตะลึงพรึงเพริดขึ้น “ที่แท้สาวน้อยผู้นี้ก็มีทักษะการต่อสู้ที่แข็งแกร่งเช่นนี้นี่เอง มิน่าล่ะ ระดับพลังวิญญาณไม่สูงแต่กล้าเข้ามาในเมืองเฮยตู อย่าฝืนเลย พวกเราล่าถอยก่อนดีกว่า!”
ขวับ ขวับ ขวับ! พวกเขาไม่เพียงลงมืออย่างเหี้ยมโหด แต่ความเร็วในการถอยหนีก็รวดเร็วมากเช่นกัน!
มู่เฉียนซีเอากระบี่มังกรเพลิงออกมาและเหวี่ยงออกไป “หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
“มังกรเพลิงพิฆาต!”
ปัง! โล่ป้องกันหนึ่งได้ขวางพลังกระบี่ของนางไว้ และพวกเขาก็ได้อันตรธานหายไป
บนถนนนี้ไร้ซึ่งผู้คน แต่ในมุมมืดนั้นไม่รู้ว่ามีผู้ลอบโจมตีที่โหดร้ายมากมายเพียงใด
มู่เฉียนซีก้าวเท้าเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็มีคนลอบโจมตีนางอีกครั้ง
เป้าหมายของฝ่ายตรงข้ามก็คือต้องการให้นางตายโดยไร้ซึ่งความประนีประนอม
เป้าหมายของถนนที่กว้างใหญ่นี้ชัดเจนขึ้นแล้ว ร่างของมู่เฉียนซีพุ่งเข้าไปในตรอกถนนแคบ ๆ ตรอกหนึ่ง คนในมุมมืดเห็นมู่เฉียนซีอันตรธานหายไปในตรอกถนนเส้นนี้แล้วก็ยิ้มอย่างน่ากลัวขึ้น “ช่างเป็นสาวน้อยที่ไร้เดียงสายิ่งนัก คิดว่าหนีเข้าไปในตรอกเล็ก ๆ นั่นแล้วจะหนีพ้นความตายไปได้เหรอ ไม่มีทาง!”