“บัวแดงพิฆาต!”
ดอกบัวอัคคีได้แผ่ตาข่ายขนาดใหญ่ออกมา ต่อให้เกาเทียนใช้ความเร็วสูงสุดในการหลบหลีก แต่ก็ไม่อาจหลบหลีกชะตากรรมแห่งการทำลายล้างนี้ได้!
“ไม่!” หลังจากที่ถูกดอกบัวอัคคีนี้ห่อหุ้มเอาไว้ เขาก็ได้ส่งเสียงกรีดร้องที่ดูเจ็บปวดรุนแรงออกมา!
ปัง! เขากระเด็นตกลงมาจากลานประลองราวกับเศษผ้าขี้ริ้วก็มิปาน
เกาเทียนพ่ายแพ้แล้ว! เขาตายแล้ว!
คนงามผู้นี้เพิ่งมาใหม่! นางชนะแล้ว!
ทุกคนต่างอ้าปากค้างจ้องมองฉากนี้ด้วยความเหลือเชื่อ
ต่อมาทุกคนก็ส่งเสียงดังเกรียวกราวขึ้น “ฮ่าฮ่าฮ่า! ชนะแล้ว คนงามชนะแล้ว!”
“ดูเหมือนว่ายังมีโอกาสอีก!”
“ตาต่อไป หากเป็นข้าก็คงดี”
มู่เฉียนซีเดินลงมาจากลานประลอง ครั้งนี้ชนะด้วยความบังเอิญ แต่ต่อไปคงไม่โชคดีเช่นนี้แน่
เสี่ยวไป๋ใช้เวลาถึงสิบสองปีกว่าจะเอาชนะหอคอยแห่งความชั่วร้ายทั้งสามได้ ถึงแม้ว่าเวลาในที่แห่งนี้กับเวลาข้างนอกจะแตกต่างกัน แต่นางก็อยากจะทำให้เร็วกว่านี้ และเร็วกว่าเสี่ยวไป๋
“คุณหนูมู่ จะลงชื่อประลองต่อหรือไม่?”
มู่เฉียนซีพยักหน้าพลางกล่าว “ประลองต่อแน่นอน!”
ทว่า ยังมีอีกสามหอคอยที่จะต้องคว้ามาให้ได้ ในหอคอยแรกชั้นแรกนี้ จะเสียพลังมากเกินไปไม่ได้เด็ดขาด
ผ่านไปไม่นานมากนัก ผู้ที่ปรากฏตัวบนลานประลองก็ยังคงเป็นมู่เฉียนซี
ทุกคนเห็นเช่นนี้แล้วก็ตกใจนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง “คนงามผู้นั้นยังจะลงประลองต่ออีกเหรอ นี่นาง…นางอยากตายหรืออย่างไร!”
คนปกติทั่วไปเมื่อประลองจบก็ต้องพักเป็นเวลาหนึ่งวัน หรือไม่ก็หลายวัน หรือไม่ก็ไม่ลงประลองเป็นเวลาหนึ่งเดือน ส่วนผู้ที่ลงประลองอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ ล้วนแต่เป็นคนบ้าที่ไม่เกรงกลัวต่อความตายทั้งสิ้น
พิธีกรได้ประกาศขึ้นว่า “หวงเซี่ยประลองกับมู่เฉียนซี”
ผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเข้าร่วมประลองหอคอยแห่งความตายนั้น ล้วนแต่มีพลังความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดาทั้งสิ้น และร่างสองร่างที่อยู่บนลานประลองก็ได้เริ่มปะทะกันแล้ว
พวกเขาล้วนแต่อยู่บนเส้นทางแห่งความตาย หากมีผู้หนึ่งไม่ระมัดระวังแล้วละก็ ต้องตายเป็นแน่!
ติ๊ง ติ๊ง! ปลายกระบี่มังกรเพลิงกำลังมีเลือดไหลหยดลงมา
หวงเซี่ยมองมู่เฉียนซี และกล่าวว่า “ขะ ข้า…แพ้แล้ว….”
