บทที่ 364
บทที่ 364
เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้น ถังหยินจึงไม่ได้อยู่ในวัง แต่ตัดสินใจที่จะอยู่พักจวนแม่ทัพที่อยู่ใกล้กับพระราชวังเป็นการชั่วคราวแทน
ซึ่งเจ้าจวนหลังนี้นั้น แม่ทัพผู้เป็นเจ้าของก็ได้พาซ่งเทียนหนีไปยังเมืองหวันด้วย ดังนั้นคนผู้นี้จึงได้เอาของทุกอย่างไปด้วยเท่าที่จะทำได้
ทำให้ต้องเสียเวลาจัดการสิ่งของภายในจวนไม่น้อย ก่อนที่ถังหยินจะทำการเรียกคุยเรื่องสำคัญกับแม่ทัพและกุนซือที่อยู่ภายใต้คำสั่งของเขาในค่ำคืนนั้นทันที
ต้องเข้าใจว่าเมืองหยานนั้นมีขนาดใหญ่ และถือเป็นเมืองหลวงของแคว้น ดังนั้นแล้วปัญหาต่าง ๆ ที่ถังหยินไม่เคยเจอจึงปรากฏขึ้นมาเรื่อย ๆ มีหลายสิ่งที่ต้องจัดการทันที ประการใหญ่สุดคือปัญหาการฟื้นตัวแคว้นเฟิง ที่ถ้าถังหยินต้องการกอบกู้แคว้น แน่นอนว่าเขาจะต้องใช้อำนาจของอ๋องแห่งแคว้นเฟิงได้ แต่ตอนนี้ไม่มีเหล่าขุนนางอีกแล้ว ดังนั้นเขาจึงต้องสร้างราชสำนักขึ้นมาใหม่ทั้งหมด
เมื่อพวกเขามาถึงจุดนี้ในการประชุม พวกแม่ทัพก็พากันหัวเราะ ด้วยพวกเขารู้สึกว่ามันง่ายมากที่จะแต่งตั้งขุนนาง ขอแค่ชายหนุ่มมอบตำแหน่งแม่ทัพให้กับแม่ทัพของตัวเอง และมอบตำแหน่งเจ้ากรม กับตำแหน่งเสนาบดีทั้งหลายให้แก่กุนซือทั้งหลาย เพียงแค่นี้ถังหยินก็สามารถใช้โอกาสนี้ในการอ้างสิทธิ์ในบัลลังก์ได้แล้ว !
เกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาพูด ทั้งชิวเจิ้น จางจี้และคนอื่น ๆ ต่างก็ส่ายหัวเพื่อแสดงว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง
และเนื่องจากชายหนุ่มเชื่อใจชิวเจิ้นมากที่สุด เด็กหนุ่มจึงมีตำแหน่งสูงในกองทัพเทียนหยวน ที่ทำให้เขานั้นกล้าที่จะพูดอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่กังวลสิ่งใด
เขามองไปที่ผู้บัญชาการกองทัพปิงหยวนมูฉิงเป็นคนแรกและถามว่า “ท่านแม่ทัพ… นอกเหนือจากปิงหยวน และเทียนหยวนแล้ว พวกชาวเมืองคนทั่วไปเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของท่านหรือไม่ ?”
ด้วยประโยคเดียวเขาก็ถึงกับทำให้มูฉิงพูดไม่ออก จะมีพลเมืองกี่คนจากแคว้นเฟิงที่รู้จักเขา ? รอยยิ้มบนใบหน้าของมูฉิงหยุดนิ่งและเขาพูดติดอ่าง “โอ้ … ข้า ?”
โดยไม่รอให้เขาพูดจบ ชิวเจิ้นก็พลันหันไปมองที่เปิงเฮาฉูผู้บัญชาการกองทัพฉีเฟิง และโดยไม่ต้องรอให้เขาถาม เปิงเฮาฉูก็พลันกำมือของตนแน่นและพูดขณะที่หัวเราะอย่างแห้งแล้งออกมา “แม่ทัพผู้ต่ำต้อยคนนี้ไม่มีประสบการณ์และไม่มีประสบการณ์ความสำเร็จใด”
ในทางกลับกัน ชิวเจิ้นกลับพยักหน้าอย่างจริงจังราวกับบอกว่าเขารู้ขีดจำกัดของตัวเอง ก่อนที่หลังจากนั้นเด็กหนุ่มจะหันมองไปที่อู่กวนและจ้านหู ปากกล่าวว่า “แม้ว่าแม่ทัพอู่กวนและแม่ทัพจ้านหูจะสร้างชื่อเสียงมากมายในกองทัพของเรา แต่ทว่าผลงานนี้ก็ถูกพูดถึงในวงแคบ ๆ เท่านั้น ถ้าเราคิดจะแต่งตั้งขุนนางจริง ๆ เราก็จะต้องดูด้วยว่าประชาชนยอมรับหรือไม่ ไม่งั้นแล้วเราอาจเสียการสนับสนุนจากพวกเขาได้ !”