รูม่านตาของเขากำลังอ่อนแรงลง แม้แต่วิญญาณก็ถูกกระบี่มังกรเพลิงกลืนกินไปจนสิ้นแล้ว
หลังจากการประลองสองสนามของหอคอยแห่งความตายได้ผ่านพ้นไป มู่เฉียนซีรับรู้ได้ถึงความคึกคักและความตื่นเต้นของกระบี่มังกรเพลิงแล้ว
มันปรารถนาที่จะได้กลืนกินอาหารเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะวิญญาณที่มืดมิดและแข็งแกร่งเหล่านี้
ไม่พอ! ไม่พอ!
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างจนปัญญาว่า “เจ้านี่มันตะกละอีกแล้วนะ อย่าคิดว่าได้ตัวกระบี่เดิมของเจ้ามาแล้ว แล้วจะนอนใจได้นะ อย่างไรเสียเจ้าก็ยังไม่สมบูรณ์ ยับยั้งให้อยู่ในขอบเขตสักหน่อยเถอะ”
วิ้ง! ตัวกระบี่สั่นเทาขึ้น
ราวกับว่ามันกำลังบอกนางว่ามันจะช่วยนางฆ่าศัตรูทุกคน และจะกลืนกินวิญญาณของศัตรูทุกคน และเอาหอคอยทั้งสามแห่งของเมืองเฮยตูมาให้ได้
มู่เฉียนซีกำหมัดแน่นและกล่าวว่า “อยู่ที่เมืองเฮยตู เกรงว่ามีเพียงแค่เจ้าผู้เดียวแล้วที่จะเป็นคู่หูร่วมต่อสู้ไปกับข้า เช่นนั้นเรามาร่วมมือกันทำให้เต็มที่ ฆ่าพวกมันให้ได้!”
การประลองได้จบลงอีกครั้ง พิธีกรกล่าวถาม “คุณหนูมู่ ยังจะลงประลองต่ออีกหรือไม่?”
มู่เฉียนซีกล่าว “ต่อ!”
ตลอดทั้งวัน หอคอยแห่งความตายได้มีข่าวที่น่าตกตะลึงพรึงเพริดเป็นอย่างยิ่ง นั่นก็คือมีคนผู้หนึ่งเอาชนะการประลองได้เจ็ดสนามภายในวันเดียว
“เจ็ดสนาม ในเมืองเฮยตูเคยมีผู้แข็งแกร่งที่สุดก็คือท่านราชทินนามหาน ครั้งแรกที่ลงประลองก็ทำสถิติได้เจ็ดสนามภายในวันเดียว”
“นอกจากท่านราชทินนามทั้งสิบสองท่าน ก็ไม่เคยปรากฏผู้ที่แข็งแกร่งเช่นนี้มาก่อน”
“แต่สิ่งที่น่าทึ่งมากไปกว่านั้นก็คือ ความแข็งแกร่งของแม่นางน้อยผู้นั้นอ่อนแอยิ่งกว่าท่านราชทินนามทุกท่าน นางเป็นเพียงแค่จักรพรรดิแห่งภูติระดับสามเท่านั้น”
“ดูท่าเมืองเฮยตูจะปรากฏผู้แปลกประหลาดขึ้นแล้ว”
บนชั้นสูงสุดของหอคอยทมิฬ หลงฉือยิ้มพลางกล่าวว่า “ไป๋อี เจ้าไม่อยู่ต่อสักหน่อยเหรอ?”
“สิ่งที่ควรพูดก็ได้พูดไปหมดแล้ว ข้าไม่อยากอยู่กับเจ้า” กล่าวจบกู้ไป๋อีก็ลุกขึ้นและเดินไป
“ไป๋อี กฎของเมืองเฮยตูเจ้าก็รู้ดี หากเจ้ากล้าแหกกฎเพื่อคนงาม ต่อให้เจ้าอยู่ในตำแหน่งราชทินนาม เจ้าก็ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย!”