พวกแม่ทัพมองหน้ากัน แต่ไม่มีใครพูดอะไรราวกับว่าคำพูดของชิวเจิ้นไม่มีค่า ด้วยถ้าราชสำนักไม่ได้ก่อตั้งขึ้นโดยคนของพวกเขาเอง แล้วใครเล่าที่เหมาะสมจะได้ตำแหน่งไป ?
เปิงเฮาฉูชูมือของเขาและถามว่า “แล้วจากมุมมองของนายท่านชิว ?”
ชิวเจิ้นกล่าวด้วยการแสดงออกที่เข้มงวด “เรียกให้ท่านเสนาบดีฝ่ายขวาอู่หยู ท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายเหลียงซิง และแม่ทัพใหญ่จี้หยาง กลับมาที่เมืองหลวง ด้วยตระกูลของพวกเขานั้นได้รับความเคารพนับถือ และการที่ดึงตัวพวกเขามา ก็จะทำให้ประชาชนกลับมาเชื่อมั่น …ทำให้แคว้นกลายเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง !!!”
“ข้าไม่เห็นด้วย !” ในขณะที่ชิวเจิ้นพูดจบ หยวนเปียวก็พลันลุกขึ้นยืนและกล่าวแย้งออกมาอย่างเย็นชาว่า “จากเทียนหยวนถึงเมืองหยาน เป็นพวกเรามาโดยตลอดที่ทำให้มันเกิดขึ้น …แล้วการที่เราต้องมอบรางวัลความสำเร็จให้กับผู้อื่นเช่นนี้เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วหรือ ?”
คำพูดของหยวนเปียวคือความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่ในนี้ เพียงแต่พวกเขาไม่กล้าพอที่จะพูดมันออกมาก็เท่านั้น…
ชิวเจิ้นหายใจเข้าลึก ๆ และหัวเราะเยาะ “ทั้งนี้มันก็แค่ภาพลวงเท่านั้น เราจะใช้ทั้ง 3 ตระกูลนี้เพื่อให้ประชาชนยอมรับเพียงเท่านั้น พวกเขาไม่ได้มีอำนาจใด ๆ อย่างแท้จริง ท่านแม่ทัพหยวนเปียว ท่านพอจะเข้าใจบ้างหรือไม่ ?”
“หื๊ม ?” หลังจากฟังคำพูดของชิวเจิ้น ในที่สุดหยวนเปียว ก็เข้าใจความหมายที่แท้จริง เขารู้ทันทีว่าตนเองนั้นเข้าใจผิดไปเอง ทำให้ใบหน้าแดงก่ำ ก่อนที่ชายร่างใหญ่จะโค้งคำนับไปทางชิวเจิ้นและกล่าวว่า “เช่นนี้นี่เอง ท่านชิวช่างฉลาดนัก ข้าคนนี้ผิดไปแล้ว”
แม้ว่าหยวนเปียวจะเป็นคนตรงไปตรงมาและขี้หงุดหงิด แต่เขาก็รู้ว่าอะไรเหมาะสมไม่เหมาะสม เมื่อความจริงแท้ถูกผิดได้รับการเปิดเผย เขาก็จะไม่โต้เถียงอีก
เมื่อเห็นหยวนเปียวขอโทษชิวเจิ้น ถังหยินก็พลันหัวเราะออกมาดัง ๆ จากนั้นก็ไอสองครั้งและพูดเบา ๆ “ข้าจะทำตามที่ท่านชิวบอก ! พวกเจ้าคิดยังไง ?”