“ข้าไม่แหกกฎแน่ ไม่ใช่เพราะกลัวเจ้า แต่เพราะไม่อยากให้นางล้มเลิกกลางคันต่างหาก”
หลงฉือยิ้มเย้ยหยันพลางกล่าว “ก็แค่ผู้หญิงคนเดียว เบื่อแล้วก็ทิ้ง ไม่มีความจำเป็นต้องเอามาใส่ใจเลย”
“ไม่จำเป็นต้องให้เจ้ามาสอด!” กล่าวจบ กู้ไป๋อีก็อันตรธานไปต่อหน้าเขาอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่ประลองจบเจ็ดสนาม มู่เฉียนซีก็อ่อนเปลี้ยเพลียแรงลงแล้ว
นางเดินออกมาจากหอคอยแห่งความตายนั้น สายตาที่ร้อนแรงจ้องมองนางในบริเวณรอบ ๆ นั้นไม่ได้ลดน้อยลงเลย
เมื่อร่างสีขาวร่างหนึ่งได้ปรากฏขึ้น กลิ่นอายแห่งความเย็นยะเยือกก็ได้แผ่ซ่านออกมา ทำให้คนเหล่านั้นต่างก็ละสายตาไปทันที
กู้ไป๋อีมองมู่เฉียนซีและกล่าวว่า “คุณหนูใหญ่ ข้ามารับแล้ว”
มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าวว่า “มาได้ทันเวลาพอดี วันนี้ข้าเหนื่อยมากแล้ว คู่ต่อสู้ที่นี่ช่างน่าสนใจจริง ๆ!”
“ไปเถอะ!”
คนเหล่านั้นต่างก็สูดลมหายใจเย็นเข้าปอดด้วยความหวาดกลัว ชายผู้นี้ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก แต่กลับเรียกคนงามผู้นั้นว่าคุณหนูใหญ่ ช่างน่าแปลกประหลาดเกินไปแล้ว
บางคนก็พึมพำขึ้นว่า “ร่างชุดขาวที่มีกลิ่นอายเย็นยะเยือกผู้นั้นดูคุ้นมาก ดูเหมือนจะเป็น…”
“เป็นไปไม่ได้ คนเช่นนั้นจะยอมจำนนให้กับสาวน้อยคนเดียวได้เช่นไร เช่นนั้นก็น่าขำแล้ว”
มู่เฉียนซีกล่าว “เดิมทีข้าตั้งใจเอาไว้ว่าจะประลองให้ครบสิบสนาม แต่นึกไม่ถึงว่าแค่เจ็ดสนามข้าก็หมดแรงลงเช่นนี้แล้ว”
กู้ไป๋อีกล่าว “ในตอนนั้นที่ข้าเข้าไปประลองในหอคอยแห่งความตายครั้งแรก ก็ชนะติดกันได้แค่เจ็ดสนามเท่านั้น แต่เป็นพลังขั้นจักรพรรดิยอดยุทธ์ระดับเจ็ด จึงทำลายสถิติของหอคอยแห่งความตายในเมืองเฮยตูได้”
เขามองไปที่มู่เฉียนซี และกล่าวอย่างเชื่องช้าว่า “แต่คุณหนูใหญ่ เหนือกว่าข้าแล้ว”
มู่เฉียนซีกล่าวถาม “เช่นนั้น เจ้าคือคนที่ทำลายหอคอยทั้งสามได้เร็วที่สุดใช่หรือไม่”
“ใช่!” กู้ไป๋อีพยักหน้าพลางกล่าว
“เช่นนั้นข้าก็ต้องพยายามกว่านี้เพื่อทำลายสถิติของเจ้าให้ได้” มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าว
“ไม่ได้!”
มู่เฉียนซีตกใจครู่หนึ่ง “เหตุใดถึงไม่ได้?”