“รับทราบขอรับ นายท่าน !” คราวนี้ไม่มีใครขัดข้อง พวกเขาจับมือกันและเห็นด้วย
เมื่อตกลงกันเสร็จ ชายหนุ่มก็พูดว่าจะส่งจดหมายไปยังผู้ว่ามณฑลทั้งเจ็ด เพื่อถามว่าพวกเขานั้นภักดีต้องเฟิงหรือเปิงกันแน่ ? และหาพวกเขาภักดีต่อเปิง งั้นแล้วก็เตรียมใจทำสงครามเอาไว้ให้ดี !
ประเด็นนี้ไม่มีใครคัดค้าน พวกเขาเพียงกังวลเล็กน้อยด้วยกลัวว่าเหล่าผู้ว่าพวกนั้นจะไม่กล้าเข้ามาเมืองหลวงในขณะนี้
เมื่อได้ยินความกังวลของพวกเขา ชิวเจิ้นก็พลันหัวเราะและพูดว่า “ไม่เป็นไร ถ้าผู้ว่าพวกนั้นกล้ามา มันก็ถือเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าพวกเขาไม่ งั้นแล้วก็แสดงว่าเราต้องสั่งสอนพวกเขาเสียหน่อยแล้ว !” ชิวเจิ้นไม่ใช่คนใจดี อันที่จริงแล้วเขานั้นโหดเหี้ยมและอันตรายยิ่ง
เมื่อแม่ทัพได้ยินคำของเด็กหนุ่ม พวกเขาก็พากันพยักหน้าซ้ำ ๆ ด้วยรู้สึกว่าคำพูดของชิวเจิ้นมีเหตุผล
หลังจากเข้าสู่เมืองหลวงแล้ว กิจการทหารและราชสำนักจำเป็นต้องให้ถังหยินหารือกับแม่ทัพและที่ปรึกษาต่าง ๆ ซึ่งหลังจากคุยกันไม่กี่เรื่อง มันก็เป็นเวลาเที่ยงคืนกว่าแล้ว โดยช่วงที่ผ่านมานั้น เย่เหล่ยได้มาหาชายหนุ่มอยู่หลายครั้ง แต่ไม่ได้เข้าไปในห้องประชุม
….พวกทหารยามไม่กล้าที่จะปกปิดหรือบ่ายเบี่ยงเรื่องนี้ พวกเขาทำตามคำขอของเย่เหล่ย ด้วยการเข้าไปในห้องโถงสองสามครั้งเพื่อกระซิบคำแนะนำของเย่เหล่ยกับชายหนุ่ม ทว่าถังหยินกลับไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อย เขาเพียงแค่พยักหน้าอย่างไม่เป็นทางการและส่งพวกเขาให้ออกไป ก่อนจะกลับมาประชุมต่อ
เมื่อเห็นว่าถังหยินไม่ฟังคำแนะนำ เย่เหล่ยจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากสั่งให้ทหารยามมอบยาให้ถังหยิน
…เมื่อถังหยินและคนอื่น ๆ พูดคุยเรื่องการทหารและการเมืองเสร็จแล้ว มันก็เป็นเวลาราว ๆ ตี 4 ได้ ซึ่งชายหนุ่มก็ทั้งเหนื่อยและที่บริเวณบาดแผลก็รู้ปวดเล็กน้อย
ดังนั้นเขาจึงสั่งให้ทหารยามจัดห้องที่สะอาดให้อยู่ และไปเรียกเย่เหล่ยให้มาช่วยดูแผล
เย่เหล่ยมาถึงห้องของเขาอย่างรวดเร็ว
เนื่องจากเป็นหมอ และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางทายาให้ ดังนั้นถังหยินจึงไม่ได้ปิดบังอะไร ขณะที่เขาถอดเสื้อผ้าและนอนลงบนเตียง
เย่เหล่ยเดินไปข้างเตียงและมองลงไปที่บาดแผลบนร่างกายของเขา นางขมวดคิ้วแน่นและพูดว่า “บาดแผลบนร่างกายของเจ้าปริอีกแล้ว”
“เย็บให้ก็ได้” ถังหยินยกแขนขึ้นใต้ศีรษะของเขาขณะที่เขาพูดด้วยน้ำเสียงง่วงงุนและง่วงนอน
“เย็บ ?” เย่เหล่ย มองไปที่เขาด้วยความสงสัย
ถังหยินเพิ่งที่จะรู้ตัว ว่าทักษะทางการแพทย์ของโลกนี้ไม่มีวิธีอย่างการ “เย็บ” มาก่อน และในเมื่อในอนาคตเขาอาจมีบาดแผลแบบนี้อีก ดังนั้นการที่ตนเองจะสอนอีกฝ่ายเรื่องนี้มันก็คงไม่เป็นการเสียหายอะไร
ว่าแล้วชายหนุ่มก็พลันลุกขึ้นยืนและพูดกับเย่เหล่ย “มันต้องเย็บแผลโดยใช้เข็มและด้าย จากนั้นก็ใส่ยาที่แผล แค่นี้แผลก็ไม่เปิดแล้ว ทั้งยังหายเร็วด้วย”
“เย็บแผลเหรอ ?” …นี่เป็นวิธีการที่เย่เหล่ยไม่เคยคิดมาก่อน ด้วยนางไม่เคยได้ยินใครพูดถึง ทำให้หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะถามอย่างสงสัยว่า “มีใครเคยรักษาแผลด้วยวิธีนี้หรือเปล่า ?”