“หากสำเร็จถึงตำแหน่งจักรพรรดิ คุณหนูใหญ่ก็จะสามารถออกจากเมืองเฮยตูได้ แต่ด้วยความสามารถของคุณหนูใหญ่ เพียงพอที่จะสำเร็จตำแหน่งมหาจักรพรรดิ…” กู้ไป๋อีอธิบายอย่างใจเย็น
เขามองไปที่หอคอยทมิฬที่อยู่สุดไกล และกล่าวว่า “ส่วนตำแหน่งราชทินนามกับหอคอยทมิฬ ข้าไม่อยากให้คุณหนูใหญ่ไปท้าประลอง ดังนั้นหากคุณหนูใหญ่สำเร็จขั้นมหาจักรพรรดิแล้ว ก็ออกไปได้ เมื่อถึงตอนนั้นการฝึกบำเพ็ญของคุณหนูใหญ่ก็คงจะดีมากแล้ว”
มู่เฉียนซีกล่าวถามว่า “เพราะอันตรายอย่างนั้นเหรอ?”
“เพราะอาจจะตายได้!” เขาตอบ
ท่าทางของกู้ไป๋อีนั้นจริงจังมาก สำหรับการตัดสินใจในครั้งนี้ เขาก็ไม่อยากให้นางปฏิเสธ
มู่เฉียนซีสูดลมหายใจลึกเข้าปอด และกล่าวว่า “ข้ามาที่นี่ก็เพื่อฝึกประสบการณ์ ไม่ใช่มาตาย เสี่ยวไป๋ ในเมื่อเจ้าบอกว่ามันอันตรายถึงความตาย ข้าก็จะไม่หุนหันพลันแล่น อย่างไรเสียข้าก็ยังมีคนที่ข้าต้องช่วย!”
กู้ไป๋อีพยักหน้า “หากคุณหนูใหญ่คิดดีแล้วก็ดี”
มู่เฉียนซีกล่าวถามว่า “หากคว้าตำแหน่งมหาจักรพรรดิมาได้ข้าก็จะไป เมื่อถึงตอนนั้น เสี่ยวไป๋ เจ้าก็สามารถไปกับข้าได้ใช่หรือไม่!”
เขาตอบ “ข้าสามารถเข้ามาได้ ก็ต้องออกไปได้แน่นอน เพียงแค่ไม่สามารถร่วมทางไปกับคุณหนูใหญ่ได้ก็เท่านั้น”
หลังจากที่คุยกับกู้ไป๋อีเสร็จ มู่เฉียนซีก็กลับไปพักผ่อน เพื่อเตรียมตัวลงประลองต่อในวันพรุ่ง
ยังมีอีกเก้าสิบสามสนาม!
ต้องคว้าชั้นแรกมาให้ได้โดยเร็วที่สุด!
หนึ่งเดือนต่อมา ชั้นแรกของหอคอยแห่งความตายก็ดุเดือดขึ้นแล้ว
“สามปี สามปีแล้ว ในที่สุดก็มีคนทะลวงชั้นแรกไปได้!”
มู่เฉียนซีตกใจผงะไปครู่หนึ่ง นั่นก็หมายความว่าในช่วงเวลาสามปีที่ผ่านมา ไม่มีผู้ใดสามารถเอาชนะร้อยสนามได้
“ทะลวงชั้นแรกได้ภายในเวลาหนึ่งเดือน เหมือนท่านราชทินนามหานในครานั้นไม่มีผิด ช่างน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!”
กู้ไป๋อีที่ยืนอยู่หน้าประตูได้ยินการพูดคุยของคนด้านในอย่างชัดเจน นี่เป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น ยิ่งสูงมากขึ้นเท่าไหร่ ดวงตาของนางก็ยิงสุกสกาวมากขึ้นเท่านั้น โชคดีที่เป็นแค่หอคอยแห่งความตายกับหอคอยโลหิต หลงฉือจึงไม่ได้มาสนใจ