“มี !” ถังหยินจ้องมองอย่างว่างเปล่าและพูดแผ่วเบา “บ้านเกิดของข้าใช้วิธีนี้ในการรักษาบาดแผล”
แม้ว่าเย่เหล่ยจะรู้สึกว่าวิธีนี้แปลกมาก แต่นางก็คิดว่ามันน่าสนใจไม่น้อย ดังนั้นหญิงสาวจึงได้พยักหน้าและพูดว่า “สอนข้าทีว่าต้องทำอย่างไร”
“ได้ !”
ถังหยินแอบถอนหายใจและปล่อยให้เย่เหล่ยเอาเข็มกับด้ายออก จากนั้นจึงนำพวกมันไปฆ่าเชื้อด้วยน้ำเดือด ก่อนที่ถังหยินจะเอ่ยแนะนำ “ก่อนจะเย็บ ก็ช่วยทาอะไรให้มันเจ็บน้อยลงหน่อยเถอะ” ชายหนุ่มลอบถอนหายใจ มองเย่เหล่ยหยิบเข็มและด้ายจากนั้นใช้น้ำฆ่าเชื้อทาไปรอบ ๆ กายเขา
เมื่อเห็นการแสดงออกที่ขมขื่นของเขา เย่เหล่ยก็หัวเราะและพูดว่า “เหรอ…. งั้นเจ้าก็เจ็บเป็นด้วย !”
ถังหยินพึมพำ “ข้าไม่ใช่สัตว์ประหลาดนะ !”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ครั้งแรกเย่เหล่ยก็รู้สึกว่ามันตลกอยู่บ้าง แต่ในขณะเดียวกันนั้น นางก็แอบรู้สึกชื่นชมชายหนุ่มไม่น้อย
ขณะที่หญิงสาวทายาลงไป นางก็ได้พูดออกมาว่า “คนธรรมดาทั่วไป ถ้าพวกเขาได้รับบาดเจ็บหนักขนาดนี้คงต้องตายไปนานแล้ว กระนั้นเจ้าก็ไม่ได้ส่งเสียงออกมาแม้แต่ครั้งเดียวตั้งแต่ต้นจนจบ และไม่แม้แต่จะพูดออกมาว่าเจ็บแม้แต่ครั้งเดียว..”
ถังหยินที่ได้ยินแบบนั้นจึงหัวเราะและพูดอย่างเป็นกันเอง “ในอดีต ข้าเคยเจ็บหนักกว่านี้มาสองไม่ก็สามเท่า”
เย่เหล่ยไม่สามารถระงับความอยากรู้อยากเห็นในใจของนางได้อีก “เมื่อก่อนเจ้าเคยทำอะไรกันแน่ ?”
ถังหยินไม่รู้ว่าจะตอบกลับอย่างไร แต่หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็พูดว่า “มือสังหาร นักดาบพเนจร”
เย่เหล่ยมองเขาอย่างแปลก ๆ และพูดว่า “แปลกชะมัด”
ถังหยินรู้สึกขบขันกับคำพูดของนาง เขาหันศีรษะและมองตรงไปที่เย่เหล่ยเพื่อสังเกตอีกฝ่ายให้ชัด ๆ
เย่เหล่ยไม่ใช่คนสวยแบบที่จะทำให้คนอื่นมองนางด้วยความประหลาดใจ แต่หญิงสาวเป็นคนที่น่าสนใจและมีความงามแบบหนึ่ง ที่ทำให้ผู้คนรู้สึกว่านางสวยขึ้นเมื่อมองนาน ๆ เข้า !